“นี่ๆ รู้ป่ะ” จู่ๆ นักเรียนในห้องก็ถามขึ้นมา “เฉาชิงฉือไม่ได้ไปฝึกล่ะ เหมือนกับเจียงซู่อีเลย อยู่ๆ เธอก็หายไป”
เยี่ยหลิงหลิ่งกังวลใจกับเรื่องซุบซิบนี้ที่สุด เธอกอดถุงขนมมันฝรั่งเอาไว้แล้วถามขณะเคี้ยว “เป็นไปได้มั้ยว่าเธอเข้าร่วมการฝึกแต่ไม่มีใครเห็นเธอเฉยๆ”
“เป็นไปไม่ได้หรอก รถทหารขับออกไปเมื่อสองวันก่อน แต่ฉันเห็นเฉาชิงฉือที่ตลาดเจี้ยนตงตอนบ่ายเมื่อวาน เพื่อนร่วมชั้นเธอบอกว่าเธอไม่ได้ไปเข้าเรียน” นักเรียนคนหนึ่งว่า “เมื่อคืนในกลุ่มแชตได้คุยกันรึเปล่าว่าทำไมเฉาชิงฉือไม่ได้ไปฝึก”
“บางทีเธออาจต้องไปปฏิบัติภารกิจก็ได้” เยี่ยหลิงหลิ่งกล่าวพลางครุ่นคิด แล้วจู่ๆ เธอก็โพล่งถาม “ถ้างั้นหลี่ว์ซู่ก็…”
“เบาเสียงหน่อย” นักเรียนอีกคนมองไปทางหลี่ว์ซู่ “หลี่ว์ซู่น่ะไม่ใช่หรอก กรณีเขาไม่เหมือนเฉาชิงฉือ อย่าพูดเรื่องนี้ต่อหน้าเขาเชียว ดูจากท่าทีเขาตอนนี้ เขาคงเศร้าอยู่”
ในมือหลี่ว์ซู่มีหนังสือเรียนประวัติศาสตร์อยู่ เขาพลิกหน้าหนังสือไปหน้าใหม่ทุกครึ่งนาที ดวงตาจับจ้องไปที่ตัวอักษร หลี่ว์ซู่เอาแต่ทบทวนเนื้อหาซ้ำไปซ้ำมาตั้งแต่กลับมาเข้าเรียน
ทว่าเขาใช้เวลาทบทวนรวดเร็วมาก ในสายตาเพื่อนร่วมห้อง พวกเขาเห็นแค่ว่าหลี่ว์ซู่พลิกอ่านหนังสือแบบผ่านๆ เท่านั้น ทว่ามันสมองของหลี่ว์ซู่นั้นไม่เหมือนใคร เขารู้เนื้อหาทั้งหมดอยู่แล้ว และตอนนี้เขาก็แค่อ่านทวนมันอีกรอบ
หลี่ว์ซู่เป็นนักเรียนดีเด่นมาตลอด หากเหตุการณ์ที่พลังจิตวิญญาณฟื้นคืนไม่เกิดขึ้น ดูจากทัศนคติที่จริงจังของตัวเองแล้ว เขาก็คงใช้ชีวิตที่มุ่งหาความสำเร็จแบบคนอื่นๆ เช่นกัน
เยี่ยหลิงหลิ่งทนไม่ไหวอีกต่อไป “หลี่ว์ซู่ นายวางแผนจะเรียนซ้ำชั้นแล้วสอบเข้าวิทยาลัยผู้บำเพ็ญหรือว่า…”
หลี่ว์ซู่มองเธออย่างสงบ “ฉันไม่อยากเสวนากับคนที่ได้คะแนนน้อยกว่าหกร้อยสี่สิบ”
เยี่ยหลิงหลิ่งอึ้งไปถนัด
[ได้แต้มอารมณ์จากเยี่ยหลิงหลิ่ง +999!]
[ได้แต้มอารมณ์จาก…]
ห้องเรียนเงียบกริบไปราวสองวินาที ทุกคนต่างก็อึ้งไปตามๆ กัน ราวกับว่าพวกเขาย้อนกลับไปยังช่วงก่อนหน้าจิตวิญญาณฟื้นคืน ตอนที่ทุกคนเกรงกลัวหลี่ว์ซู่กับคะแนนสอบของเขา…
แล้วพวกเขาก็เข้าใจเรื่องราว หลี่ว์ซู่วางแผนจะเข้ามหาวิทยาลัยปกติ พวกเขาไม่มีทางแพร่ข่าวลือเกี่ยวกับหลี่ว์ซู่ได้หรอก!
ทว่าหลี่ว์ซู่ไม่ได้สนใจพวกเขา เพราะถึงอย่างไรเขากับนักเรียนพวกนั้นก็อยู่คนละโลกกันอยู่แล้ว
คำว่า “พลังจิตวิญญาณฟื้นฟู” เจ็ดพยางค์นี้เป็นดาบคมที่ตวัดแบ่งแยกโลกของพวกเขาออกจากกัน
เพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ ยังคงต้องเตรียมตัวสอบจบการศึกษาและใช้ชีวิตไปตามปกติ แต่สำหรับหลี่ว์ซู่นั้น เขาถูกลิขิตให้เดินไปบนเส้นทางอันแสนขรุขระของผู้บำเพ็ญ
หากหลี่ว์ซู่เอ่ยปากบอกเพื่อนของเขาว่าเขาฆ่าคนไปมากมายขนากไหน พวกเขาอาจหวาดกลัวหลี่ว์ซู่ไปเลยก็ได้
เขาไม่เหมือนกับหลิวหลี่ มือของเขาชุ่มโชกไปด้วยเลือด เส้นทางผู้บำเพ็ญของเขาปูไปด้วยซากศพ
ตอนนี้มีปริศนามากมายเกี่ยวกับเหตุการณ์การตายของทาคาชิมะ ทาริอัตสึ กระนั้นคนที่อยู่ในสมรภูมิรบครั้งนั้นต่างก็พากันปิดปากเงียบสนิททั้งหมด แม้กลุ่มอนุรักษนิยมจะลองสอบถามกับซากุราอิ ยาเอโกะแล้ว แต่เธอก็ไม่หลุดพูดอะไรออกมาเลยสักนิด
ทว่าเมื่อสายลับจากองค์กรต่างๆ เดินทางไปยังฐานของพวกทวยเทพเพื่อสืบดู ข้อมูลที่พวกเขาได้กลับมามีจุดร่วมที่ตรงกันอยู่จุดหนึ่ง นั่นคือทาคาชิมะได้ใช้พิธีกรรมเลือดในการเลื่อนระดับพลังของตัวเอง แต่เพราะเขาไม่สามารถเปิดดวงตาแห่งสวรรค์รัศมีสิบกิโลเมตรได้ นี่จึงแสดงว่าเขาไม่ได้เลื่อนระดับไปเป็นระดับ A อย่างแท้จริง ทุกคนคาดเดาว่าแม้ทาคาชิมะจะไปไม่ถึงระดับ A แต่เขาก็น่าจะมีพลังเป็นลำดับต้นๆ ของระดับ B หรือไม่ก็สูงกว่านั้น
แต่ถ้าอย่างนั้น ใครเป็นคนฆ่าทาคาชิมะกันล่ะ
ตัวตนของคนคนนี้เป็นความลับสุดยอดถึงขนาดที่ว่าทั่วทั้งโลกต่างก็จับตามอง
คนอย่างเยี่ยหลิงหลิ่งคงไม่คาดคิดหรอกว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าคนนี้จะเป็นคนที่พริ้มพราวที่สุดคนหนึ่งของโลก นอกเสียจากว่าเขาจะเฉลยออกมาว่าเขานี่แหละที่เป็นคนฆ่าทาคาชิมะ หรือไม่ก็ยอมรับข้อเสนอของเนี่ยถิงแล้วขึ้นเป็นราชันฟ้า
ทว่าสิ่งที่เด็กหนุ่มเลือกกลับเป็นการนั่งทบทวนบทเรียนอย่างเป็นสุขในห้องเรียนอย่างที่ทำอยู่ขณะนี้
เยี่ยหลิงหลิ่งคงไม่เข้าใจหรอก กระทั่งเนี่ยถิงเองก็คงไม่เข้าใจเช่นเดียวกัน ทว่าสือเสวจิ้นกลับหัวเราะจนพูดไม่เป็นภาษา
ตอนเย็นหลังเลิกเรียน หลี่ว์ซู่รีบเก็บของออกจากห้องเรียนไปทันทีราวกับเขาได้คาแรกเตอร์ชายผู้สันโดษคืนมาดังเดิม เมื่อเพื่อนนักเรียนคนอื่นเดินออกมาจากห้อง หลี่ว์ซู่ก็วาร์ปไปถึงประตูโรงเรียนแล้ว เยี่ยหลิงหลิ่งมองดูร่างของหลี่ว์ซู่จากระเบียง แล้วจู่ๆ เธอก็ตะโกนออกมา “ดูนั่น!”
