ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ – ตอนที่ 541 หลี่ว์เสี่ยวอี๋ผู้ทำลายวังแห่งสวรรค์

เสี่ยวอวี๋เก็บกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว เธอเก็บของใช้ประจำวันไว้ในกระเป๋าเดินทางสีชมพูที่เพิ่งซื้อมา และเก็บขนมต่างๆ ไว้ในแหวนมิติ

 

 

เธอรู้แหละว่าคงไม่ได้รับอนุญาตให้เอาขนมไปค่ายฝึกด้วย แต่คงไม่มีใครห้ามเอาวงแหวนมิติไปหรอกใช่ไหม

 

 

“รอฉันฝึกเสร็จก่อนเถอะ ต่อไปในอนาคต ฉันจะช่วยชีวิตเธอเอง” เสี่ยวอวี๋บอกหลี่ว์ซู่ที่กำลังยืนอยู่นอกประตูห้อง “ถ้าฉันบอกว่าจะปกป้องเธอก็คือหมายความตามนั้น! เสี่ยวอวี๋คนนี้ทำตามที่พูดแน่!”

 

 

หลี่ว์ซู่เจ็บหลังศีรษะขึ้นมาตงิดๆ ทำไมเด็กสาวอายุน้อยคนนี้ถึงอยากจะเป็นราชันฟ้าขึ้นมาได้นะ

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากหลี่ว์ซู่ +199!]

 

 

“หลี่ว์ซู่จะคิดถึงกันหรือเปล่า ฉันไปตั้งหลายเดือน” เสี่ยวอวี๋ถาม

 

 

“คิดถึงอะไรกันเล่า ไปแค่สามเดือนเองไม่ใช่เหรอ” หลี่ว์ซู่ตอบออกไปแบบไม่ได้คิด

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากเสี่ยวอวี๋ +399!]

 

 

“หลี่ว์ซู่ มองหน้าฉันแล้วตอบใหม่” เสี่ยวอวี๋พูดเสียงเย็น

 

 

“ฮ่าๆๆ คิดถึงสิ คิดถึงแน่นอน” หลี่ว์ซู่ตอบอีกรอบอย่างรู้สึกผิด

 

 

“คิดอะไรอยู่น่ะ ทำไมถึงใจลอยขนาดนี้” เสี่ยวอวี๋เริ่มรู้สึกน้อยใจ

 

 

“กำลังคิดอยู่ว่าจะขายศิลาวิญญาณยังไงดี” หลี่ว์ซู่ตอบ

 

 

หลี่ว์ซู่ส่งเจ้ากระรอกออกไปเพื่อหาสถานที่ขายของที่คล้ายๆ ตลาดมืดในเมืองลั่ว หลี่ว์ซู่คิดว่าเมืองเหวินหวานไม่น่าไว้ใจ เขาอยากรู้ด้วยว่ามีคลาดมืดที่ไหนหลบซ่อนอยู่ในเมืองลั่วอีกหรือเปล่า

 

 

หลังจากที่เครือข่ายฟ้าดินเข้ามาดูแล พวกเขาก็ไม่ได้กำจัดพวกผู้บำเพ็ญลับออกไปทั้งหมด กลับกัน พวกเขาเลี้ยงดูพวกผู้บำเพ็ญเหล่านี้แทน

 

 

นี่คล้ายๆ กับที่เกิดขึ้นเมื่อก่อนเลย พวกเขาเคยเข้มงวดมากเพราะอยากรักษาเสถียรภาพทางสังคมไว้ พวกเขากลัวว่าจะมีคนก่ออาชญากรรมขึ้นมา แต่ตอนนี้พวกผู้บำเพ็ญลับไม่ก่อปัญหาและดูเชื่อฟังดี เครือข่ายฟ้าดินก็เลยไม่ไปเข้มงวดกับพวกเขามาก

 

 

