ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 543

 

 

เมืองเหวินหวานนั้นเป็นถนนที่ทอดยาวไปจนถึงประตูเหล็กและสิ้นสุดตรงนั้น 

 

 

หลังจากที่ร้านรวงปิดกันหมด แสงที่ส่องสว่างมีเพียงแสงจากป้ายนีออนที่เขียนว่า ‘เมืองเหวินหวาน’ เท่านั้น ที่เป็นเช่นนี้ก็เพื่อทำตามกฎที่ว่าหากร้านยังเปิดต้องเปิดไฟป้ายร้านตอนกลางคืนไว้ 

 

 

ตอนนี้เขาเริ่มลังเลที่จะเข้าไปแล้วเนื่องจากเขามีศิลาวิญญาณติดตัวไว้เยอะเกินไป ตลาดมืดแบบนี้ คนจะซื้อไปได้เท่าไหร่กันนะ อันที่จริงตอนนี้เขาชักเริ่มอยากเอาไปขายให้เพื่อนในเครือข่ายฟ้าดินแทนแล้ว ถ้าพวกเขาเสนอราคาดีๆ มาให้ 

 

 

หลังจากที่คิดไตร่ตรองดูดีๆ หลี่ว์ซู่ก็โทรหาจงอวี้ถัง 

 

 

“ขออภัยค่ะ หมายเลขที่คุณเรียกไม่สามารถติดต่อได้…” 

 

 

บ้าอะไรเนี่ย! หลี่ว์ซู่หน้าตึง นี่จงอวี้ถังบล็อกเบอร์เขาเหรอ 

 

 

หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย เขาก็เปลี่ยนไปโทรหาเนี่ยถิง 

 

 

“ขออภัยค่ะ หมายเลขที่คุณเรียกปิดเครื่องอยู่ในขณะนี้…” 

 

 

“ดี! ทำกันแบบนี้แหละ อย่ามาเสียใจกันทีหลังนะ” หลี่ว์ซู่ส่งเสียงเยาะ เขาตัดสินใจแล้วว่าจะขายศิลาวิญญาณที่ตลาดมืดมันนี่แหละ! 

 

 

เขาเคยคิดจะขายให้พวกชาวต่างชาติอยู่เหมือนกัน แต่ราคาขายในประเทศจีนสูงกว่า เนื่องจากเครือข่ายฟ้าดินเป็นคนจำกัดการขายเพราะมีศิลาวิญญาณอยู่ในจำนวนไม่มาก เพราะฉะนั้นถ้าขายในต่างประเทศคงไม่ได้ราคาดีเท่าไหร่นัก 

 

 

เขาไม่อยากกดราคาขายลงหรอก… 

 

 

เขาพยายามมากกว่าจะได้ศิลาวิญญาณมาเก้าหมื่นสองพันเม็ดมา นอกจากจะลอบเข้าโกดังไปจิ๊กมาแล้ว เขายังแอบหยิบมาจากพิธีกรรมเลือดอีกด้วย 

 

 

ขณะเดียวกันนั้นเอง จงอวี้ถังที่กำลังยุ่งอยู่กับเอกสารในเมืองอวี้โจวก็มองโทรศัพท์ที่มีสายโทรเข้ามาอย่างลังเล แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้รับสายจนกระทั่งหน้าจอดับไปเอง เขาไม่ได้บล็อกเบอร์หลี่ว์ซู่หรอก แต่เขาเปลี่ยนเสียงโทรเข้าเป็น ‘ขออภัยค่ะ หมายเลขที่คุณเรียกไม่สามารถติดต่อได้…’ หลังจากที่หลี่ว์ซู่โทรมากวนเขาบ่อยเกินไป… 

 

 

ในขณะเดียวกัน เนี่ยถิงที่กำลังนั่งอยู่ในห้องควบคุมชั้นล่างที่ตรอกหลิงจิ้งก็พึมพำขึ้นมาขณะมองไปที่จอหลายพันจอในคราวเดียว “เขาเจอตลาดมืดเข้าแล้วสิ ดูเขาจะรีบอยากขายของที่ได้มาจากกลุ่มทวยเทพเร็วๆ นะ” 

 

 

สือเสวจิ้นพลิกหน้ากระดาษจากหนังสือเย็บกี่แล้วถาม “ไม่กลัวเขาไปก่อเรื่องใหญ่อีกเหรอ จะไปขายอะไรไม่รู้ตั้งมากมายภายในครั้งเดียว แน่ใจนะว่าคุณจะไม่เข้าไปยุ่งน่ะ” 

 

 

