ทุกคนถอยออกด้านข้าง หวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้าไปข้างในร้านเป็นคนแรก โจวเซี่ยวเดินตาม จากนั้นเหวินซื่อกับภรรยาและซุนเหลียงไฉจึงเดินตามมาเป็นลำดับสุดท้าย
หวงฝู่อี้เซวียนไปที่บ้านของเมิ่งเชี่ยนโยวทุกวัน เมิ่งอี้กับบรรดาจิงเว่ยนั้นคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี จึงไม่ได้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจเลย ออกมาต้อนรับทุกคนอย่างมีไมตรีจิต
หลังจากที่สอบถามว่าแต่ละคนชอบรสชาติแบบไหนแล้วเมิ่งเชี่ยนโยวก็ไปด้านหลัง ปรุงบะหมี่มันฝรั่งหลายชามที่มีรสชาติแตกต่างกันไป เมิ่งอี้เป็นคนยกมาวางไว้ข้างหน้าของทุกคนด้วยตัวเอง
ทุกคนต่างก็ไม่เกรงใจ หยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วก็ลงมือรับประทานทันที
ความจริงแล้วหลายปีมานี้ บะหมี่มันฝรั่งแบบแห้งได้ออกจำหน่ายในเมืองหลวงแล้ว ทุกบ้านต่างก็ซื้อหาเก็บไว้บ้าง แต่ทว่ารสชาติความอร่อยที่ปรุงออกมาได้นั้นเทียบไม่ได้เลยกับที่เมิ่งเชี่ยนโยวปรุงวันนี้
ฮูหยินเหวินรับประทานเข้าไปคำหนึ่งแล้วยิ้มพร้อมกับเอ่ยชมว่า “บะหมี่มันฝรั่งนี้ช่างรสชาติดีเหลือเกิน อร่อยกว่าที่แม่ครัวในบ้านปรุงไม่รู้กี่เท่า หลังจากได้ทานที่เจ้าปรุงแล้ว เกรงว่าหากที่บ้านปรุงอีกข้าคงจะไม่อยากทานแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวที่นั่งร่วมวงสนทนาอยู่ข้างๆ พอได้ยินดังนั้นจึงยิ้มพร้อมกับตอบว่า “ในเมื่อพี่สะใภ้ชอบเช่นนี้ ต่อไปต้องมาทานที่ร้านบ่อยๆ นะเจ้าคะ ข้าจะทำให้ท่านทานเอง”
ฮูหยินเหวินได้ยินดังนั้นจึงยิ้มกว้าง “ได้ ต่อไปข้าจะมาบ่อยๆ ต้องรบกวนแม่นางเมิ่งแล้ว”
หวงฝู่อี้เซวียนกับโจวเซี่ยวและเหวินซื่อก็เคยรับประทานบะหมี่มันฝรั่งฝีมือเมิ่งเชี่ยนโยวเมื่อตอนสี่ปีที่แล้ว วันนี้ได้ลิ้มรสอีกครั้งก็รู้สึกว่าอร่อยยิ่งนัก
โจวเซี่ยวเอ่ยชมว่า “ฝีมือของแม่นางเมิ่งนับวันก็ยิ่งก้าวหน้าขึ้น รสชาติดีกว่าเมื่อสี่ปีก่อนไปอีกขั้นแล้ว”
เหวินซื่อพยักหน้าเห็นด้วย
จากนั้นบะหมี่มันฝรั่งก็ลงท้องไปจนเกลี้ยง ทุกคนรับประทานกันอย่างอิ่มหนำสำราญ เหงื่อไหลไคลย้อยเต็มใบหน้า
ฮูหยินเหวินใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อที่ไหลออกมาบนหน้าผาก เอ่ยขึ้นว่า “ช่างอร่อยเหลือเกิน บะหมี่มันฝรั่งของแม่นางเมิ่งจะต้องขายดีแน่นอน”
“ขอบคุณพี่สะใภ้ที่กล่าวคำมงคล” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว
พอรับประทานเสร็จแล้วก็นั่งคุยกันสักพัก ซับเหงื่อจากตัวจนแห้งดีแล้ว เหวินซื่อกับภรรยาและโจวเซี่ยวก็ลุกยืนขึ้น