ทุกคนหันไปมองตาม พวกเขาสังเกตเห็นหลี่ว์ซู่กำลังยืนคุยอยู่กับซีเฟ่ย อาจารย์ประจำห้องเต้าหยวน นักเรียนคนหนึ่งเอ่ยออกมาอย่างไม่แน่ใจ “มีอะไรแปลกเหรอ พวกเขาสองคนรู้จักกันนี่”
เยี่ยหลิงหลิ่งเองก็รู้สึกไม่แน่ใจเช่นกัน “ฉันว่าฉันเห็นซีเฟ่ยทำวันทยาหัตย์หลี่ว์ซู่… แต่ฉันอาจจะตาฝาด”
ตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่าหลี่อีเสี้ยวอยู่ที่ไหน เพราฉะนั้นซีเฟ่ยจึงรับหน้าที่ดูแลเมืองลั่วแทน ทุกคนต่างก็ประทับใจในตัวเขา ทำให้เขากลายเป็นที่ชื่นชอบที่สุดในบรรดาคนของเครือข่ายฟ้าดินสาขาประจำเมืองลั่ว
“ร้อยเอกหลี่ว์ซู่ จะกลับบ้านแล้วเหรอ” ซีเฟ่ยหัวเราะแล้วถาม เขายังไม่รู้ว่าหลี่ว์ซู่ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นยศพันเอกแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครปิดข่าวก็เถอะ แต่เนี่ยถิงกับสือเสวจิ้นก็ไม่ได้บอกคนที่เหลือ
หลี่ว์ซู่หัวเราะตอบ “ผมก็เป็นเจ้าหน้าที่หน่วยรักษาความปลอดภัยคนหนึ่งเหมือนกันนะ ผมว่าจะตรวจตราดูพื้นที่นี่สักหน่อยว่ามีผู้บำเพ็ญคนไหนทำผิดกฎหรือเปล่า”
ซีเฟ่ยที่กำลังจะอ้าปากพูดแต่ก็เงียบไป เขาเริ่มสังหรณ์ใจไม่ดี หลี่ว์ซู่จะไปทำอะไรแผลงๆ อีกหรือเปล่า เขาไม่เห็นจะต้องไปตรวจตราพื้นที่อะไรตอนนี้ ซีเฟ่ยคิดว่าแถวนี้คงจะสงบสุขกว่าถ้าหลี่ว์ซู่ไปโรงเรียนและกลับบ้านตามปกติ
“อย่าให้ผมเสียเวลาคุณเลยครับ เดี๋ยวผมไปก่อนล่ะ” หลี่ว์ซู่ไม่ได้พูดอะไรกับซีเฟ่ยมากมาย เขารีบเดินไปขึ้นรถเมล์โดยไม่หันกลับมามอง
เจ้ากระรอกช่วยเขาหาที่แปลกๆ ได้สำเร็จ ที่นั่นอยู่ในเมืองเหวินหวาน ดูเหมือนว่าจะมีอะไรซ่อนอยู่หลังประตูเหล็กนั่น
พวกหนูของเจ้ากระรอกเห็นผู้บำเพ็ญหรือพวกมนุษย์ที่มีพลังปะปนอยู่กับผู้คนที่เดินเข้าออกประตูนั้น แต่การคุ้มกันที่นั่นหนาแน่นหนามาก พวกหนูเลยเข้าไปข้างในไม่ได้
หลี่ว์ซู่วางแผนว่าจะไปที่นั่นเพื่อไปดูให้เห็นกับตาตัวเอง เขาไม่กลัวหรอกว่าจะเข้าไปในสถานที่อันตราย ในเมืองลั่ว เขาไม่มีศัตรูในเครือข่ายฟ้าดิน นับประสาอะไรกับตลาดมืดที่อยู่หลบๆ ซ่อนๆ แบบนี้
เขาเดินเข้าไปในประตูเมืองเหวินหวาน ไม่มีคนธรรมดาออกมาเดินตอนกลางคืน ไม่มีแสงไฟตามถนน ทุกๆ อย่างรอบตัวดูมืดไปหมด
เขาเห็นคนเดินเข้าออกเป็นระยะๆ คนเหล่านั้นมองหลี่ว์ซู่ขึ้นๆ ลงๆ อย่างไม่ไว้ใจแล้วก็รีบเดินหายไป
หลี่ว์ซู่เดินเช้าไปข้างใน ตอนที่เขาเดินเข้าไปยังบริเวณเงาของชายคาตึก เขาก็เปลี่ยนหน้าตาตัวเองให้กลายเป็นเกาเสินอิ่น
ตอนแรกเขาอยากเปลี่ยนเป็นเฉินจู่อาน แต่เขาทำหน้าตุ้ยนุ้ยไม่ได้…
เขาเดินเข้าไปข้างในเรื่อยๆ แล้วประตูเหล็กก็ปิดสนิทตามหลัง มีแสงสลัวส่องผ่านรอยแยกตรงประตู เขาได้ยินเสียงคนพูดคุยกัน