“นายสงสัยว่ากองเรือของพลเรือโทโรคภัยซ่อนอยู่บนเกาะแห่งนั้น?” ได้ยินคำพูดเดนิส แอนเดอร์สันถามครุ่นคิด
เดนิสตอบอย่างตื่นเต้น
“มีโอกาสเป็นไปได้มากทีเดียว! กาฬมรณะหายไปหลังจากหักเลี้ยวทางทิศตะวันตกจากเกาะไซรอสไม่ใช่หรือ?”
แอนเดอร์สันขดมุมปากหัวเราะ
“ถ้าที่อยู่ของพลเรือโทโรคภัยถูกนายหาพบง่ายดายเช่นนี้ เธอจะเสียเวลาซ่อนตัวไปทำไม? เกาะที่นายสามารถหาพบ นั่นคงไม่ใช่เกาะลับ”
“นายคิดจะพูดอะไรกันแน่!” เดนิสรู้สึกเหมือนถูกเย้ยหยัน
แอนเดอร์สันผายมือและยักไหล่
“ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น แค่ลองใช้สมองวิเคราะห์ดู… เกาะดังกล่าวน่าจะมีอยู่จริง แต่ไม่ได้ลึกลับขนาดนั้น… อาจเป็นเกาะที่หลายคนรู้จักดีอยู่แล้ว หรือไม่ก็มีคงจงใจปล่อยข่าว… ถ้าเป็นอย่างแรก เทรซี่คงไม่ใช้เป็นที่ซ่อนตัว แต่ถ้าเป็นอย่างหลังก็น่าสนใจว่าใครเป็นคนปล่อยข่าว”
เดนิสฉุนเฉียวเล็กน้อยในตอนต้น ก่อนจะคิดตามแอนเดอร์สันและเริ่มวิเคราะห์
“เป็นกับดักของโจรสลัดหรือไม่ก็นักผจญภัย? แต่เกาะที่มีทรัพยากรน้อยแบบนั้นจะดึงดูดให้ใครไปสำรวจได้? หรือว่าคนปล่อยข่าวจะไม่ใช่ใครนอกจากพลเรือโทโรคภัยเอง? เพื่อดูว่าใครกำลังสืบสวนหาแหล่งกบดานของเธอ?”
แอนเดอร์สันยิ้ม
“ถูกต้อง… หลังจากได้ฉันเป็นอาจารย์ นายก็พัฒนาขึ้นมาก ไม่อย่างนั้นฉันคงสงสัยว่า ต่อให้ดื่มโอสถนักวางแผนเข้าไป แต่สติปัญญาของนายก็คงไม่เพิ่มขึ้น ทำได้แค่ภาวนาให้ศัตรูโง่พอๆ กับตัวเองและเอาชนะด้วยประสบการณ์… สำหรับประโยคเมื่อครู่ ฉันไม่ใช่คนพูด แต่เป็นจักรพรรดิโรซายล์”
ในระยะหลัง แอนเดอร์สันช่วยเดนิสรวบรวมวัตถุดิบหลักและเสริมสำหรับโอสถนักวางแผนจนครบถ้วน ปัจจุบันเหลือเพียงขั้นตอนสุดท้ายก่อนจะลงมือเลื่อนลำดับ
“นายเป็นอาจารย์ของฉันตั้งแต่ตอนไหน…” เดนิสพึมพำ
แอนเดอร์สันเพิกเฉย เพียงพูดกับตัวเองแผ่วเบา
“หากเป็นข่าวลือที่พลเรือโทโรคภัยจงใจปล่อย เกาะลับดังกล่าวก็คงเป็นกับดัก… อาจไม่มีอะไรเลยนอกจากกระจกสำหรับจับตามองเรือและคนที่เข้าไปใกล้… หรือไม่ก็ ที่นั่นเป็นรังลับของนิกายแม่มดที่เกอร์มัน สแปร์โรว์เคยพูดถึง”
“แล้วพวกเราควรทำยังไงต่อ?” เดนิสถามตามความเคยชิน
แอนเดอร์สันหัวเราะในลำคอ
“เรื่องง่ายๆ แค่นี้คิดเองไม่เป็นหรือ? พวกเราจะเริ่มสืบจากคนที่นำข่าวมาบอกนาย จากนั้นก็จะสืบแบบย้อนกลับจนพบเบาะแสเพิ่มเติม”
นั่นสินะ… ในตอนแรก เดนิสอยากพยักหน้าเห็นด้วย แต่ถ้อยคำที่ถูกพ่นออกจากปากกลับเป็น ‘เฮ่อะ!’
ช่วงเช้าตรู่ของวันใหม่ บนชั้นสองของบ่อนการพนัน
บัสต์ เจ้าของเส้นผมสีน้ำตาล อ้าปากหาวพลางเดินเข้าไปในห้อง
ขณะเตรียมจุดเทียนไขโดยอาศัยแสงจากดวงจันทร์ด้านนอกหน้าต่าง มันเห็นเปลวไฟสีขาวลุกโชนขึ้นตรงหน้า แสงจากเปลวไฟสว่างจ้าจนมันตาบอดไปชั่วขณะ
หัวใจบัสต์เต้นระรัวทันที รีบกระโจนไปทางด้านข้างและม้วนตัวกลิ้ง
หลังจากกลิ้งครบสองตลบ การเคลื่อนไหวของบัสต์ชะงักกะทันหัน ราวกับถูกคำสาปกลายเป็นหิน
นั่นเพราะลำคอของมันรู้สึกเจ็บแปลบและเย็นเยียบ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า หากขยับไปข้างหน้าอีกก้าวเดียว เลือดสีแดงคงได้สาดขึ้นไปจนถึงหลังคา
“นายต้องการอะไร” เมื่อสายตาของบัสต์กลับเป็นปรกติ มันเห็นชายผมทองคนหนึ่งยืนอยู่ด้านข้างพลางใช้มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกง ส่วนอีกข้างกำลังถือมีดสีดำ ด้านหน้าเป็นชายสวมเสื้อคลุมสีดำ คลุมศีรษะปกปิดมิดชิด
เดนิสไม่ตอบคำถามบัสต์ เพียงหันไปมองแอนเดอร์สันด้วยสีหน้าประหลาดใจเบาบาง
“ทำไมนายถึงไม่ปลอมตัว?”
“ถ้าปลอมตัว… เหยื่อจะเกลียดชังถูกคนได้ยังไง?” แอนเดอร์สันตอบเสียงเรียบ
“…” เดนิสพ่นลมหายใจ “โชคดีที่ฉันไม่มีนิสัยแย่ๆ แบบนาย”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง” แอนเดอร์สันยิ้ม “ทุกคนบนเกาะไซรอสรู้ว่าฉันอยู่กับใครในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา”
“แม่เย็*!” เดนิสสบถ
บัสต์ซึ่งถูกแอนเดอร์สันใช้มือจ่อคอ ไม่กล้าขยับเขยื้อนร่างกาย ทำเพียงตั้งใจฟังบทสนทนาพลางคิดในใจว่า นี่ตนกำลังดูละครตลกในกรุงทรีอาร์หรืออย่างไร?
พวกมันมาหาเราด้วยเหตุผลใดกันแน่… พ่อค้าข่าวกำลังสับสน
ทันใดนั้น แอนเดอร์สันถอนสายตากลับ จ้องบัสต์และกล่าว
“ใครเป็นคนบอกนาย เกี่ยวกับเกาะลับทางตะวันตกเฉียงใต้จากเส้นทางเดือนเรือหลัก”
คล้ายกับบัสต์ฉุกคิดบางสิ่ง มันหันไปทางเดนิสและแผดเสียง
“เป็นนายนี่เอง!”
ตลอดสองสามวันที่ผ่านมา ข้อมูลดังกล่าวถูกขายให้กับลูกค้าเพียงรายเดียวเท่านั้น!
…ถูกเปิดโปงเร็วขนาดนี้เชียว? เดนิสตอบพูดไม่ออกไปสักพัก
แอนเดอร์สันกดมีดสีดำในมือลึกกว่าเดิม ส่งผลให้ความเจ็บปวดจากคมมีดชัดเจนขึ้น
“ตอบคำถามมาก็พอ”
บัสต์รู้สึกราวกับวิญญาณตนใกล้หลุดลอยเต็มที จึงรีบตอบอย่างลนลาน
“พ…พลเรือโทโรคภัย!”
“เธอบอกเมื่อไร แล้วทำไมถึงบอก” แอนเดอร์สันถามต่อไปด้วยเสียงสงบ
“คืนก่อนที่กาฬมรณะจะออกจากเกาะไซรอส!” บัสต์รีบตอบด้วยกังวลว่าจะตายเพราะเสียเลือดมากเกินไป “ฉันไม่ได้ถามถึงเหตุผล เพราะในตอนนั้นมัวแต่เพลิดเพลินไปความงามของเธอ… สมแล้วที่เป็น ‘สาวน้อยโรคภัย’ แห่งห้าห้วงสมุทร…”
แม้จะผ่านมาหลายวัน และแม้จะอยู่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานสุดขีด แต่บัสต์ก็ยังอดไม่ได้ที่จะชมเชยในความงาม
“พลังเสน่ห์ของแม่มด?” แอนเดอร์สันพึมพำเงียบ จากนั้นก็ถามต่อ “นายติดต่อเธอได้ไหม”
“ไม่” บัสต์รีบส่ายหน้า “เธอแค่บอกให้ฉันจดบันทึกเกี่ยวกับทุกคนที่ถามถึง และค่อยรายงานหลังจากเธอกลับมาที่เกาะไซรอสอีกครั้ง… หากใครซื้อข้อมูลดังกล่าวและต้องการออกจากเกาะ ให้ปล่อยไปโดยไม่ต้องขัดขวาง”
“แบบนี้นี่เอง… สมเหตุสมผล” แอนเดอร์สันพยักหน้าพร้อมกับดึงมีดกลับ “บนเกาะนั่นมีกับดักไหม?”
“ฉันไม่รู้” บัสต์ตอบเถรตรง
แอนเดอร์สันไม่กล่าวคำใดต่อ เพียงล้วงเงินจากตัวบัสต์และภายในห้อง จากนั้นก็ใช้มีดสีดำชี้หน้า
“ใจจริงฉันอยากเชือดนายทิ้ง แต่ถ้าทำแบบนั้น… คนตายคงเกลียดฉันไม่ได้… จงมีชีวิตอยู่ต่อไปและคอยสาปแช่งฉันวันละหลายรอบ”
มันหันหลังกลับ เดินไปยืนข้างเดนิสและกระโดดออกจากหน้าต่างในเวลาไล่เลี่ย อันตรธานหายไปในค่ำคืนอันมืดมิด
บัสต์จับมือที่ชุ่มเลือด พยุงตัวยืนด้วยท่าทางสั่นกลัว ก่อนจะวิ่งไปที่หน้าต่างเพื่อยืนยันว่าคนทั้งสองกลับไปแล้ว
“โชคดีที่เจอพวกไม่สมประกอบ ไม่อย่างนั้นเราคงไม่รอดแน่…” มันปิดหน้าต่างสนิท ลงกลอนประตูไม้ ตรวจสอบทุกมุมห้องอย่างระมัดระวัง และท้ายที่สุด บัสต์นั่งลงพลางกระดกแลงติร้อนแรงครึ่งขวด
ถัดมา บัสต์ทรุดตัวลงบนเตียงด้วยความเมามาย จากนั้นก็ผล็อยหลับ
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า จากวินาทีเป็นนาที จนกระทั่งตีสามของอีกวัน
ทันใดนั้น บัสต์พลิกตัวขึ้นมานั่ง ดวงตากระจ่างใสและเปี่ยมด้วยกำลังวังชา ปราศจากอาการเมาสุราโดยสิ้นเชิง
มันใช้มีดสั้นงัดพื้นไม้ใจกลางห้อง หยิบลูกบอลกระดาษขนาดเท่าหัวแม่โป่งขึ้นมาถือ
หลังจากบรรจงคลี่ก้อนกระดาษ ชั้นในสุดคือของเหลวเหนียวข้นสีดำ
บัสต์แบ่งออกมาหนึ่งส่วนสี่ เดินไปที่กระจกเงาในห้องและเตรียมป้ายแป้งเปียกสีดำลงไป
ทันใดนั้น มันเห็นร่างของคนสองคนสะท้อนอยู่บนผิวกระจก คนหนึ่งสวมเสื้อเชิ้ตขาว เสื้อกั๊กสีดำ มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกง อีกข้างถือมีดสีดำ ส่วนอีกคนสวมเสื้อคลุมสีดำ ศีรษะถูกคลุมไว้มิดชิด
“…” ขณะรูม่านตาบัสต์กำลังเบิกกว้าง เดนิสชกเข้าที่ท้ายทอยจนบัสต์แทบหมดสติ
ความทรงจำสุดท้ายคือเสียงที่เจือความเย้ยหยัน:
“หมอนี่ไม่ทำให้เราผิดหวังจริงๆ”
จัดการกับบัสต์เสร็จ เดนิสก้มหยิบวัตถุคล้ายแป้งเปียกที่ตกพื้นพลางหัวเราะเยาะ
“หมอนี่เชื่อจริงๆ ว่านายไม่ฆ่ามันเพราะอยากให้คอยเกลียดไปตลอดชีวิต”
บทสนทนาก่อนหน้าเป็นละครที่มันกับแอนเดอร์สันซักซ้อมล่วงหน้า เพื่อให้การไว้ชีวิตของแอนเดอร์สันสมเหตุสมผล
“นั่นแปลว่านายแสดงให้ดี” แอนเดอร์สันยิ้ม “การสวมบทเป็นตัวเองคงง่ายมากเลยสินะ”
“แม่เย็*!” เดนิสสบถหัวเสีย
จากนั้น มันถอนหายใจ
“คิดไม่ถึงว่าเจ้านั่นจะอดทนมาก รอจนผ่านเที่ยงคืนค่อยลงมือ… แต่เราอดทนมากกว่า”
“หากนักล่าต้องการจับเหยื่อ ความอดทนคือสิ่งที่ขาดไม่ได้ บางครั้งต้องรอนานถึงสามวัน” แอนเดอร์สันตอบเสียงเรียบ
สำหรับพวกมันทั้งสอง เทคนิคในการสอบสวนแทบเป็นศูนย์ ไม่ว่าจะเป็นนักล่า นักยั่วยุ นักวางเพลิง หรือยมทูต ไม่มีโอสถใดเชี่ยวชาญการสื่อวิญญาณหรือสะกดจิต หากไม่ข่มขู่ทางกายภาพ วิธีเค้นข้อมูลเดียวคือการวางแผนอย่างใจเย็น
ประโยคนี้ฟังดูเข้าท่า… ในอนาคต เราต้องเก็บไว้สั่งสอนศิษย์… เดนิสจ้องวัตถุคล้ายแป้งเปียกสีดำในมือ
“ดูเหมือนว่า วิธีใช้งานคือการนำไปป้ายลงบนผิวกระจก… เจ้านี่จะช่วยให้ติดต่อกับพลเรือโทโรคภัยได้จริงหรือ?”
“ก็คงทำนองนั้น… แต่ติดต่อเธอแล้วได้อะไร? นายจะชวนมากินอาหารเช้าบนเกาะไซรอสหรือ?” แอนเดอร์สันหัวเราะ
เดนิสทราบดี ตนและแอนเดอร์สันไม่มีพลังสำหรับโน้มน้าวบุคคลอีกฟากหนึ่งของกระจก แต่ในเมื่อเป็นภารกิจที่เกอร์มัน สแปร์โรว์มอบหมาย มันอยากทำอะไรมากกว่านี้
เดนิสขมวดคิ้ว
“พวกเราควรทำยังไงต่อ?”
“แน่นอน ติดต่อเกอร์มัน สแปร์โรว์และให้เขาจัดการส่วนที่เหลือด้วยตัวเอง… ชายคนเต็มไปด้วยปริศนา แถมยังเก่งกาจหลายด้าน คงมีวิธีแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ” แอนเดอร์สันกล่าวพลางส่ายหน้า “ต้องไม่ลืมว่า งานของเรามีแค่การสืบหาแหล่งกบดานของพลเรือโทโรคภัย และตอนนี้ก็ทำสำเร็จแล้ว”
เดนิสอืมในลำคอ ก่อนจะนำเทียนไขและอุปกรณ์ประกอบพิธีกรรมออกมาวาง
“นายคิดจะทำอะไร?” แอนเดอร์สันถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ
เดนิสก้มหน้าจัดแท่นบูชาโดยไม่หันกลับไปมอง
“อัญเชิญผู้ส่งสารของเกอร์มัน สแปร์โรว์”
“…” แอนเดอร์สันเงียบไปสองสามวินาที ก่อนจะกล่าว “ขอตัวไปสูบบุหรี่ข้างนอก”
………………………………….