เมิ่งเชี่ยนโยวไปส่งพวกเขาที่นอกประตู มองพวกเขาเดินจากไปด้วยรอยยิ้มบางๆ เห็นคนที่กำลังต่อแถวเฝ้ารอคอยที่จะได้กินบะหมี่มันฝรั่งแล้วก็ทอดถอนใจ ผลกระทบจากผู้มีชื่อเสียงนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ไม่ต้องเปลืองแรงไปโฆษณาเอง ก็มีผู้คนมารอมากมายแล้ว
หวงฝู่อี้เซวียนก็สังเกตเห็นความเคลื่อนไหวด้านนอก เขารู้ว่าถ้าขืนตัวเองยังอยู่ที่นี่ คนด้านนอกก็ไม่กล้าเข้ามากินบะหมี่มันฝรั่ง จึงลุกขึ้นแล้วพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยถ้อยคำอ่อนโยนว่า “วันนี้ข้าลาท่านอาจารย์ของกั๋วจื่อเจียนครึ่งวัน ข้ากับ เหลียงไฉจะกลับไปรอเจ้าที่จวนก่อน”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
หวงฝู่อี้เซวียนกับซุนเหลียงไฉจึงเดินออกไป
คนที่กำลังต่อแถวเสียงดังจอแจอยู่ พอเห็นเขาเดินออกมาก็เงียบฉี่ลงทันที
หวงฝู่อี้เซวียนชำเลืองมองคนที่กำลังต่อแถวยาวเหยียดที่หน้าร้าน แล้วก็อมยิ้มด้วยความพอใจ จากนั้นก็เดินจากไปพร้อมกับซุนเหลียงไฉ
เมิ่งอี้เห็นคนที่ต่อแถวอยู่ข้างนอกมากมายก็รู้สึกดีใจยิ่งนัก หลังจากที่สั่งให้คนเก็บกวาดโต๊ะเรียบร้อยแล้ว ก็เดินออกไปหน้าร้าน ประกาศต่อหน้ากลุ่มคนที่กำลังต่อแถวอยู่ว่า “วันนี้เปิดกิจการวันแรก ตามกฎของพวกเราจะลดครึ่งราคา พร้อมกับกับเครื่องเคียงเลิศรสอีกจากหนึ่ง หากท่านใดต้องการรับประทานก็เชิญเข้ามาในร้านตามลำดับแถว ร้านเราเป็นร้านเล็กๆ จึงไม่อาจต้อนรับลูกค้าทุกท่านพร้อมกันได้ ส่วนลูกค้าที่ต่อแถวอยู่ด้านหลังกรุณาต่อแถวรออีกสักครู่”
กล่าวจบก็เปิดประตูร้าน แล้วเชิญกลุ่มคนที่อยู่ด้านหน้าเข้าไปก่อน
กลุ่มคนที่ต่อแถวอยู่ด้านหน้าต่างก็รู้สึกดีใจมาก จากนั้นแย่งกันเดินเข้าไปด้านใจ แล้วสอบถามว่าพนักงานว่าบรรดาผู้สูงศักดิ์นั้นนั่งอยู่ที่ใด เมื่อทราบแล้วต่างก็พากันยื้อแย่งที่จะนั่งตรงนั้น
คนที่ตามมาทีหลังจึงมาแย่งไม่ทัน แต่ว่าพอนึกว่าสามารถได้กินบะหมี่มันฝรั่งที่แม้แต่ซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องฉียังมาร่วมอวยพรได้ ก็รู้สึกตื่นเต้นอยู่ในใจไม่น้อย
เถ้าแก่เหลาจวี้เสียนด้านตรงข้ามพอเห็นว่าที่หน้าร้านมีคนต่อแถวยาวเหยียดก็รู้สึกประหลาดใจ คิดในใจว่าตัวเองนั้นทำการค้ามานานหลายปี แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นบรรยากาศคึกคักเช่นนี้
ทุกคนในร้านต่างก็ยุ่งวุ่นวายกันหมด ทั้งทักทายต้อนรับลูกค้า ทั้งเก็บโต๊ะ ทั้งยกบะหมี่มันฝรั่งมาให้ลูกค้า ต่างก็ยุ่งในหน้าที่ของตนอย่างมีความสุข
พอคนเยอะในร้านก็มีงานยุ่ง จึงรู้สึกว่าพนักงานไม่พอ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงยืนอยู่หลังโต๊ะเพื่อรอเก็บเงิน
ในตอนนี้เองเถ้าแก่ของร้านค้าที่อยู่ละแวกนั้นต่างก็สั่งให้พนักงานไปซื้อของกำนัลมา ต่างก็ถือของกำนัลมาร่วมยินดีกันไม่ขาดสาย
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ออกไปรับด้วยตัวเอง ให้เมิ่งอี้เป็นคนต้อนรับพวกเขา หลังจากที่กล่าวขอบคุณพวกเขาด้วยไมตรีจิต เมิ่งอี้ก็เชื้อเชิญให้พวกเขานั่งกินบะหมี่มันฝรั่งด้วย
เดิมทีเถ้าแก่เหล่านั้นก็ต้องการเช่นนั้นเหมือนกัน ต่างก็คิดว่าพอนั่งกินบะหมี่มันฝรั่งเรียบร้อยแล้ว ก็ขยับเข้าไปใกล้เมิ่งเชี่ยนโยว แต่พอเห็นผู้คนมากมายที่มารอกินต่างก็ทราบกันดีว่านั่งกินไม่ได้แล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่มีเวลาว่างพอที่จะมาดูแลพวกเขาโดยส่วนตัว พวกเขาจึงปฏิเสธไปอย่างสุภาพ
เมิ่งอี้จดจำชื่อร้านของพวกเขาแต่ละคนไว้อย่างดี แล้วก็หาเวลาว่างไปสั่งให้คนในห้องครัวปรุงบะหมี่มันฝรั่งให้เรียบร้อย แล้วสั่งให้พนักงานนำไปส่งที่ร้านของพวกเขา
หลังจากที่ข่าวแพร่ออกไปก็มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามารอกินบะหมี่มันฝรั่งกันมากมาย มีคนเข้าแถวรอเต็มหน้าร้านตลอดเวลา รอจนเลยเวลาอาหารเย็นแล้วคนจึงค่อยๆ น้อยลงบ้าง ทุกคนในร้านต่างก็เหน็ดเหนื่อยแทบขาดใจ โดยเฉพาะเหล่าบรรดาองครักษ์ที่เป็นคนยกบะหมี่มันฝรั่งมาให้ลูกค้าต่างก็รู้สึกเหนื่อยล้ากันทั้งนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแม่นางสามคนที่ทำหน้าที่ปรุงบะหมี่อยู่ด้านหลังเลย จวบจนกระทั่งไม่มีคนเข้ามากิน เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งให้ทุกคนหยุดสักครู่ ทั้งสามคนนั้นเหนื่อยจนแทบจะคลานอยู่บนพื้น
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นหตุการณ์ทั้งหมดนี้ก็รู้ว่าทุกคนต่างก็เหน็ดเหนื่อยกันทั้งสิ้น จึงสั่งให้พวกเขานั่งลงก่อน แล้วให้เมิ่งอี้ติดป้านหน้าร้านว่ากำลังพักไว้หน้าร้าน แล้วพูดขึ้นว่า “วันนี้ต่างก็เหน็ดเหนื่อยกันไม่น้อย อีกสักครู่หลังจากที่ทานข้าวกันเสร็จแล้ว ทุกคนก็กลับไปพักได้ รอวันพรุ่งนี้ค่อยเปิดร้านต้อนรับลูกค้า”
แม้เมิ่งอี้จะรู้สึกว่านี้เป็นโอกาสอันดี หากปิดร้านยามบ่ายนั้นค่อนข้างน่าเสียดายไปบ้าง แต่ทว่าก็รู้ดีว่าทุกคนในร้านต่างก็เหน็ดเหนื่อยกันถ้วยหน้า ถ้าขืนยังฝืนเปิดร้านในยามบ่ายก็ไม่แน่ว่าวันพรุ่งนี้อาจจะลุกไม่ขึ้นก็ได้ จึงไม่ได้แย้งใดๆ
หลังจากที่พักผ่อนกันสักพักแล้ว แม่นางทั้งสามคนก็ไปปรุงบะหมี่มันฝรั่งที่มีรสชาติตามที่ทุกคนชื่นชอบให้คนละชาม หลังจากที่ทุกคนกินเสร็จ เก็บกวาดทำความสะอาดร้านเรียบร้อย จากนั้นก็ปิดร้านแล้วก็นั่งรถม้ากลับจวน
บรรดาร้านค้าต่างๆ ที่อยู่ละแวกนั้นต่างก็ไม่เข้าใจ กิจการการค้าดีถึงเพียงนี้ไม่ทำต่อ แต่ดันปิดร้านแล้วกลับบ้านไปแล้ว
สองวันถัดมาก็ยังเป็นเช่นเดิม ยามเช้ายังไม่ทันได้เปิดร้านก็มีกลุ่มคนที่ชื่นชมในความมีชื่อเสียงเข้ามารอต่อแถวกันเอง
จนถึงวันเปิดร้านวันที่สี่ ราคาของบะหมี่มันฝรั่งก็กลับคืนราคาเดิม คนที่มากินก็มีน้อยลงไปบ้าง ทุกคนในร้านต่างก็ผ่อนคลายมากขึ้น เมิ่งอี้จึงเสนอขึ้นว่ายามค่ำก็ควรเปิดร้านด้วย
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าเห็นชอบด้วย แล้วพูดกำชับเขาว่า “นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หากไม่มีเรื่องใหญ่ข้าจะไม่เข้ามาแล้ว ทุกอย่างในร้านให้เป็นการตัดสินใจของท่าน ไม่จำเป็นต้องถามความเห็นจากข้าทุกเรื่องนะเจ้าคะ”
เมิ่งอี้ตอบรับ แล้วก็เริ่มจัดระเบียบคนในร้าน
หลังมื้อเที่ยงคนที่มากินอาหารก็น้อยลงแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวตรวจทานบัญชีเรียบร้อยแล้วเตรียมส่งให้เมิ่งอี้ ส่วนตัวเองนั้นก็คิดจะกลับจวนไป หลายวันมานี้หวงฝู่อี้เซวียนรู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวยุ่งมาก จึงไม่ได้มารับประทานมื้อเที่ยงด้วย รอจนกระทั่งยามบ่ายที่คิดว่านางคงจะกลับมาแล้ว ค่อยควบม้ามารอที่จวนของนางพร้อมกับหวงฝู่อี้ ดังนั้นวันนี้นางจึงคิดจะกลับจวนเร็วหน่อย จะได้ไปทำกับข้าวอร่อยๆ ให้หวงฝู่อี้เซวียนกับซุนเหลียงไฉกิน
เพิ่งจะตรวจทานบัญชีเสร็จ กำลังจะร้องเรียกเมิ่งอี้ให้มาหา ก็มีคนเปิดประตูร้านออกอย่างรุนแรง เสียงแหลมจากหวงฝู่อวี้ก็ดังขึ้น “เอาบะหมี่มันฝรั่งมาสองชาม!”
เมิ่งอี้ไม่รู้จัก จึงเดินเข้าไปต้อนรับอย่างมีไมตรี “คุณชายท่านนี้ เชิญนั่งขอรับ”
หวงฝู่อวี้ไม่ได้นั่งลง แต่กลับมองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างลำพองใจแวบเดียว จากนั้นก็หันหน้าไปพูดกับคนที่อยู่ด้านหลังว่า “เยียนเอ๋อร์ เจ้าระวังหน่อยนะร้านนี้ช่างโกโรโกโสยิ่งนัก อย่าให้โดนตัวเจ้าล่ะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหรี่ตา
แม่นางที่ดูท่าทางอ่อนช้อยผู้หนึ่งเดินเข้ามาข้างในโดยมีสาวใช้ประคองแขนอยู่สองข้าง ประเมินดูร้านด้วยความแปลกใจแวบหนึ่งจากนั้นถามหวงฝู่อวี้ขึ้นว่า “ร้านนี้ใช่ไหมที่ท่านพี่ซื่อจื่อมาอวยพรให้?”
หวงฝู่อวี้ตอบว่า “ใช่แล้ว ข้าสืบข่าวมาจากพี่ใหญ่โดยเฉพาะ ถึงได้มาที่นี่”
เมิ่งอี้รู้แล้วว่าบุคคลที่เข้ามาเป็นใคร จึงเอี้ยวคอหันไปมองเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวยกยิ้มบางๆ ทำให้คนมองไม่ออกว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
กำชับเมิ่งอี้ว่า “สองท่านนี้เป็นแขกผู้มีเกียรติ เพิ่มเครื่องเคียงรสเลิศเพิ่มอีกอย่างด้วย”
หวงฝู่อวี้โบกมือ “ไม่ต้อง ข้าเองก็มิใช่ว่าจะไม่มีเงินจ่าย เหตุใดต้องให้เจ้าส่งให้ด้วย”
น้ำเสียงฟังดูหาเรื่องอยู่หน่อยๆ คิ้วของเมิ่งเชี่ยนโยวขมวดมุ่น
เมิ่งอี้ยิ้มพร้อมกับกล่าวขึ้นพลัน “เชิญทั้งสองท่านนั่งขอรับ ต้องการบะหมี่มันฝรั่งรสชาติอย่างไร ข้าจะไปสั่งให้คนปรุงมาให้ขอรับ”
ในร้านยังมีแขกอยู่สองสามคนกำลังกินบะหมี่มันฝรั่งอยู่ หวงฝู่อวี้ปรายตามองพวกเขาอย่างรังเกียจ แล้วพูดกับเยียนเอ๋อร์ว่า “เจ้าดูสิคนที่มากินบะหมี่มันฝรั่งที่ร้านนี้เป็นเช่นไรบ้าง เจ้ายังอยากมาอีก ไม่กลัวหรือว่าจะเป็นการลบหลู่ฐานะของเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวตีหน้าขรึม แล้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแข็งกระด้างว่า “คุณชายรอง หากเจ้าจะมารับประทานอาหารก็เชิญนั่งลงทาน หากมิใช่ก็เชิญออกไป ร้านเล็กๆ ของเราต้อนรับแขกผู้มีเกียรติอย่างเจ้าไม่ไหว”
ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 34-1 โยนออกไป
Posted by ? Views, Released on October 4, 2021
, ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]
เมื่อนักฆ่าในยุคปัจจุบันอย่าง เมิ่งเชียนโยว ต้องทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของสาวน้อยชนบทผู้เอาแต่ใจ
ประสบการณ์ครั้งใหม่จึงได้เริ่มต้นขึ้น!
นางจะเอาชีวิตรอดได้อย่างไรในครอบครัวที่อัตคัดเช่นนี้ หนทางเดียวที่พอจะทำได้ก็คือการหาทางเลี้ยงชีพเพื่อพลิกฟื้นครอบครัวชาวนาให้ขึ้นมารุ่งเรืองมั่งคั่ง แต่ด้วยความสามารถของนางแล้วนั่นมันก็ไม่ใช่ปัญหาหนักอะไรนัก ปัญหาก็คือ…
นางมีคู่หมั้นแล้ว และคู่หมั้นของนางก็เป็นเด็กตัวกะเปี๊ยกหน้าตามอมแมมเนี่ยน่ะหรือ!?
…
“น้องหญิง เด็กผู้ชายคนนั้นก็คือสามีในอนาคตของเจ้า” เมิ่งเสียนพี่ชายคนโตชี้ไปที่เด็กผู้ชายเสื้อผ้าสกปรกมอมแมมไม่ไกลออกไป เชี่ยนโยวได้ฟังแล้วพลันรู้สึกเหมือนโดนสายฟ้าฟาด
“น้องหญิง สามีในอนาคตของเจ้าถูกคนทำร้าย!” เมิ่งฉีพี่ชายคนรองทะยานเข้ามาจากประตูใหญ่อย่างร้อนรน ร้องตะโกนบอกเมิ่งเชี่ยนโยว เส้นประสาทที่หน้าผากเมิ่งเชี่ยนโยวพลันเกร็งกระตุก
“ท่านพี่ สามีในอนาคตของพี่…” คำพูดของเมิ่งเจี๋ยน้องชายคนเล็กยังไม่ทันจบก็ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวตัดบทขึ้น “ไปบอกท่านพ่อกับท่านแม่ สามีในอนาคตของข้า พวกเราจะเลี้ยงดูเอง!”
Recommended Series
Comment
Facebook Comment