อ๋องฉีพูดด้วยเสียงเย็นชาว่า “ณ ตอนนี้เหลียนอีตายแล้ว เรื่องที่เหลือข้าไม่อยากซักไซ้ไล่เลียงอีก เชียงเย่ มาอย่างไรก็กลับเช่นนั้นเถอะ แต่ว่ามีเรื่องหนึ่งที่เจ้าต้องจำคือ วันนี้ข้าให้อภัยพวกเจ้า เพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ตลอดหลายปีของข้ากับเหลียนอี ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป อ๋องฉีและจวนมหาเสนาบดี ทางใครทางมัน ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก ต่อไปหากพวกเจ้าทำผิดแล้วมาถึงมือข้าอีก ข้าจะไม่ปล่อยไปอีกเป็นอันขาด”
พูดถึงขนาดนี้แล้ว หากเฮ่อจาง ยังโวยวายต่อไปมีแต่รนหาที่ตายเอง เขาหันหลัง มองพระชายารองที่อยู่บนเตียงเป็นครั้งสุดท้าย เฮ่อจางกัดฟันพูดออกมาคำหนึ่ง “ไป”
พูดจบ ไม่แม้แต่จะหันหลังแล้วเดินออกจากห้องโถงไว้ทุกข์ทันที
เฮ่อเหลี่ยนรีบตามหลังทันที
หวงฝู่อวี้สั่งพ่อบ้าน “ไม่ต้องเก็บไว้นาน พรุ่งนี้แจ้งข่าวการเสียชีวิตได้เลย”
พ่อบ้านรับคำสั่ง
หวงฝู่อวี้ร้องไห้เสียใจอีกครั้ง
เฮ่อจางพึ่งลมหายใจสุดท้ายออกจากจวนอ๋องฉี พาองครักษ์ที่ไม่ได้เรื่องกลับจวน พอเข้าห้องโถง ก็ตะคอกเฮ่อเหลี่ยน “ลูกชั่ว คุกเข่าเดี๋ยวนี้!”
เฮ่อเหลี่ยนตกใจ หัวใจเต้นตึกตัก คุกเข่าลงบนพื้น
“ลูกเลว เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าทำเช่นนี้เป็นความผิดร้ายแรง ถ้าหากไม่ใช่น้องสาวของเจ้าใช้ความตายมารับแทนเจ้า วันนี้เจ้าก็คงต้องถูกโยนทิ้งที่สุสานเป็นอาหารของสุนัขแล้ว”
เฮ่อเหลี่ยนตกใจจนไม่กล้าออกเสียง เฮ่อจางยิ่งเห็นบุตรชายเช่นนี้ก็ยิ่งโมโห นึกถึงตนเองที่มาจากคนยากจนกลายเป็นขุนนาง ใช้ความสามารถของตนเองจนทำให้กษัตริย์องค์เดิมให้ความสำคัญ และก้าวมาเป็นมหาเสนาบดีที่อยู่เพียงใต้คนเพียงผู้เดียว แต่อยู่เหนือหมื่นคน แต่บุตรชายคนโตของตัวเองกลับเป็นคนไร้ประโยชน์ ไม่มีความสามารถ ไม่พอยังเป็นตัวถ่วงความเจริญของตนอีก ตอนนี้มีหลักฐานอยู่ในกำมืออ๋องฉี ต่อจากนี้หากตนมีเรื่องอะไรแม้แต่นิดเดียว เขาก็จะใช้มันมาจัดการตนเองจนตายได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห สีหน้าก็ยิ่งไม่ดี
เฮ่อเหลี่ยนรู้สึกได้ถึงความโกรธเกรี้ยวของผู้เป็นพ่อ กลัวบิดาเตะตนเอง จึงค่อยๆ ขยับตัวถอยหลัง ไม่คิดว่าบิดาจะเห็นเข้าพอดี จึงทำให้ความโกรธในใจยิ่งรุนแรงมากขึ้นไปอีก ตะคอกออกไปว่า “พ่อบ้าน เอากฎบ้าน[1]ออกมา”
เฮ่อเหลี่ยนได้ยินว่าจะถูกลงโทษด้วยกฎบ้าน ตกใจจนรีบร้องขอ “ท่านพ่อ ท่านโปรดยกโทษครั้งนี้ให้ลูกเถิด ต่อไปข้าไม่กล้าทำเรื่องแบบนี้อีกแล้ว”
เขาตัวสั่นงอตัวเดินถอยหลังไปด้วย ขอร้องไปด้วย ยิ่งทำให้เฮ่อจางโกรธขึ้นไปอีก เอากฎบ้านมาจากมือพ่อบ้าน เดินเข้าไปด้วยความโมโหแล้วตีลงไป
เฮ่อเหลี่ยนโดนตีจนร้องเสียง โอ้ยๆ คลานหนีไปรอบๆ ทิศ
ไฟโกรธในใจของเฮ่อจางยิ่งมากขึ้นไปอีก วิ่งไล่ตีบุตรชายอีกหลายรอบ จนร่างกายไม่ไหว หอบเหนื่อยแล้วจึงหยุด
เฮ่อเหลี่ยนโดนตีจนนอนอยู่บนพื้นลุกไม่ไหว
เฮ่อจางก็โกรธมากจริงๆ หอบเหนื่อยและสั่งพ่อบ้าน “จับมันโยนไปไว้ที่ห้องโถงไหว้บรรพบุรุษ ไม่ตายก็พอ”
พ่อบ้านรับคำสั่ง โบกมือให้เหล่าคนใช้พาเฮ่อเหลี่ยนไปห้องโถงไหว้บรรพบุรุษ
เฮ่อจางกลับมานั่งที่เก้าอี้ หายใจเข้าออกดีขึ้นเล็กน้อย ค่อยสั่งพ่อบ้าน “ไปส่งข่าวบอกกพระชายารอง บอกว่าอีเอ๋อร์โดนกระทำอย่างอำมหิต เรื่องอื่นไม่ต้องบอก นางรู้ว่าต้องทำอย่างไร”
พ่อบ้านรับคำสั่ง แล้วเดินออกไป
เฮ่อจางนั่งอยู่บนเก้าอี้ กัดฟันแล้วกล่าวว่า “หวงฝู่จิ่ง ความแค้นที่ฆ่าลูกสาวข้านี้ ข้าไม่จบกับเจ้าง่ายๆ แน่”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้เลยว่าหลังจากนางออกไปแล้วที่จวนอ๋องฉีจะเกิดเรื่องมากมายขนาดนี้ หลังจากกลับถึงจวนแล้ว รอเมิ่งฉีกลับมา จึงนำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้เล่าให้เขาฟัง
หลังจากเมิ่งฉีฟังแล้ว เป็นครั้งแรกที่เขาตำหนินาง “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้วมิใช่หรือ ช่วงนี้อย่าไปจวนอ๋องฉี เหตุใดเจ้าจึงไม่ฟังบ้างเลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นว่าเขาโกรธจริงๆ จึงไม่กล้าพูดอะไร
เมิ่งฉีเห็นนางเงียบ ไม่เถียงอะไร จึงถอนหายใจ “น้องข้า ตระกูลใหญ่มีเรื่องเยอะมากมาย ยิ่งคนตระกูลอ๋องฉี เจ้ารู้ไหมวันนี้มหาเสนาบดีพาคนไปโวยวายที่จวนอ๋องฉี โชคดีที่เจ้าออกมาก่อน ไม่ได้เจอ ไม่อย่างนั้นหากมหาเสนาบดีถือโกรธพวกเรา ต่อไปชีวิตของพวกเราก็จะไม่สงบอีกต่อไป เมื่อก่อนอยู่บ้านนอก เจ้าจะทำอะไรก็แล้วแต่เจ้า ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ตอนนี้อยู่เมืองหลวง เป็นที่ของมหาเสนาบดี ถ้าเขาคิดจะจัดการเรา เขามีโอกาสตลอดเวลา แม้ว่าเรื่องของเจ้ากับอี้เซวียนคนในเมืองจะรู้หมดแล้ว จวนอ๋องและอ๋องฉีล้วนเห็นด้วย แต่พวกเจ้ายังไม่ได้หมั้นหมายกันจริงๆ ตามหลักแล้วยังไม่ถูกต้อง เวลาลำบากเดือดร้อนไม่มีคนจะออกตัวช่วยเจ้า ฟังพี่รองเถอะ ตั้งแต่วันนี้อย่าไปจวนอ๋องฉีอีก รอให้เจ้ากับอี้เซวียนหมั้นหมายกันแล้ว พี่รองจะไม่ห้ามเจ้าอีกเลย”
รู้ว่าเมิ่งฉีหวังดีกับตน เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าสัญญา “ข้ารู้แล้ว พี่รอง ต่อไปจะไม่ไปอีก”
เมิ่งฉีถอนหายใจ “จวนอ๋องเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ไม่รู้ว่าจะกระทบงานหมั้นของเจ้ากับอี้เซวียนหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่แน่ใจนัก จึงไม่ได้พูดอะไร
เมื่อถึงวันที่สอง จวนอ๋องฉีจัดงานไว้ทุกข์ให้พระชายารองอย่างเรียบง่าย ทำให้คนในเมืองเกิดการคาดเดาต่างๆ นาๆ คำพูดอะไรก็มีหมด
เมิ่งเชี่ยนโยวฟังคำของเมิ่งฉี ไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ตั้งใจทำการผสมยาสมุนไพรและรักษาเฝิงจิ้งเหวินอยู่ที่บ้าน
งานหมั้นของเฝิงจิ้งซูถูกกำหนดแล้ว โรคของตนก็ถูกรักษาหายแล้ว วันสุดท้ายเฝิงจิ้งเหวินดีใจผิดปกติ ถามว่า “วันนี้ข้ากลับบ้านได้แล้วใช่หรือไม่”
“แน่นอน” เมิ่งเชี่ยนโยวล้อเล่นกับนางว่า “เจ้าไม่กลับบ้านนานขนาดนี้ คนที่จวนเหวินตงไม่รู้ว่าจะคิดถึงเจ้ามากเพียงใดแล้ว ไม่แน่ตอนนี้อาจจะอยู่ระหว่างทางมารับเจ้าก็เป็นได้”
เฝิงจิ้งเหวินหน้าแดงไปหมด “น้องโยวเอ๋อร์ ไม่ต้องมาล้อเล่นเลย ท่านพี่เขา……” ยังไม่ทันพูดจบ เสียงของชิงหลวนก็ดังจากข้างนอกเข้ามา “นายหญิงเจ้าคะ คนที่จวนเหวินตงมาแล้ว บอกว่ามารับนายหญิงเหวินกลับไปเจ้าค่ะ”
เฝิงจิ้งเหวินประหลาดใจเบิกตากว้าง เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะ คิกๆ ออกมา
หน้าของเฝิงจิ้งเหวินแดงจนเลือดจะไหลออกมาแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วสั่งว่า “เชิญคนของจวนเหวินตงนั่งรอที่ห้องโถงสักครู่ รอซ้อรักษาเสร็จแล้วจะตามไป”
ชิงหลวนรับคำสั่ง
รอจนเสียงเดินของชิงหลวนไปไกลแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป จึงหัวเราะออกมา
แรกเริ่มเฝิงจิ้งเหวินรู้สึกอาย แต่ต่อมาก็เห็นนางหัวเราะอย่างมีความสุข ก็หัวเราะตามออกมาอย่างไม่รู้ตัว
ครึ่งชั่วยามผ่านไป การรักษาเสร็จสิ้นแล้ว เฝิงจิ้งเหวินลุกขึ้นสวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย นั่งลงพักชั่วครู่ ค่อยเดินตามเมิ่งเชี่ยนโยวมาถึงห้องโถง
เหวินซื่อนั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องโถงด้วยความสบายใจ เห็นพวกนางเดินเข้ามา จึงวางขาลงแล้วลุกขึ้น แล้วไม่ทักทายเมิ่งเชี่ยนโยวเลย ตรงไปถามเฝิงจิ้งเหวินว่า “ข้านับแล้ววันนี้ครบหนึ่งเดือนพอดี เลยมารับเจ้ากลับไป วันนี้เจ้ากลับจวนกับข้าได้หรือไม่”
เฝิงจิ้งเหวินหน้าแดงและพยักหน้า
เหวินซื่อรอไม่ไหว “งั้นดีเลย เรารีบกลับบ้านกันเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวที่อยู่ข้างๆ ใช้น้ำเสียงไม่พอใจกล่าวว่า “ฮึ่มๆ ข้ายืนอยู่ตรงนี้ทั้งคน คนจวนเหวินตงมองไม่เห็นเลยหรือ แค่กล่าวทักทายก็ยังไม่เลย
เหวินซื่อหน้าด้านกล่าวว่า “ไม่ใช่คนนอกสักหน่อย ทักทายทำไม ข้ารอกลับกับซ้อของเจ้าอยู่”
คำพูดตรงๆ นี้ยิ่งทำให้หน้าของเฝิงจิ้งเหวินแดงขึ้นไปอีก ยื่นมือออกมาตีเขาไปหนึ่งที เหวินซื่อไม่สนใจ ฉวยโอกาสจับมือนาง “ไป เรากลับบ้านกัน!”
พูดจบ ก็จับมือเฝิงจิ้งเหวินแล้วเดินออกไป
เฝิงจิ้งเหวินรู้สึกอายเล็กน้อย “ท่านพี่ เจ้าทำอย่างนี้จะทำให้น้องโยวเอ๋อร์หัวเราะเอาได้นะเจ้าคะ”
“วางใจเถอะ เด็กสาวคนนี้ไม่สนใจเรื่องพวกนี้ของเราหรอก” พูดจบ ก็เดินออกมาถึงข้างนอกแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นอยู่ในห้องโถงสักครู่นึง ยิ้มมองดูพวกเขาสองสามีภรรยาเดินออกจากประตูไป
หลังจากจบเรื่องของพระชายารองแล้ว หวงฝู่อวี้ทั้งป่วยทั้งเสียใจ อาการทรุดลง
หวงฝู่อี้เซวียนคิดแล้วไม่ได้ให้คนรับเมิ่งเชี่ยนโยวไป แต่เชิญหมอหลวงมาดูเขาแทน เขียนใบสั่งยาแล้ว
พระชายาฉีเฝ้าเขาด้วยตนเองสองวัน จนอาการของหวงฝู่อวี้ดีขึ้นแล้ว ค่อยไปจวนแม่ทัพ ไปช่วยเตรียมงานแต่งงานของฉู่เหวินเจี๋ย
จวนแม่ทัพทุกที่เต็มไปด้วยผ้าแดงแขวนไว้เต็มไปหมด บรรยากาศของการเฉลิมฉลอง ลุงฝูและคนใช้ในบ้านยิ่งดีใจจนหุบยิ้มไม่ได้ รอมานานหลายปี ในที่สุดจวนแม่ทัพก็มีนายหญิงสักที ยิ่งไปกว่านั้นได้ยินว่าเป็นคนที่จิตใจดีมาก เป็นฮูหยินของท่านแม่ทัพที่เข้ากับคนได้ง่าย
ในสองสามวันนี้กองทัพทหารก็เกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้นเช่นกัน ครั้งก่อน นอกจากท่านรองแม่ทัพแล้วมีแค่นายพลยี่สิบคนตามไปสู่ขอที่จวนตระกูลเฝิง ที่เหลือทำได้แต่กระพริบตาปริบๆ แล้วรอ ครั้งนี้ท่านแม่ทัพสู่ขอฮูหยิน นายพลเกือบทุกคนแย่งกันจะไปด้วย ปกติฉู่เหวินเจี๋ยปกครองทหารด้วยความเข้มงวด แต่ก็ดีกับทหารทุกคนมาก ฉะนั้นเหล่าทหารในสังกัดทุกคนล้วนแต่เคารพนับถือท่าน และรักท่าน เรื่องใหญ่ขนาดนี้ทุกคนก็อยากจะช่วยท่านออกหน้าออกตากัน แสดงเป็นงานใหญ่ๆ
กองทหารฝั่งนี้วุ่นวายกัน จวนแม่ทัพฝั่งโน้นก็วุ่นวายไปหมดเหมือนกัน แม้ว่าลุงฝูจะเป็นคนเก่าแก่ของจวน แต่ก็ไม่เคยจัดงานใหญ่ขนาดนี้มาก่อน นอกจากให้คนในจวนปัดกวาดตั้งแต่ด้านในออกไปด้านนอกจวน อย่างละเอียด เช็คถูให้สะอาด นอกเหนือจากนั้นก็ให้คนเอาผ้าแดงแขวนทั้งด้านในและด้านนอกให้เต็ม ที่เหลือก็ไม่รู้จะทำอะไรแล้ว
เมื่อพระชายาฉีมาถึง ลุงฝูก็รู้สึกเหมือนเห็นคนช่วยชีวิต รีบวิ่งมาทำความเคารพ แล้วกล่าวว่า “นายหญิงใหญ่ ท่านกลับมาเสียที ข้าน้อยไม่รู้ว่าจะเตรียมงานแต่งงานนี้อย่างไร”
พระชายาฉียิ้มแล้วกล่าวว่า “ลุงฝู ข้าดูเจ้าหน้าตาสดใส อารมณ์ดี ไม่เห็นเหมือนคนมีทุกข์เลย”
ลุงฝูยิ้มกว้างออกมา “นายหญิงใหญ่ ในที่สุดท่านแม่ทัพก็แต่งงานสักที จะให้ข้าน้อยไม่ดีใจได้อย่างไร”
พระชายาฉีก็ดีใจมากเช่นกัน “ลุงฝูพูดถูก ในที่สุดเหวินเจี๋ยก็จะแต่งงานเสียที อย่าว่าแต่เจ้าเลย แม้แต่ข้าก็ดีใจจนนอนไม่หลับมาหลายคืนแล้ว”
“ใช่ขอรับ ใช่ขอรับ ข้าน้อยแค่คิดว่าปีหน้าเวลานี้ ไม่แน่ว่าในจวนอาจมีนายน้อยเพิ่มขึ้นอีกคนก็ได้ นอนหลับก็ดีใจจนสะดุ้งตื่นขึ้นมา”
พระชายาฉีตรวจตราภายในจวนด้วยตัวเองหนึ่งรอบ หาจุดต่างๆ ที่ตกแต่งไม่เหมาะสม และให้ลุงฝูสั่งให้คนมาเปลี่ยน สุดท้ายมาถึงเรือนใหม่ของทั้งสองคน ตรวจแล้วไม่มีปัญหาอะไร จึงกลับมาที่ห้องโถงด้านหน้า พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “แค่นี้ก็พอแล้ว เหลือแค่ชีโพที่รับคน”
ในจวนแม่ทัพไม่มีหญิงสาว แม้แต่สาวใช้ก็ไม่มี คิดอยู่ชั่วครู่ พระชายาฉีก็สั่งหลิงหลง “เจ้าไปที่กวางเหมย หาชีโพมา”
หลิงหลงรับคำสั่ง แล้วเดินออกไป
แล้วยังมีสาวใช้ต้อนรับแขก เหลืออีกไม่กี่วันแล้ว ไปซื้อคนมาเพิ่มก็ไม่ทันแล้ว พระชายาฉีสั่งชิงเยว่ “เจ้ากลับบ้านไป หาสาวใช้ที่ฉลาดมาหลายๆ คน แล้วกำชับด้วยว่า ถึงวันแต่งงานวันนั้นให้พวกนางตามไปรับเจ้าสาวด้วย”
ชิงเยว่จดไว้
สั่งทุกอย่างแล้ว ก็ถามอีก “ลุงฝู ชุดเจ้าบ่าวของเหวินเจี๋ยทำเสร็จแล้วหรือยัง”
“สั่งคนไปสั่งจองแล้วขอรับ แจ้งว่าสองสามวันนี้จะส่งมาขอรับ”
พระชายาพยักหน้า คิดๆ ดูว่ายังมีจุดไหนที่ละเลยไปหรือเปล่า คิดไปชั่วครู่ ทันใดนั้นก็คิดเรื่องสำคัญได้ว่า
“ลุงฝู เรายังไม่ได้เตรียมสินสอดทองหมั้นใช่หรือไม่”
ลุงฝุใช้มือตีหน้าผากตัวเองหนึ่งครั้ง “ข้าน้อยมัวแต่หลงระเริงดีใจ แม้แต่เรื่องใหญ่ขนาดนี้ยังลืมได้”
“เจ้ารีบไป ดูห้องเก็บของว่ามีอะไรบ้าง ขอแค่เป็นสิ่งที่เอาได้เจ้าเรียบเรียงออกมาให้ข้าดู นอกเหนือจากนั้นค่อยไปร้านผ้าไหมยวิ่นเชียงไปจองผ้าไหมชั้นดีหลายๆ ผืนมา แล้วยังต้องจองของว่างที่ประณีตสิบห่อ” พูดจบ คิดได้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวเปิดสาขาร้านผ้าไหมยวิ่นเชียง จึงกล่าวต่อไปว่า “ผ้าไหมยวิ่นเชียงไม่ต้องไปจองแล้ว ไปจองของว่างก่อน”
ลุงฝูรับคำสั่ง แล้วรีบเดินออกไปสั่งการ
พระชายาฉีนึกย้อนถึงความทรงจำ ในปีนั้นที่จวนอ๋องฉียกสินสอดให้ตัวเองนั้น ได้ให้อะไรบ้าง แต่เวลาเนิ่นนานไปแล้ว คิดยังไงก็คิดไม่ออกเลย จึงรีบร้อน สั่งชิงเยว่ “เจ้าใช้คนหนึ่งไปหนานเฉิงรับโยวเอ๋อร์มา ข้าจะปรึกษาหารือกับนางหน่อย”
พระชายาฉีเสมือนกับป่วยแล้วหาหมอไปทั่ว เมิ่งเชี่ยนโยวเป็นหญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือน นางจะไปเข้าใจเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร แต่ว่าหลายปีนี้เพราะว่าพระชายาฉีสุขภาพร่างกายไม่สู้ดีนัก เพื่อนที่สนิทก็มีแค่สองคน คนหนึ่งคือฮูหยินราชเลขา ตอนนี้มีปัญหาขัดแย้งกัน ไม่เชิญนางมาช่วยแน่นอน อีกคนคือกูกูผู้ดูแลตำหนักพระพันปี มันไม่ง่ายที่นางจะสามารถออกมาช่วยได้ ฉะนั้นตอนนี้คนเดียวที่สามารถช่วยเหลือได้คือเมิ่งเชี่ยนโยว
ชิงเยว่รับคำสั่ง เดินออกไปสั่งการ
พระชายาฉีร้อนใจเดินไปเดินมาอยู่ในห้อง
เมิ่งเชี่ยนโยวได้รับคำที่ส่งมาแล้ว ให้หัวหน้าองครักษ์หลวงรีบขี่รถม้า พาชิงหลวนและจูหลีมา เมื่อเข้าห้องโถงด้านหน้าของจวนแม่ทัพแล้ว พระชายาฉีจึงรีบเรียกนางให้นั่งข้างๆ ตัวเอง แม้แต่คำเกริ่นก็ไม่มี ถามไปตรงๆว่า “โยวเอ๋อร์ พวกเราควรเตรียมสินสอดแบบไหนให้แม่นางซูดี”
ไม่คิดเลยว่าที่พระชายาฉีใช้ให้คนเรียกนางมาก็เพราะเรื่องสินสอด เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักงันไปชั่วครู่ จากนั้นก็ยิ้มแล้วกล่าวว่า “พระชายาฉี ท่านหางานยากให้ข้าแล้ว ข้าก็ไม่รู้ขนบธรรมเนียมประเพณีในเมืองเช่นกันเพคะ”
[1] กฎบ้าน คือกฎระเบียบของบ้าน ซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่สืบทอดกันมาตามกฎเกณฑ์ของแต่ละตระกูล มีทั้งบทลงโทษ และอาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องความสัมพันธ์หรือมรดกทรัพย์สินของตระกูล ในที่นี้หมายถึงบทลงโทษ