จงอวี้ถังเคยบอกว่าผู้บำเพ็ญที่หลบซ่อนตัวกลายเป็นคนเร่ร่อน ยกตัวอย่างเช่นหลี่เตี่ยน ลุงร้านแผงลอยที่ตลาดมืด นั้นหง่อมลงอย่างรวดเร็ว พวกเขากลัวว่าถ้าได้เข้าไปอยู่ในกลุ่มหรือองค์กรใดเข้าแล้ว พวกเขาจะกลายเป็นแกะดำ ด้วยเหตุนี้ผู้บำเพ็ญที่หลบซ่อนตัวซึ่งเคยก่ออาชกรรมมาก่อนอย่างหลี่เตี่ยนจึงไม่สามารถเข้าร่วมกับองค์กรหรือกลุ่มไหนได้ พวกเขาอาจถูกควบคุมตัวหรือถูกจ้างไปเป็นสายลับขององค์กรแทน

 

 

สำหรับเครือข่ายฟ้าดินแล้ว พวกเขาประกาศชัดเจนว่าไม่ใช่ทุกคนจะได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร พวกผู้บำเพ็ญที่หลบซ่อนตัวจึงต้องฝึกฝนเพื่อไม่ให้ถูกจับตัวได้ ไม่อย่างนั้นชะตาของพวกเขาก็คงจบลง เหมือนกับที่เกิดขึ้นกับตลาดมืดกว่าสิบแห่งในเซี่ยโจว อวี้โจว และส่านโจว ถูกทำลายจนไม่เหลือซาก

 

 

หลี่ว์ซู่รู้ไม่สนใจว่าเครือข่ายฟ้าดินจะทำอะไรหรอก เขาแค่อยากหาที่เหมาะๆ ไว้ขายศิลาวิญญาณก็เท่านั้น

 

 

เมื่อมีคนอยากซื้อ ก็ต้องมีคนขายที่ตลาด ในสถานการณ์เช่นนี้ ของจะที่ขายมีน้อยกว่าคนที่อยากซื้อ ราคาของศิลาวิญญาณจึงมีราคาสูงตาม

 

 

โดยปกติแล้วคนขายศิลาวิญญาณก็คือคนจากเครือข่ายฟ้าดินและนักเรียนห้องเต้าหยวนนี่แหละ กระนั้นก็มีคนขายไม่มาก

 

 

กระทู้ในเว็บบอร์ดของมูลนิธิหนึ่งบอกว่ามีคนที่มีอำนาจและร่ำรวยเพิ่งเข้ามาในตลาดมืดที่เมืองเซี่ยโจว เขาซื้อศิลาวิญญาณไปถึงสามร้อยเม็ดด้วยกัน ไม่ว่าจะมีเท่าไหร่ก็เหมาไปหมด

 

 

มีข่าวลือว่าเขาเป็นนายหน้าให้กับครอบครัวหนึ่ง ครอบครัวนั้นจะใช้ศิลาทั้งหมดไปกับการเลี้ยงดูเด็กในครอบครัว เด็กในครอบครัวบางคนก็มีทักษะและความสามารถแต่ยังไม่แสดงออกมาให้เห็น อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงแล้วความสามารถของเด็กพวกนั้นสูงผิดปกติ

 

 

นี่ก็สองวันผ่านไปแล้วหลังจากที่หลี่ว์ซู่ไปส่งเสี่ยวอวี๋เข้าค่ายฝึก วันนั้นมีรถทหารกว่ายี่สิบคันมาจอดที่สนามในโรงเรียนภาษาต่างประเทศลั่วเฉิง ผู้ปกครองต่างร้องไห้กอดลูก ร้องอย่างกับว่าจะส่งลูกไปตายในสนามรบแล้วไม่มีวันกลับมาอย่างนั้นแหละ เด็กหลายคนก็ร้องไห้หนักเหมือนกัน เด็กบางคนมองมาอย่างสงสัย พวกเขาอาจจะกลั้นน้ำตาไม่ให้ร้องออกมาก็เป็นได้

 

 

