ตอนที่ 153 นี่คือความจริงใจของฉัน
เย่หมิงหมิ่นยกแก้วน้ำเดินมาข้างหน้าพร้อมรอยยิ้มเยือกเย็น “ถ้าแม้แต่งานเล็กๆ แค่นี้ยังจัดการไม่ได้ ต้องให้ผู้จัดการมาออกหน้าแทน ฉันแนะนำให้ใครบางคนออกจากบริษัทตระกูลอวี๋ไปเลยจะดีกว่า อย่างน้อยๆ ตอนเซี่ยจิงจิงอยู่ก็ไม่เคยเกิดความผิดพลาดแบบนี้”
เมื่อเห็นเย่หมิงหมิ่นปรากฏตัว คนที่คิดจะแนะนำเหนียนเสี่ยวมู่เมื่อครู่ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปบ้าง
เพราะเย่หมิงหมิ่นพูดถูก
เหนียนเสี่ยวมู่เข้ามาในแผนกประชาสัมพันธ์ได้ก็เพราะความสามารถโดดเด่น และคุณชายหานก็ใช้เส้นให้เธอเข้ามาตั้งแต่ทีแรก
เธอรับตำแหน่งซูเปอร์ไวเซอร์แทนเซี่ยจิงจิง
ถ้าเธอเทียบเซี่ยจิงจิงไม่ได้ เจอปัญหาทีไรก็ทำได้แค่ไปหาผู้จัดการ อย่างนั้นเธอจะมีสิทธิ์อะไรอยู่ที่แผนกประชาสัมพันธ์ล่ะ
ทุกคนเงียบกริบไปในทันที สายตาที่มองเหนียนเสี่ยวมู่เจือความสงสัย
“แต่ว่าเชิญซ่างซินมายากเย็นแบบนี้ แถมยังบอกให้รู้โดยทั่วกันว่าตัวเองจะไม่รับงานพรีเซ็นเตอร์…”
“ก็นั่นน่ะสิ ก่อนหน้านี้มีผู้ลงทุนไปหาซ่างซินตั้งเยอะแยะ แต่ก็ถูกปฏิเสธทั้งหมด ถึงเหนียนเสี่ยวมู่จะเก่ง แต่ก็คงทำไม่ได้แน่ๆ!”
“ฉันกลับคิดว่าแทนที่จะรับปากตอนนี้ บอกผู้จัดการตอนนี้ว่าตัวเองทำไม่ได้ ดีกว่าเสียหน้าตอนนั้นนะ”
“เธอหมายความว่าจะให้เธอไปยอมรับว่าตัวเองทำไม่ได้อย่างนั้นเหรอ ไม่ได้ยินซูเปอร์ไวเซอร์เย่หรือไง ถ้าเหนียนเสี่ยวมู่ทำงานนี้ไม่ได้ เธอก็ไม่มีสิทธิ์จะอยู่ที่แผนกประชาสัมพันธ์ของเราจริงๆ…”
“…”
เพียงแค่หนึ่งนาที รอบข้างก็มีเสียงถกเถียงของเพื่อนร่วมงานดังขึ้นมาหยุดหย่อน
ไม่มีใครเชื่อว่าเหนียนเสี่ยวมู่จะเชิญซ่างซินมาได้จริงๆ ต่างก็รอว่าเธอจะบอกว่าตัวเองทำไม่ได้ และรับผิดกับเหวินหย่าไต้เองเมื่อไหร่กัน
เหนียนเสี่ยวมู่ขมวดคิ้วมุ่น
คำพูดของเย่หมิงหมิ่นชัดเจนมาก
ที่แท้ทุกคนยังคิดว่าเชิญซ่างซินมาเป็นเรื่องยากมาก เชิญไม่ได้ก็เป็นเรื่องปกติมาก
แต่ถ้าตอนนี้เธอเชิญซ่างซินมาไม่ได้ก็จะกลับกลายเป็นว่าเธอไม่มีความสามารถ
“ซูเปอร์ไวเซอร์เหนียน คุณเพิ่งมาใหม่ ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่รู้จักฝีมือคุณนะ ตรงไหนที่พูดไม่เข้าหู คุณก็ให้อภัยฉันแล้วกัน พวกเราทุกคนรอเรื่องน่ายินดีจากคุณอยู่ทั้งนั้นแหละ” เย่หมิงหมิ่นเห็นบรรยากาศเริ่มแย่ ถึงได้พูดพร้อมรอยยิ้ม
สิ้นเสียงของเธอ คนรอบข้างก็ส่งเสียงสนับสนุนขึ้นมาทันที
ดูเหมือนเธอกำลังไกล่เกลี่ยให้ แต่ความจริงแล้วกำลังกดดันเหนียนเสี่ยวมู่อยู่ต่างหาก
ครั้นเห็นว่าตัวเองทำตามเป้าหมายได้สำเร็จ เธอก็ยกแก้วน้ำเดินกลับไปยังที่นั่งของตัวเองด้วยความสบายใจ
“ซูเปอร์ไวเซอร์เหนียน ขอโทษที่ฉันพูดมากนะคะ เลยทำให้คุณลำบากเลย” นักศึกษาฝึกงานที่เป็นห่วงเหนียนเสี่ยวมู่เมื่อครู่เอ่ยปากพร้อมสีหน้าสำนึกผิด
สีหน้าของเหนียนเสี่ยวมู่เรียบเฉยมาโดยตลอด ครั้นได้ยินเสียงคนข้างๆ เธอก็ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย “ไม่เกี่ยวกับคุณเลยค่ะ ถึงแม้พวกเขาไม่ได้พูดอะไรพวกนี้ ฉันก็ไม่ยอมแพ้เรื่องพรีเซ็นเตอร์ซ่างซินง่ายๆ หรอก!”
“คุณคิดจะไปสู้เพื่องานพรีเซ็นเตอร์นี้จริงๆ เหรอคะ” นักศึกษาฝึกงานออกจะตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด
“สรรพสิ่งอยู่ที่คนกำหนด ไม่ทำให้เต็มที่แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าไม่มีหวังแม้สักนิด” เหนียนเสี่ยวมู่หันหน้าไปมองจอคอมพิวเตอร์ของตัวเอง ในหัวมีแต่คำพูดของเย่หมิงหมิ่นเมื่อครู่ อยู่ๆ ก็จับทางงานที่ไม่มีต้นสายปลายเหตุได้
เธอยื่นมือไปเปิดเอกสารโครงงานประชาสัมพันธ์ที่บริษัทเทคโนโลยีเซิ่งต้าสร้างขึ้น และทำรายงานส่วนพรีเซ็นเตอร์อีกครั้ง
จากนั้นก็ส่งอีเมลไปหาผู้จัดการของซ่างซิน
เย่หมิงหมิ่นพูดถูกต้อง เธอเพิ่งมาใหม่ เพื่อนร่วมงานในแผนกประชาสัมพันธ์ไม่รู้จักเธอ จะต้องสงสัยในความสามารถของเธอแน่นอน
อย่างนั้นซ่างซินล่ะ?
คนที่อยากร่วมงานกับซ่างซินมีตั้งมากมายแล้วทำไมนางแบบสาวชื่อดังต้องเลือกเธอด้วย
เธอต้องทำให้ซ่างซินเห็นความจริงใจของเธอให้จงได้
ตอนที่ 154 ไม่เห็นน่ารักเลยสักนิด
เมื่อประกาศออกมา ในที่สุดท้องของเหนียนเสี่ยวมู่ก็อดประท้วงออกมาไม่ได้
เธอเงยหน้ามองเวลาครั้งหนึ่ง ก่อนจะพบว่าเป็นเวลาบ่ายโมงครึ่งแล้ว
เลยเวลาข้าวกลางวันมาตั้งนานแล้ว แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุด…
เธอลืมเปลี่ยนยาให้เสี่ยวลิ่วลิ่วไปเลย
เหนียนเสี่ยวมู่ผุดลุกจากเก้าอี้ทันควัน เธอคว้าโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาแล้ววิ่งออกจากแผนกประชาสัมพันธ์โดยไม่ทันได้ดื่มน้ำสักอึก
หลังจากเข้าไปในลิฟต์แล้ว เธอก็กดชั้นของส่วนทำงานประธานบริษัทอย่างรวดเร็ว
และได้แต่ภาวนาอยู่เงียบๆ ในใจ ขอให้สายตาเย็นชาของอวี๋เยว่หานอย่าได้แช่แข็งเธอทั้งเป็นเลย…
ติ๊ง!
ลิฟต์มาถึงแล้ว
เหนียนเสี่ยวมู่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้ว ถึงจะเดินไปทางห้องทำงานประธานบริษัท
แต่เพิ่งเดินมาถึงหน้าประตูก็เห็นผู้ช่วยเฝ้าอยู่ข้างนอก
“ฉันมาเปลี่ยนยาให้เสี่ยวลิ่วลิ่วค่ะ” เหนียนเสี่ยวมู่พูดจบ ผู้ช่วยก็เปิดประตูห้องทำงานให้เธอ
เมื่อเธอเดินเข้าไปข้างในก็พบว่าอวี๋เยว่หานไม่อยู่ ส่วนเสี่ยวลิ่วลิ่วหลับไปแล้ว ร่างกายเล็กนุ่มนิ่มกำลังนอนคว่ำอยู่บนหมอน กำลังนอนหลับก้นโด่งอยู่
ท่านอนแปลกประหลาดแบบนี้ไม่รู้เหมือนใคร
เหนียนเสี่ยวมู่ผ่อนฝีเท้าเดินไปข้างหน้า ก่อนจะอุ้มเด็กหญิงขึ้นมาจัดท่าให้ดีแล้วเริ่มใส่ยาบนแผล
เธอกังวลว่าจะปลุกเสี่ยวลิ่วลิ่วจึงใส่ยาอย่างอ่อนโยนและเชื่องช้ามาก
หลังจากใส่ยาเสร็จ บนขอบหน้าผากของเธอก็มีเหงื่อเม็ดบางๆ ผุดพรายขึ้นมา
ครั้นเห็นเสี่ยวลิ่วลิ่วหลับเหมือนนางฟ้าตัวน้อย เหนียนเสี่ยวมู่ก็อดที่จะหอมแก้มบนใบหน้ารูปไข่สีชมพูระเรื่อไม่ได้
“ถ้าพ่อของหนูน่ารักได้ครึ่งหนึ่งของหนูก็ดีสิ”
เหนียนเสี่ยวมู่ลุกขึ้นจากขอบเตียง เก็บกล่องยาเรียบร้อย แต่เพิ่งหมุนตัวเตรียมออกจากห้องพักผ่อน ก็เห็นอวี๋เยว่หานยืนอยู่หน้าประตูห้อง
ใบหน้าเย็นชาจ้องมองเธออยู่เงียบๆ
“เฮ้ย!” เหนียนเสี่ยวมู่ถอยหลังไปทันที เกือบจะชนขอบเตียงอยู่แล้ว
เธอฝืนให้ร่างกายยืนอย่างมันคง ก่อนจะหันไปมองเสี่ยวลิ่วลิ่วด้วยความเคร่งเครียด แต่เห็นว่าเด็กหญิงไม่ได้ตกใจตื่น เธอถึงได้มองอวี๋เยว่หานอีกครั้ง
ดวงตาสีดำล้ำลึกของเขากวาดตามองใบหน้าของเธอ แล้วหมุนตัวเดินออกไป
เหนียนเสี่ยวมู่ถือกล่องยาเดินตามไป กระวนกระวายใจอยู่ตลอดว่าเขาได้ยินที่เธอพูดเมื่อครู่หรือเปล่า
คนโบราณพูดถูก พูดจาให้ร้ายคนอื่นลับหลังไม่ได้จริงๆ
ไม่ว่าจะพูดครั้งไหนก็โดนจับได้ทุกครั้งเลย
เธอซวยเกินไปแล้ว
เหนียนเสี่ยวมู่เดินออกจากห้องพักผ่อน กำลังหาโอกาสหนีออกไปก่อน แต่พอเธอจัดการความรู้สึกตัวเองได้แล้วก็เริ่มได้กลิ่นอาหารหอมๆ สายหนึ่งโชยมา
ครั้นเงยหน้าขึ้นก็มองเห็นผู้ช่วยเข็นรถเข็นอาหารเดินเข้ามาจากข้างนอก
เหนียนเสี่ยวมู่ลอบมองรถเข็นครั้งหนึ่ง บนนั้นมีอาหารอยู่สองสามอย่าง มีเนื้อสันเสียด้วย
จ๊อก
ท้องเล็กๆ ของเธอร้องแสดงอาการท้องว่างออกมาอย่างไม่เกรงใจ
“ยังไม่ได้กินข้าวกลางวันเหรอ” อวี๋เยว่หานหันมามองเธอ ไม่รู้ว่าในดวงตาสีดำนั้นคิดอะไรอยู่
เหนียนเสี่ยวมู่อยากบอกว่าตัวเองกินมาแล้ว แต่ก็ท้องร้องขึ้นมาอีก
เธอยื่นมือไปกุมท้อง “คุณชาย ฉันไม่รบกวนคุณแล้ว ขอตัว…”
“ตอนนี้ร้านอาหารพนักงานไม่มีกับข้าวเหลือแล้วนะ” อวี๋เยว่หานมองนาฬิกาข้อมือหรูของตัวเอง แล้วเอ่ยปากทันที
นัยน์ตาสีดำขลับชำเลืองมองเธอครั้งหนึ่ง
คำพูดของเขาหมายความว่ามีแต่ตรงนี้ที่มีข้าวกลางวัน
ฟรี แถมยังอร่อย
ถ้าเธอฉลาดพอ ตอนนี้เธอก็ควรเอาใจเขา ให้เขาเชิญเธอกินข้าว
อวี๋เยว่หานเหลือบมองใบหน้าสับสนเธอ ก่อนจะสาวเท้ามาข้างหน้า บอกให้ผู้ช่วยวางอาหารกลางวันทั้งหมดลงบนโต๊ะ
จากนั้นเขาก็นั่งลงตรงหน้าเหนียนเสี่ยวมู่ แล้วใช้ตะเกียบคีบเนื้อชิ้นหนึ่งใส่เข้าไปในปากอย่างเชื่องช้า
เหนียนเสี่ยวมู่จับจ้องไปที่เขาพร้อมกับกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว
พูดให้ถูกต้อง เธอมองชิ้นเนื้อที่เขาคีบขึ้นมา วินาทีที่เห็นเขาใส่มันเข้าไปในปาก เธอถึงกับกำหมัดแน่นด้วยความเจ็บปวดใจ