“ไม่ต้องห่วงหรอก เขาไม่น่าจะเก็บไว้กับตัวมากขนาดนั้น แม้จะมีอยู่บ้างก็เถอะ” เนี่ยถิงตอบพลางนวดหว่างคิ้ว “ระบบของกลุ่มทวยเทพเข้มงวดพอตัว ตอนนั้นทาคาชิมะเองก็ประจำอยู่ในป้อมปราการด้วย เขาคงไม่มีโอกาสเอาอะไรออกมาได้เยอะขนาดนั้น” 

 

 

สือเสวจิ้นเหลือบมอง “ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะครับ…” 

 

 

 

 

 

หลี่ว์ซู่เดินเข้าไปข้างในแล้วเคาะประตูเหล็ก เสียงเคาะดังสนั่นทำลายความเงียบในตอนกลางคืนไปหมด 

 

 

หน้าต่างเล็กๆ หลังประตูเปิดออกเสียงดังแกร๊ง หลี่ว์ซู่สบตาเข้ากับผู้ชายร่างผอม ดูเจ้าเล่ห์ ไว้หนวดคนหนึ่ง เขาส่องคบไฟมาที่หน้าต่าง ผู้ชายคนนั้นถามขึ้นมาพร้อมกับลอบสังเกตผู้มาเยือน “ที่นี่เป็นที่พักขององค์ท่าน แกเป็นใคร” 

 

 

หลี่ว์ซู่ชะงักไป ที่พักขององค์ท่านเหรอ ท่านไหนล่ะ 

 

 

แต่ก่อนที่เขาจะตอบ ชายคนนั้นก็หมดความอดทนเสียแล้ว “ฉันถามว่าแกเป็นใคร” 

 

 

หลี่ว์ซู่ครุ่นคิด เขาไม่น่าได้เข้าไปถ้าไม่บอกชื่อศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาพุทธ เขาเลยลองหยั่งเชิงไปว่า “ฉันคือกัสสปะ [1] 

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากหวังเจ๋อ +199] 

 

 

หวังเจ๋อไม่สบอารมณ์ขึ้นมา “องค์ท่านเป็นคำเรียกที่สูงส่ง เขาไม่จำเป็นต้องมีชื่อศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ ไม่เหมือนกัสสปะของแกหรอก” แล้วเขาก็รีบปิดประตูใส่หลี่ว์ซู่ทันใด แต่ว่าประตูไม่ยอมขยับเขยื้อนสักนิดด้วยแรงต้านของหลี่ว์ซู่… 

 

 

“ฉันเป็นคนขายของ” หลี่ว์ซู่พูด 

 

 

“ใครส่งแกมา” หวังเจ๋อมองไปข้างๆ 

 

 

คำถามเขาดึงความสนใจจากหลี่ว์ซู่ได้มาก แทนที่จะถามว่ามาขายอะไร แต่หมอนี่กลับถามว่าใครส่งเขามา นี่ไม่เหมือนกับตอนที่เขาไปตลาดมืดครั้งที่แล้ว ที่นี่ดูจะมีการรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนากว่า รักษาความลับดีกว่า ในขณะที่ที่อื่นๆ นั้นสนใจอยากได้ของไวๆ 

 

 

เป็นมืออาชีพน่าดูเลยนะ ที่นี่แหละ ตลาดมืดที่เขาตามหา 

 

 

แต่จะเข้าไปยังไงล่ะถ้าบอกชื่อคนแนะนำไม่ได้ 

 

 

หวังเจ๋อเอ่ยอย่างเหนือกว่า “ถ้าไม่มีชื่อคนแนะนำก็จ่ายค่ามัดจำมาสามแสนหยวนเป็นค่าเข้า ตอนออกไปค่อยมาเอาคืน ถ้าขายให้ลูกค้าได้มากกว่าสามคนถึงจะกลายเป็นลูกค้าเก่าของที่นี่” 

 

 

หลี่ว์ซู่ไม่คาดคิดว่าจะเจอเหตุการณ์เช่นนี้ ดังนั้นหลี่ว์ซู่จึงเอาศิลาวิญญาณยื่นผ่านหน้าต่าง ตามราคาตลาดแล้ว นี่น่าจะรวมเป็นราคามากกว่าสามแสนหยวน 

 

 

ว่ากันตามตรงแล้ว ราคานี้ไม่ได้สูงเกินไปเลย ถ้าดูจากความต้องการซื้อรายปีของลูกค้า ซึ่งก็น่าจะน้อยว่าสองหมื่น 

 

 

แต่ต้องคำนึงถึงความคุ้มค่าด้วย ผู้บำเพ็ญสามารถใช้ศิลาหนึ่งเม็ดเพื่อช่วยในการฝึกครบหนึ่งรอบ 

 

 