มีผู้ปกครองหนึ่งคนที่เห็นหลี่ว์ซู่พาเสี่ยวอวี๋มาลงทะเบียนแล้วก็เช็ดน้ำตา

 

 

“ทำไมถึงมีเด็กผู้หญิงเล็กๆ มาได้ล่ะ นี่น่ะเหรอเด็กอัจฉริยะที่พูดถึงที่บ้านอยู่บ่อยๆ”

 

 

“ใช่ครับ” เด็กที่ถูกถามตอบกลับโดยทำสีหน้าไม่ถูก

 

 

“แล้วข้างๆ นั่นใครล่ะ” ผู้ปกครองถามต่อด้วยความสงสัย

 

 

“อ้อ คนนั้นก็รุ่นเดียวกันแหละ แต่ว่าเขาสอบเข้าวิทยาลัยไม่ได้ ก็เลยถูกส่งไปที่หน่วยรักษาความปลอดภัย” ใครสักคนตอบแทน

 

 

“นี่ไง ผลของการไม่ตั้งใจเรียน” ผู้ปกครองคนนั้นพยักหน้า

 

 

นักเรียนที่อยู่ข้างๆ เลยปิดปากเงียบ หลายคนรู้ว่าเกรดของหลี่ว์ซู่อยู่ในเกณฑ์ดี แต่พวกเขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงถูกส่งไปอยู่หน่วยรักษาความปลอดภัยเสียได้

 

 

ในความเป็นจริงแล้วผู้คนก็ไม่ได้รู้ความจริงในโลกไปเสียทุกอย่าง ที่ไม่รู้ก็อาจจะเป็นเพราะว่าระดับยังไม่สูงพอ พวกเขาเลยไม่จำเป็นจะต้องรู้นั่นเอง

 

 

เสี่ยวอวี๋มองไปที่กลุ่มนักเรียนและผู้ปกครองที่บอกลากันทั้งน้ำตา เธอคิดไปถึงสิ่งที่หลี่ว์ซู่พูดไว้สองวันก่อน ถ้าอยากจะป็นราชันฟ้าก็ต้องมีความสามารถที่จะโน้มน้าวให้คนเชื่อฟังได้

 

 

แต่จะทำอย่างไรล่ะ แค่นี้ยังไม่พอ ยังต้องหนักแน่นและแข็งแกร่งอีกด้วย

 

 

“หลี่ว์ซู่อย่าร้องไห้แบบคนพวกนั้นเชียวนะ เด็กชะมัดเลย” เสี่ยวอวี๋หันไปบอกหลี่ว์ซู่

 

 

เสียงของเธอไม่ได้เบาเลย ทั้งสนามเลยตกอยู่ในความเงียบ…

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากหลิวเจี้ยงกั๋ว +481]

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากเยี่ยเผย…]

 

 

[ได้แต้มอารมณ์จากหลี่ว์ซู่ +99…]

 

 

หลี่ว์ซู่รู้สึกได้ว่าความเร็วในการหาแต้มแลกผลไม้แห่งนรกของเสี่ยวอวี๋นั้นไวใช้ได้เลย…

 

 

หลี่ว์ซู่รู้ดีว่าตำแหน่งราชันฟ้าคงไม่ถูกหยิบยื่นให้กับเด็กคนหนึ่งหรอก ถึงแม้ว่าจะเป็นเด็กที่มีความสามารถสูงก็ตาม เด็กยังไม่มีวุฒิภาวะที่โตพอ ถึงแม้เสี่ยวอวี๋จะโตเกินตัวแต่ก็ไม่มีข้อยกเว้นอยู่ดี ราชันฟ้าเป็นหน้าเป็นตาของเครือข่ายฟ้าดิน มีหลายครั้งที่ทัศนคติของราชันฟ้าจะเป็นตัวแทนเครือข่ายฟ้าดินทั้งหมดเมื่อเผชิญกับกองกำลังภายนอก

 

 

