‘ว่ายังไงนะ!’
เมื่อเย่หลงได้ยินเสียงที่น่าขนลุกและสยดสยองของเย่เฟิง เขาก็ตัวสั่นอย่างหนัก
‘ลอกหนังของฉัน!’
‘ดึงเส้นเอ็นกับกล้ามเนื้อของฉันออกมา!’
‘สับกระดูกของฉันเป็นชิ้น ๆ !’
‘ควักหัวใจของฉัน!’
‘นี่แก…ต้องการทรมานฉันจริง ๆ สินะ!’
เย่หลงรู้สึกขนลุกไปทั่วทั้งร่างกายของเขา ในสายตาของเขานั้นเย่เฟิงต้องเป็นปีศาจอย่างแน่นอน!
“ไม่นะ…ฉันไม่ต้องการที่จะตายด้วยวิธีแบบนี้…”
เย่หลงรู้สึกกลัวอย่างมาก เขาต้องการฆ่าตัวตายทันทีโดยการกัดลิ้นของเขา!
ทันใดนั้นเย่เฟิงก็เอื้อมมือคว้าไปที่ปากของเย่หลงอย่างฉับพลัน ด้วยการบิดเพียงเล็กน้อย เขาก็ทำให้คางของเย่หลงผิดรูปไปจากเดิม
ตอนนั้นเอง เย่หลงก็ไม่สามารถที่จะกัดลิ้นของเขาเองได้!
“อ๊าก!”
เย่หลงนั้นแทบจะคลั่ง
เขาไม่มีความสามารถแม้แต่จะฆ่าตัวตาย เขากลายเป็นแค่ปลาที่รอความตายอยู่บนเขียง!
จากนั้นเสียงอันน่าขนลุกของเย่เฟิงก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง “ในฐานะที่แกสมรู้ร่วมคิดกับคนนอกเพื่อฮุบทรัพย์สมบัติของตระกูลเย่ แกก็สมควรที่จะตาย!!”
“ในฐานะที่แกเป็นสมาชิกรุ่นหลาน แต่แกตั้งใจจะที่ฆ่าปู่! ดังนั้นแกก็สมควรตาย!”
“ในฐานะที่แกตัดหัวของสมาชิกในตระกูลของตัวแกเอง ราวกับตัดผักตัดหญ้า แกก็สมควรที่จะตาย!”
เย่เฟิงกำลังจ้องมองเย่หลง นั่นทำให้คำพูดของเขานั้นดูเหมือนเป็นเรื่องสยองขวัญที่น่าหวาดกลัวอย่างแท้จริง
“ถ้างั้น…ก็เตรียมตัวตายซะ!”
หลังจากพูดเสร็จแล้ว เย่เฟิง ก็จัดการกระชากผิวหนังของเย่หลง จากนั้น…
แควก!
ด้วยเสียงอันน่าสะพรึงกลัว เย่เฟิงก็ฉีกเนื้อสด ๆ ออกจากตัวของเย่หลง
ในเสี้ยววินาที เสียงกรีดร้องโหยหวนดังก้องไปทั่วทั้งลานคฤหาสน์ มันแสดงถึงความหวาดกลัวและความสิ้นหวัง เหมือนหมูที่คร่ำครวญก่อนที่จะถูกเชือด
เมื่อเห็นฉากที่น่ากลัวนี่ ทุกคนในตระกูลซือกงก็ตัวแข็งทื่อด้วยความหวาดผวา
อย่างไรก็ตามสมาชิกของตระกูลเย่ กลับดูพึงพอใจ รวมไปถึงเย่หยุนซาน
หากไม่ใช่เพราะเย่เฟิง เย่หลงก็คงจะฆ่าพ่อและปู่ของตัวเอง รวมถึงสมาชิกคนอื่น ๆ ในตระกูลเย่!
ดังนั้นพวกเขาจะไม่แสดงความเมตตาต่อไอ้ขยะนั่นแม้แต่น้อย
การมองฉากที่น่าสะพรึงกลัวและกระหายเลือดเช่นนี้ แม้แต่เปลือกตาของเศียรอสูรหลังค่อมก็กระตุกอย่างบ้าคลั่ง
จนกระทั่งตอนนี้ เขาถึงได้รู้ว่าเจ้านายคนใหม่ของเขาโหดเหี้ยมและดุร้าย
วิธีการที่โหดร้ายเหมือนกับการลงทัณฑ์จากปีศาจของเย่เฟิงนั้น มันดูโหดร้ายมากที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมาแน่นอน!
มันกินเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง!
เอือก!
เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงทะลุทะลวงครั้งสุดท้าย พวกเขาก็พบว่าเย่หลงล้มลงไปกับพื้นแล้ว
สภาพของเย่หลงดูราวกับว่าเขานั้นถูกเหยียบโดยรถไฟที่วิ่งมาด้วยความเร็วเต็มพิกัด
ในขณะนั้นเขาเงยหน้ามองเย่เฟิง ขณะที่เย่เฟิงกำลังถือหัวใจที่กำลังเต้นของเขา พลางพูดตะกุกตะกักว่า “ปีศาจ…แก…แกมันเป็นปีศาจ!”
ดวงตาของเย่หลงเต็มไปด้วยความหวาดกลัวที่ฉายชัดอย่างเต็มเปี่ยม
ก่อนจะตายเขาก็ได้ตระหนักว่าสิ่งที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตของเขาที่เคยทำนั้นก็คือ การที่เขาพยายามมีปัญหากับเย่เฟิง!
‘เขาตายแล้ว!’
นายน้อยที่เป็นถึง 1 ใน 4 สุดยอดนายน้อยของเมืองเจียงซี และเป็นทายาทคนโตของตระกูลเย่ ต้องจบชีวิตในสภาพที่น่าสมเพช
สมาชิกทุกคนในตระกูลเย่กำมือขึ้นมาวางไว้ตรงบริเวณหัวใจของพวกเขา ขณะที่พวกเขายืนไว้อาลัยและเป็นการส่งดวงวิญญาณของเหล่าญาติ พี่น้องผู้ล่วงลับให้ไปสู่สุคติ!
เมื่อผู้ล่วงลับเหล่านั้นทั้งหมดได้รับการล้างแค้นจากเย่เฟิง ในที่สุดพวกเขาก็จะสามารถพักผ่อนได้อย่างสงบสุข
เย่เฟิงจ้องมองผู้มีชีวิตเหลืออยู่คนสุดท้ายของเผ่าซือกง —— ชายชรากู๋!
ด้วยเสียงอู้อี้จากปากที่กำลังสั่น ชายชรากู๋ตัวสั่นเทา ขณะที่เขาทรุดลงไปกองกับพื้นด้วยรอยยิ้มอันขมขื่นด้วยใบหน้าที่มีรอยเหี่ยวย่นของเขา พลางพูดว่า “คุณ…คุณเย่! ผมไม่ได้ฆ่าสมาชิกของตระกูลเย่เลยแม้แต่น้อย ได้โปรดปล่อยผมไปเถอะ!”
ชายชรากู๋รู้สึกหวาดกลัวเย่เฟิงอย่างมาก
เขาไม่เคยเห็นคนที่น่ากลัวมากเท่านี้มาก่อน
เขามั่นใจว่าเย่เฟิงนั้นไม่ใช่มนุษย์!
หลังจากได้ยินคำพูดของชายชรากู๋ เย่ฟ่างเฉิงรีบบอกกับเย่เฟิงว่า “เย่เฟิง ชายชราคนนี้ไม่ได้โกหก เขาไม่ได้ฆ่าสมาชิกในตระกูลเย่สักคน เขายังพยายามโน้มน้าวซือกงทัวไม่ให้ทำร้ายใครอีกด้วย เขาพยายามช่วยเหลือตระกูลเย่ด้วยซ้ำ! ปล่อยเขาไปเถอะ!”
หลังจากได้ยินคำแนะนำของเย่ฟ่างเฉิง เย่เฟิงก็พยักหน้า
แน่นอน!
ก่อนหน้านี้ไม่ว่าผีเฒ่ามารอสูรและพวกผู้อาวุโสอีก 3 คนจะรุมโจมตีเย่เฟิง หรือซือกงทัวจะร้องตะโกนให้ทุกคนรุมฆ่าเขา ทว่าชายชรากู๋ ก็ไม่เปิดเผยเจตนาชั่วร้ายใด ๆ ทั้งสิ้น
แม้เย่เฟิงจะเป็นปีศาจ แต่เขาก็ฆ่าเฉพาะคนที่สมควรตายเท่านั้น!
“เอาล่ะ นายไปได้!”
หลังจากได้ยินเสียงเย็น ๆ ของเย่เฟิง ชายชรากู๋ก็รู้สึกโล่งใจจากความกังวลใจอันหนักอึ้งบนบ่า
เขาปาดเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก และเพิ่งรู้ตัวว่าหลังของเขานั้นเปียกโชกไปด้วยหยาดเหงื่อ ราวกับว่าเขาเพิ่งรอดชีวิตจากขุมนรก
หลังจากนั้นไม่นานชายชรากู๋ก็ลังเลขึ้นมา ราวกับว่าเขานึกบางสิ่งได้ จากนั้นเขาเดินไปที่ด้านหน้าของลานบริเวณที่ศพของซือกงทัวนอนกองอยู่ ชายชรากู๋ล้วงการ์ดสีทองขึ้นมาจากร่างของเขา
การ์ดใบนี้ดูหรูหราอย่างมาก เพราะมันนั้นทำจากทองคำและฝังด้วยเพชร
บนบัตรมีการสลักชื่อตระกูล – ซือกง!
จากนั้นชายชรากู๋ก็มอบการ์ดสีทองให้กับเย่เฟิง ขณะที่เขาพูดด้วยความเคารพอย่างสูงว่า “คุณเย่ครับ นี่คือตราสัญลักษณ์ของหัวหน้าตระกูลซือกง! ได้โปรดรับไว้ด้วย!”
‘หืมม ?’
หลังจากได้ยินคำพูดของเขา เย่เฟิงก็ขมวดคิ้วขณะที่เขามองดูชายชรากู๋ด้วยความสับสน
“คุณเย่ครับ เหล่าผู้ทรงอิทธิพลและผู้อาวุโสทั้งหมดของตระกูลซือกงถูกฆ่าตายหมดแล้ว และผมก็คือผู้ที่เหลืออยู่เพียงคนเดียว! ดังนั้นเมื่อผมกลับไปยังภาคเหนือของประเทศจีน ก็จะต้องเลือกผู้นำตระกูลและเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลซือกงขึ้นมาใหม่!”
จากนั้นชายชรากู๋ ก็เปิดเผยรอยยิ้มอันขมขื่นขณะที่เขาพูดต่อว่า “เหตุการณ์นี้เป็นความผิดพลาดของ ตระกูลซือกง! ดังนั้นเพื่อเป็นการแสดงความขอโทษของเราต่อคุณ ต่อจากนี้ไปทั้งตระกูลซือกงจะรวมเข้ากับตระกูลเย่! ตราบใดที่ตระกูลเย่ออกคำสั่งมา ตระกูลซือกงก็จะต้องเชื่อฟังอย่างแน่นอน!”
‘รวมเข้ากับตระกูลเย่ ?’
หลังจากได้ยินคำพูดของชายชรากู๋ สมาชิกของตระกูลเย่ก็ตัวสั่นเทา
นั่นหมายความว่าตระกูลเย่จะสามารถจัดสรรทรัพยากรมนุษย์และทรัพย์สินของตระกูลซือกงได้อย่างสมบูรณ์
ต่อจากนี้ ตระกูลซือกงก็จะกลายเป็นสาขาหนึ่งของตระกูลเย่
เมื่อพวกเขารู้ว่าตระกูลเย่นั้นเหนือกว่าตระกูลไป๋และตระกูลกง และจะได้กลายเป็นตระกูลอันดับ 1 ในเมืองเจียงซี หลังจากรวมเข้ากับตระกูลซือกง สมาชิกทั้งหมดของตระกูลเย่ก็ปีติยินดีอย่างมาก
ต่างจากสมาชิกหลายคนของตระกูลเย่ เย่ฟ่างเฉิง เย่หยุนซาน และผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ของตระกูลเย่กำลังมองไปที่เย่เฟิงด้วยสายตาที่ซับซ้อน
พวกเขารู้ว่าชายชรากู๋ทำทั้งหมดนี้เพราะว่าเย่เฟิง
ชายชรากู๋ ต้องการให้ตระกูลซือกงนั้นได้รับการคุ้มครองจากเย่เฟิง!
“คุณเย่ครับ ต่อจากนี้ไปคุณจะเป็นหัวหน้าตระกูลที่ยิ่งใหญ่ของตระกูลซือกง! ตราบใดที่คุณออกคำสั่งสมาชิกทุกคนของตระกูลซือกงก็จะมารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว!”
หลังจากพูดจบชายชรากู๋ ก็โค้งคำนับต่อเย่เฟิง ก่อนที่จะหันหลังกลับและเดินจากไป
เย่เฟิงใส่ตราสัญลักษณ์นั่นลงไปในกระเป๋าเสื้อของเขาอย่างไม่ใส่ใจ
เขาไม่สนใจเกี่ยวกับชื่อเสียงของการเป็นหัวหน้าตระกูลซือกง
สิ่งที่เขาสนใจมากที่สุดตอนนี้คือกองกำลังของเศียรอสูรหลังค่อม
ตอนนี้เองเศียรอสูรหลังค่อมก็ตัวสั่นอย่างหนักราวกับว่าเขาเข้าใจความคิดของเย่เฟิง จากนั้นเขาก็รีบบอก เย่เฟิงว่า “เจ้านาย คุณหนูของเราได้เปลี่ยนชื่อกลุ่มจากเงามืด เป็นเย่! แล้วนอกจากนี้เธอได้เปลี่ยนชื่อของเธอเป็น เย่ซวินเอ๋อ! สำหรับราชาทั้ง 3 อสูรอีก 4 คน และ 12 ตระกูลที่เหลือ คุณจะได้พบพวกเขาในอนาคตอย่างแน่นอน!”
‘เย่ซวินเอ๋อ!’
เย่เฟิงรู้สึกอบอุ่นเมื่อเขาได้ยินชื่อนั้น
แม้ว่าเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นจะได้พบเขาเพียงครั้งเดียว แต่เธอก็ยังยอมให้เย่เฟิงเป็นคนที่เธอรักมากที่สุด
“ซวินเอ๋อเคยชื่ออะไรมาก่อนงั้นเหรอ ?” เย่เฟิงถามเศียรอสูรหลังค่อมออกมาด้วยความอยากรู้
หลังจากได้ยินคำถามของเขา เศียรอสูรหลังค่อมก็ตัวสั่นราวกับว่าเขานั้นหวาดกลัวอย่างมาก จากนั้นเขาก็ตอบด้วยเสียงสั่นเครือว่า “คุณหนูของเรานั้นครั้งหนึ่งเคยถูกเรียกว่า… โลลิต้าทมิฬ!”