มีใครหลายคนพยายามจะอัปราคาศิลาวิญญาณแต่กไม่สำเร็จ เนื่องจากเครือข่ายฟ้าดินเป็นคนกำหนดราคา และคนซื้อก็ไม่ได้หูหนวกตาบอดที่จะไม่รู้ราคา พวกลูกค้าจะซื้อในราคาที่สมเหตุสมผลเท่านั้น 

 

 

ประตูเหล็กเปิดออก หวังเจ๋อมองมาที่หลี่ว์ซู่แล้วพูดขู่ “ทำตัวดีๆ ในที่ขององค์ท่านล่ะ ไม่งั้นเดี๋ยวได้ออกไปแบบร่างไร้วิญญาณ ห้ามใช้ความรุนแรงหรือฉ้อโกงที่นี่ด้วย ไม่งั้นโดนหักแขนหักขาแน่ถ้าองค์ท่านจับแกได้ แกรู้ชื่อท่านไหม” 

 

 

“…ไม่อะ” 

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากหวังเจ๋อ +299!] 

 

 

“บ้านนอกคอกนาจริง” หวังเจ๋อทำตัวเย็นชากว่าเดิม “ชื่อของท่านยังไม่เคยได้ยิน กล้าเรียกตัวเองเป็นคนเมืองลั่วได้ยังไง” 

 

 

หลี่ว์ซู่ก็ไม่สบอารมณ์เหมือนกัน แล้วแกรู้ไหมว่าแกกำลังพูดอยู่กับใคร! หลี่ว์ซู่หยุดคิดพักหนึ่ง ใบหน้าขุ่นตึง 

 

 

“แล้วรู้จักหลี่ว์ซู่ไหม” 

 

 

“รู้สิ! ฮีโร่แห่งชาติหลี่ว์ซู่ ใครๆ ในเมืองลั่วก็รู้จักเขากันทั้งนั้น” หวังเจ๋อหัวเราะเย้ยหยัน เจ้าหมอนี่กล้ามาวัดความรู้เขางั้นเหรอ… 

 

 

“…แล้วรู้จักหลี่ว์เสี่ยวอวี๋หรือเปล่า” หลี่ว์ซู่สูดหายใจเข้าลึก 

 

 

“…รู้สิ!” 

 

 

หลี่ว์ซู่อยากจะเถียงกลับเพราะหวังเจ๋อไม่น่ารู้จักสี่ยวอวี๋ เขาคาดไม่ถึงกับคำตอบนี้เลย 

 

 

“เดี๋ยวนะ แล้วไปรู้สึกหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ได้ยังไง” หลี่ว์ซู่งง 

 

 

“โอ๊ย ใครในเมืองเหวินหวานไม่รู้จักหลี่ว์เสี่ยวอวี๋กัน เดือนก่อนมีไอ้โง่ที่ไหนไม่รู้ไปแกล้งเธอ ตอนนี้ชีวิตพวกนั้นบัดซบป่นปี้กันหมด” หวังเจ๋อแยกเขี้ยว 

 

 

“อย่างนี้นี่เอง” หลี่ว์ซู่เริ่มเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึเน “แล้วใครเก่งกว่าล่ะ องค์ท่านของนายหรือหลี่ว์เสี่ยวอวี๋” 

 

 

“แน่นอนว่าต้องเป็นองค์ท่านอยู่แล้ว หลี่ว์เสี่ยวอวี๋ดูแข็งแกร่งก็เพราะมีสัตว์วิเศษและมีสหายร่วมรบของพี่ชายคอยช่วย เธอมีเครือข่ายฟ้าดินหนุนหลังอยู่ แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกตราบใดที่เราไม่ไปยั่วอารมณ์เธอน่ะ แต่ถ้าเกิดเธอมาสร้างปัญหาละก็ องค์ท่านเองก็มีเส้นสายในเครือข่ายฟ้าดินเหมือนกัน” หวังเจ๋อทำท่าเป็นเชิงบอกให้หลี่ว์ซู่เดินเข้ามา 

 

 

หลี่ว์ซู่บอกไม่ได้เลยว่าเขากำลังพูดความจริงอยู่หรือเปล่า เขายิ้มอย่างเยือกเย็น ใบหน้ามีความอาฆาตอาบอยู่ 

 

 

“พี่ชาย ฉันว่าถ้าเป็นละครละก็ นายคงมีชีวิตอยู่ไม่ถึงตอนที่สามหรอก อยากรู้ไหมว่าทำไม” 

 

 

“ทำไมล่ะ” 

 

 

“เพราะนายรู้มากเกินไปยังไงล่ะ” 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] พระกัสสปพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าในภัทรกัปป์ 

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset