เอ่อ
เฉินเฉียวรู้สึกว่าเธอโดนถูกดูอย่างจริงจัง
เขาล้อเลียนเธอว่าเป็นเด็กหรือเปล่า?
แต่น้ำเสียงของเขาดูเหมือนจะไม่ได้เยาะเย้ย ฟังดูเหมือนเอาใจเด็กมากกว่า
เฉินเฉียวอดไม่ได้ที่จะมองไปที่เขา
ไม่ใช่สักหน่อย พี่เฉียวไม่ใช่เด็ก พ่อแหละที่เป็นเด็ก “ซังโย่วอีปกป้องเธอ
เฉินเฉียวรู้สึกว่ามีใครบางคนยืนอยู่ข้างๆเขาและหัวเราะ “ซังโย่วอีพูดถูก เขาต่างหากที่เป็นเด็ก”
ประโยคก่อนหน้าเป็นของเด็กน้อย
ประโยคสุดท้ายใครบางคนเป็นคนพูด
ซังหลินจวินหันไปมองคนสองคนที่เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ก็เหมือนจะอารมณ์ดีขึ้น วางช้อนบนโต๊ะแล้วถาม : “ทำไมฉันถึงเป็นเด็ก?”
“……”เฉินเฉียวไม่สามารถตอบได้
แต่ว่าซังโย่วอีพูดขึ้นมาทันที: “พ่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้วยังจะกินนมพี่เฉียวอยู่อีก เมื่อคืนเห็นหมดแล้ว ถ้าพ่อไม่ใช่เด็กแล้วจะเป็นอะไร ”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมาเฉินเฉียวที่กำลังดื่มนมหน้าแดงจากการสำลักและเกือบจะพ่นออกมา
สีหน้าของซังหลินจวินที่เรียบเฉยตลอดเวลานั้นตอนนี้ก็ดูหน้าบางเป็นพิเศษ
ทางด้านคนรับใช้และป้ามั่วก็อดขำไม่ได้
เฉินเฉียวคิดผิด เธอไม่ควรฟังประโยคนั้นของเด็ก เธอไอจนหน้าแดง
ซางหลินจุนเหลือบมองเธอและสั่งคนที่อยู่ด้านข้างว่า “ขอน้ำให้คุณเฉินหนึ่งแก้ว”
คนรับใช้เสิร์ฟน้ำทันที
ซังโย่วอีเหมือนกับรู้ว่าระหว่างผู้ใหญ่มีเรื่องผิดปกติเลยถาม”พี่เฉียว ผมพูดผิดหรอ”
“กินอาหารเช้าเถอะ”ซางหลินจุนเตือน เขายังไม่ได้คิดบัญชีกับเด็กคนนี้ที่ขัดจังหวะเขาเมื่อคืน
ซังโย่วอีกำลังจะพูดต่อ เฉินเฉียวกลัวว่าเขาจะพูดอะไรที่น่าตกใจขึ้นมาอีก เลยป้อนพุดดิ้งให้เขาเต็มปาก“ห้ามพูดระหว่างทานอาหารนะจ๊ะ ถ้าพูดมากอีกล่ะก็ พี่จะไม่ทำเค้กให้กินนะ ”
ซังโย่วอีกลืนพุดดิ้ง แล้วพึมพำ: “พี่เฉียวไปช่วยคุณพ่อทำไม”
เฉินเฉียวมองไปที่ซังหลินจวินแวบหนึ่ง เธอหน้าแดงก่ำจนต้องละสายตาหนี เธอช่วยซังหลินจวินซะที่ไหนกันล่ะ เธอช่วยตัวเองต่างหาก
ในบรรยากาศที่อธิบายไม่ถูกแบบนี้ เฉินเฉียวกินอาหารอย่างเช้าเต็มปากเต็มคำ รู้สึกอับอายจริงๆ! อยู่ในบ้านตระกูลซังไม่ได้อีกแล้ว
“ พ่อครับ ไหนบอกว่าไปธุระจะไม่กลับไม่ใช่หรอ ทำไมเมื่อคืนอยู่บ้านล่ะ”ซังโย่วอีถาม
ซังหลินจวินตอบว่า: “ถ้าไม่กลับมาจะรู้ได้อย่างไรว่าลูกพาผู้หญิงกลับบ้านตั้งแต่อายุยังน้อย”
“……”เฉินเฉียวรู้สึกเจ็บเข่ามาก
“ พี่เฉียวไม่ใช่คนนอก พ่อก็เคยพากลับมาแล้วด้วย ”
“พ่อเป็นผู้ใหญ่ลูกยังเป็นเด็ก”
“ งั้นครั้งหน้าผมไม่พาพี่เฉียวมาแล้ว ผมจะไปอยู่กับพี่เฉียวที่บริษัท ได้ไหมพี่เฉียว “ซังโย่วอีหันมาถามเธออีก
เฉินเฉียวหัวเราะเบา ๆ “ถ้าไม่รังเกียจเตียงแข็งๆในห้องทำงานฉัน ก็มาได้”
จู่ๆซังหลินจวินก็ถามว่า: “ตอนนี้ค้างที่บริษัทหรอ”
เฉินเฉียวรู้ว่าเขากำลังพูดกับเธอก็เงยหน้าขึ้นมองเขาและพยักหน้า “ใช่”
“ย้ายออกแล้วหรอ?”
อืมเฉินเฉียวรู้สึกว่าเรื่องส่วนตัวของเธอไม่เกี่ยวกับเขา เธอจะไม่ตอบก็ได้ แต่เขาถามอะไรเธอก็ตอบอย่างว่าง่าย
ซังหลินจวินทำตาเป็นประกาย หั่นไข่ไก่ด้วยท่วงท่าสง่างามพลางกับเธอ“ย้ายไปนอนที่บริษัทไม่ใช่การแก้ปัญหาในระยะยาว ได้ดูบ้านที่เหมาะๆไว้หรือยัง ”
“ กำลังดูๆอยู่ แต่จริงๆนอนที่บริษัทก็ดี ถ้ายังไม่เจอบ้านที่เหมาะๆ ก็คงจะนอนที่บริษัทไปเรื่อยๆ ”
“ ชอบบ้านแบบไหน”ซังหลินจวินถาม
“พื้นที่กว้างๆ สว่างๆหน่อย เรียบง่ายแต่อบอุ่นก็โอเค”
ซังหลินจวินพยักหน้า “บ้านแบบนี้หาง่าย”
เฉินเฉียวรู้สึกว่ามันไม่เหมาะสมที่จะพูดเรื่องส่วนตัวกับเขา เธอจึงเงียบไม่พูดต่อเรื่องบ้าน
จู่ๆนึกขึ้นได้ก็ถาม: “คุณไปกินข้าวกับหลูตงซิ้งแล้วหรอ”
“ ทำไมฉันต้องไปกินข้าวกับเขา”ซังหลินจวินถามกลับ
เฉินเฉียวประหลาดใจเล็กน้อย “เขาเซ็นสัญญากับโหยวจิ้งหลี ฉันเลยนึกว่า … ”
“หลูตงซิ้งไม่ใช่คนโง่ แค่ลองสืบๆหน่อยก็รู้แล้วว่าโหยวจิ้งหลีกับฉันเกี่ยวข้องกันยังไง ไม่แปลกที่เขาเซ็นสัญญาด้วย ”
อย่างงี้นิเองเฉินเฉียวยังคงรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เธอใช้ความพยายามอย่างมากและไม่ว่าแผนจะดีแค่ไหนมันก็ยังไม่สำคัญในตอนท้ายที่สุด
ซังหลินจวินมองไปที่เฉินเฉียวอย่างลึกซึ้งและพูดอย่างมีความหมายแฝง: “โครงการนี้แต่เดิมมันจะป็นของคุณก็ได้ เบ็ดถูกโยนไว้ตรงนั้น แต่คุณไม่งับจะโทษใครได้ ”
เฉินเฉียวรู้สึกกระวนกระวายใจ แต่แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจเธอยังคงกินอาหารเช้าต่อไป ผู้ชายคนนี้ไม่น่าจะหว่านแหใส่ผู้หญิงทุกคนแบบนี้ล่ะมั้ง
ซังหลินจวินไม่ได้พูดต่อ
ซังโย่วอีพึมพำจากด้านข้าง: “ผู้ใหญ่นี่ดื้อจริงๆ ไหนบอกว่าตอนทานข้าวห้ามพูดไง ตอนนี้ตัวเองพูดใหญ่เลย ”
อ๊ะ.
เฉินเฉียวทำให้ดูเป็นตัวอย่างและตัดสินใจที่จะไม่พูดอะไรอีก
หลังอาหาร.
เฉินเฉียวสัญญากับซังโย่วอีว่าจะอบเค้กให้เขา เธอเลยผิดสัญญาไม่ได้
โชคดีที่ซังหลินจวินไม่ได้อยู่บ้านนานอวี้เฟยมารับเขาไปบริษัท
เมื่อเห็นเฉินเฉียว อวี้เฟยก็ประหลาดใจมาก “คุณเฉิน?”
“สวัสดีค่ะ”เฉินเฉียวกล่าวทักทายแบบทำตัวไม่ถูก
ไปกันเถอะซังหลินจวินหยิบเอกสารและลงไปชั้นล่างพาอวี้เฟยออกไป เมื่อเดินผ่านเฉินเฉียวเขาพูดอย่างเรียบๆๆ : “ผมบอกคนขับรถแล้วนะ ตอนกลับให้เขาไปส่งคุณนะ อย่างอนเดินกลับเอง ”
เฉินเฉียวรู้สึกอายเมื่อเขาจำสิ่งที่เธอพูดด้วยความโกรธเมื่อวานนี้ได้ เธอกระซิบกลับว่า: “ฉันไม่ได้โง่ขนาดนั้น”
ซังหลินจวินยิ้มจาง ๆ “อย่าโกรธจนเผาครัวฉันล่ะ”
เฉินเฉียวตอบ“ ประธานซังยังรู้นะคะว่าฉันโกรธงั้นวันหลังก็อย่ามายั่วฉันอีก
“ ผมยั่วคุณจริงหรอ”ซังหลินจวินหยุดและยื่นเอกสารให้อวี้เฟยพร้อมกับเอามือล้วงกระเป๋ามองไปที่เธอ “คุณเฉิน ผมลืมถามคุณไปเลยว่า‘ไอตรงนั้นใช้การไม่ได้’คืออะไร
“……”เฉินเฉียวยอมผู้ชายคนนี้เลยจริงๆ สามารถถามเรื่องพวกนี้ต่อหน้าอวี้เฟยได้โดยไม่เขินอาย
เธอมองไปที่อวี้เฟยที่อยู่ข้างหลังเขาอวี้เฟยกำลังหยิบเอกสารทำเป็นไม่ได้ยินเรื่องเรื่องทั้งหมด
แต่ในใจคงจะช๊อคตายไปตั้งนานแล้ว
ฉัน….ได้ยินคนอื่นเข้าพูดกัน “เฉินเฉียวไม่ต้องการตอบ แต่ช่วยไม่ได้ผู้ชายคนนี้เอาแต่จ้องเธอ ดูเหมือนว่าถ้าเธอไม่ตอบเขาก็จะไม่ไป เธอหัวเราะแห้งๆ “บารมีของท่านประธานซังแผ่ขยายไปทั่วและข่าวแบบนี้ก็แพร่ไปทั่วเช่นกัน”
หรอ?ซังหลินจวินไม่โกรธแม้แต่น้อย“ งั้นคุณเฉินคิดว่าของผมใช้การได้หรือไม่ได้”
“……”เฉินเฉียวหน้าแดงและผลักเขา“ ประธานซังคะ ถ้าไม่รีบ จะไปทำงานสายนะคะ”
หลังจากที่เธอพูดจบเธอก็หันกลับไปและเข้าไปในครัว
ซังหลินจวินไม่ได้กำลังทำให้เธอลำบากใจ แต่มองไปที่เธอจากด้านหลังรอยยิ้มของเขาก็กว้างขึ้น