เพราะฉะนั้นฝันของเสี่ยวอวี๋ที่จะเป็นราชันฟ้าก็คงเป็นได้แค่ฝัน…

 

 

หลี่ว์ซู่แน่ใจว่าที่เสี่ยวอวี๋อยากเป็นราชันฟ้าไม่ใช่เพราะว่าเธอยากแบกรับความรับผิดชอบ แต่เธอแค่อยากเอาคืนเฉยๆ ถ้าเป็นแบบนั้นเนี่ยถิงก็คงต้องปฏิเสธเสี่ยวอวี๋เรื่องตำแหน่งฟ้าแน่ๆ

 

 

ต่อให้เสี่ยวอวี๋ร่วมมือกับผู้บำเพ็ญระดับ B อีกสองคนก็ยังเทียบพลังของเนี่ยถิงคนเดียวไม่ติด…

 

 

เสี่ยวอวี๋กระโดดขึ้นรถทหารโดยไม่หันกลับมามอง เธอเหมือนกับซุนหงอคง [1] นักปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่เทียมสวรรค์ที่ไม่เกรงกลัวต่อดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ หรือดวงดาวดวงไหนๆ เธอพร้อมจะควงพลองวิเศษ [2] ทำลายวังแห่งสวรรค์ให้ไม่เหลือซาก

 

 

หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดว่าเธอคงไม่ไปสร้างปัญหาใหญ่ที่นั่น

 

 

แต่แล้วหลี่ว์ซู่ก็คิดได้ว่าตอนนี้เสี่ยวอวี๋ต้องคอยสะสมแต้มอารมณ์ด้วยนี่นา งั้นเธออยากทำอะไรก็ปล่อยให้ทำไปเถอะ

 

 

หลี่ว์ซู่เองก็ต้องไปเรียนตามปกติ เขาต้องใช้ชีวิตรอการสอบม.ปลายการท่ามกลางสายตาแปลกๆ ของเพื่อนร่วมชั้น

 

 

ภายในช่วงนี้ เขาต้องคิดให้ออกว่าจะเอาศิลาวิญญาณในมือไปเปลี่ยนเป็นเงินสดอย่างไร นี่คืออาณาจักรสีเทาที่เพื่อนร่วมชั้นของเขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน

 

 

 

 

——

 

 

[1] รู้จักกันอีกชื่อว่าราขาลิง เป็นตัวละครที่สำคัญของนิยายจีนในสมัยศตวรรษที่ 16

 

 

[2] พลองวิเศษที่เป็นอาวุธของซุนหงอคง มีขนาดใหญ่มากและสามารถยืดยาวไร้ขีดจำกัดได้

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หลี่ว์ซู่ เป็นเด็กกำพร้าที่หาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด และก็คงจะหาเลี้ยงตัวเองเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเข้าเสียก่อน… แต่เฮ้ย! เขาไม่เป็นอะไรเลยนี่ ไม่เจ็บ ไม่ปวด และไม่ตาย แถมวิญญาณไม่ได้หลุดออกจากร่างด้วย! จะมีก็แต่สัญลักษณ์รูปต้นไม้ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือและพลังพิเศษในตัวที่ตื่นขึ้นมาเท่านั้น! ทว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับพลังพิเศษนี้มา เพราะคนอื่นๆ เองก็เริ่มกลายเป็นผู้มีพลังแล้วเหมือนกัน นี่มันเรื่องบ้าอะไร เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ นี่เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคของผู้มีพลังพิเศษกันแล้วงั้นเหรอ หลี่ว์ซู่ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ว่าแต่พลังที่ได้มานี่มันฝึกยังไงกันล่ะ เอ๊ะ ต้องสะสมแต้มอารมณ์ด้านลบงั้นเหรอ แค่กวนโมโหคนอื่นก็เพิ่มพลังได้แล้วงั้นเหรอ แบบนี้ก็เข้าทางหลี่ว์ซู่สุดๆ ไปเลยน่ะสิ!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset