ตอนที่ 122 ศิลาลึกลับ
จีชางคงไม่เปิดปากอะไรอีกพร้อมกับเดินขึ้นหน้าต่อไปฝูงชนค่อยๆเดินตามหลังเขาไปอย่างช้าๆ ตอนนี้พวกเขามาไกลเกินกว่าที่จะหันหลังกลับ
ระดับขอบเขตนักบุญตระกูลเจียงผู้หนึ่งทันใดนั้นก็อุทานออกมาด้วยความตกตะลึง “ตรงนั้นดูเหมือนจะมีคนอยู่ข้างหน้า!”
ทุกทุกคนต่างเงยหัวขึ้นมองอย่างละเอียดประมาณหนึ่งร้อยก้าวข้างหน้ามีร่างเงาคนจางๆหันหลังให้กับพวกเขา
ทําไมถึงมีคนอยู่ที่นี้? ตระกูลตวนมไปเปิดทางเข้าราชวังใต้ดินได้โดยบังเอิญ มันไม่มีทางเข้า ทางอื่นนอกจากตรงนั้น มันผู้นี้เข้ามาได้อย่างไร? นอกจากนั้นเขายังนําหน้าพวกเราไปอีกยิ่งพวกเขาคิดเกี่ยวกับมันมากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งไม่เข้าใจมากขึ้นเท่านั้น
จีชางคงจับดาบของเขาขึ้นมาถือในมือผืนฟ้าประกายดาวปรากฏขึ้นบนดวงตาของเขาธารดวงดาวอันไร้ขอบเขตในร่างของเขาหมุนเวียนเตรียมพร้อมสําหรับการจู่โจมเหล่าผู้ที่อยู่ด้านหลังต่างตื่นตัวพร้อมกับรอคอยโอกาส
เมื่อพวกเขาเดินตรงเข้าไป,พวกเขาก็เห็นร่างผู้นั้นได้ชัดเจน พวกเขาสูดหายในล็กดูดอากาศเย็นเฉียบเข้าไป มันเป็นเพียงศพไร้หัวมีดาบแบกอยู่บนหลังของเขาและมีกองกระดูกสีขาวนับไม่ถ้วนกองอยู่ข้างเท้าของ,มีแม้กระทั่งกองโครงกระดูกสีม่วงอีกสองสามกอง
ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังยืนนิ่งอย่างภาคภูมิ มันไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นเวลากี่ปีได้ล่วงเลยมาแล้วกระแสพลังของเขาสัมผัสได้ถึงกาลเวลา,แรงดันดันบางๆขยายออกมารอบตัวของเขา
ผืนฟ้าดวงดาวในดวงตาของจีชางคงจางหายไป เขากล่าวขึ้นอย่างประหลาดใจ “นี่มันศพของระดับขอบเขตมหาปราชญ์ ดูจาเสื้อผ้าของเขาเขาไม่น่าจะมาจากยุคโบราณ”
“แม้แต่ระดับขอบเขตมหาปราชญ์ก็ยังตกตายลงที่นี้ แท่นหินแห่งนี้แท้จริงแล้วคืออะไรกันแน่?” ระดับขอบเขตนักบุญผู้หนึ่งถามขึ้นอย่างหวาดกลัวมหาปราชญ์ผู้ที่สามารถผ่าภูเขาและม้วนกลับทะเลได้ยังมาตกตายลงที่นี้
จีชางคงส่ายหัว “อย่าเก็บมันไปคิดให้มากความเห็นได้ชัดว่ามีบางคนสังหารมหาปราชญ์ผู้นี้ เขาไม่ได้ตกตายลงด้วยพลังของแท่นหินมิฉะนั้น,ศพของเขาต้องกลายเป็นกองกระดูกไปนานแล้ว”
ในจังหวะนั้นเอง,ฮวาหยุ่นเฟยมีสีหน้าปั่นป่วนเมื่อเขาเดินขึ้นไปตรงหน้าของศพ เขาเห็นสัญลักษณ์ธารศักดิ์สิทธิ์ปักไว้ที่คอเสื้อของศพเขาอุทานออกมาเสียงดัง “ผู้นี้คือผู้อาวุโสจากตระกูลฮวาของข้า”
หลังจากที่เขาพูดจบ,เขาตรวจสอบพื้นที่โดยรอบอย่างละเอียด เขาดันกองกระดูกออกไปและมีบรรทัดอักษะอยู่บนแท่นหิน เขาอ่านมันด้วยเสียงนุ่ม “เส้นทางของฮวาเทียนหยู่ได้จบลงที่แห่งนี้,หากลูกหลานตระกูลฮวาผู้ใดมาพบ, ขอให้กลับออกไปโดยเร็ว”
“ฮวาเทียนหยู่ หรือจะเป็นผู้นําตระกูลฮวารุ่นที่สาม,ผู้นําตระกูลที่ทรงพรสวรรค์ที่สุดของตระกูลฮวา? เขาหายสาบสูญไปบางคนคาดเดาไปว่าเขาได้กลายเป็นระดับขอบเขตจักรพรรดิ ข้าไม่คาดคิดเลยว่าเขาจะมาจบชีวิตลงที่นี่” บางคนที่อยู่ด้านข้างพูดขึ้นด้วยความประหลาดใจ
ฮวาหยุ่นเฟยพูดขึ้นอย่างเฉยเมย “ร่างไร้วิญญาณนี่คือบรรพบุรุษตระกูลฮวาของข้า ข้าเชื่อว่าจะไม่มีพวกเจ้าคนใดเข้ามาต่อสู้กับข้าแย่งชิงสิ่งของบนตัวของเขา”
หลังจากที่เขาพูดจบ,เขาเตรียมจะดึงแหวนห้วงอวกาศออกมาจากนิ้วของฮวาเทียนหยู่แหวนของมหาปราชญ์จะต้องเก็บเอาสมบัติเอาไว้มากมาย
“ฟุ่ว!”
ดาบสีดําเข้ามาขวางทางของเขาเอาไว้จีชางคงหัวเราะ อย่างเย็นชา “ฮวาหยุ่นเฟย,หรือว่าเจ้าจะลืมเกี่ยวกับข้อตกลงของพวกเราไปแล้ว? สมบัติใดก็ตามที่พวกเราพบ,ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร,พวกเราแบ่งกันตามบ้านเจ้าคงไม่คิ ดจะกลับคําของเจ้าใช่ไหม?”
ใบหน้าของฮวาหยุ่นเฟยกลายเป็นเย็นชา “เจ้าหมายความเช่นไร? ผู้นี้คือผู้นําตระกูลฮวาของข้าสิ่งของของเขานับเป็นของตระกูลฮวาทําไมข้าต้องแบ่งปันมันให้กับเจ้า?”
เจียงหมิงรุ่นสูดหายใจฟืดฟาดเย็นชา “นี่มันเป็นร่างไร้เจ้าของเขาได้ตกตายมากว่าหนึ่งพันปี ร่างของเขานับเป็นสมบัติทุกคนต่างทุ่มเทพยายามจนได้มาถึงที่นี้,ตระกูลฮวาจะรับเอาผลประโยชน์ไปเพียงผู้เดียวได้เช่นไร?”
ตระกูลชั้นสูงบ้านอื่นก็ไม่อยากให้ตระกูลฮวาเอาเปรียบแม้ว่า,หากคิดแบบมีเหตุผลศพร่างนี้ต้องเป็นของตระกูลฮวา, ถึงกระนั้นเมื่อมีผลประโยชน์อยู่ตรงหน้า,เหตุผลก็ไร้ซึ่ง ความหมายฮวาหยุ่นเฟยไม่มีพลังมากพอที่จะหยุดยั้งทุกคนที่นี้,ดังนั้นเขาไม่อาจยับยั้งความละโมบของทุกคนเอาไว้
ฮวาหยุ่นเฟยหัวเราะออกมาอย่างเดือดดาล,เขากล่าว “ดี” ขึ้นมาสามครั้ง “จีชางคง,ข้าจะจดจําเรื่องในวันนี้เอาไว้เจียง หมิงรุ่น,เจ้าอย่าได้คิดว่าตระกูลจีจะคลุมกะลาหัวเจ้าไปได้ตลอด”
เขาเก็บดาบเข้าฝักและปลดแหวนของฮวาเทียนหยู่ออกมา เพียงนึกคิด,สิ่งของทั้งหมดที่เก็บไว้ข้างในก็ไหลออกมา
“อูวะ!”
กองสิ่งของมากมายไหลออกมา เหินวิญญาณเม็ดยา, อาวุธวิญญาณ,ที่กษะต่อสู้และชุดเกราะศึกของทั้งหมดไหลออกมาท่วมท้นบนแท่นหิน โดยเฉพาะหินวิญญาณกองโตที่ดึงดูดสายตาของทุกคน
ภายใต้กองหินวิญญาณระดับต่ำ,พวกเขายังเห็นหินวิญญาณระดับกลางปะปนเข้ามาเป็นกองสมบัติที่แท้จริง เหล่าสานุศิษย์ส่วนใหญ่ได้รับหินวิญญาณระดับต่ําก็ถือว่ามากที่สุดแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะมีหินวิญญารระดับกลาง
หินวิญญาณคือแร่ที่พบได้ตามธรรมชาติ ไม่เพียงแต่มันจะบริสุทธิ,แต่พลังวิญญาณของมันยังมหาศาลสําหรับนักบ่มเพาะพลังระดับต่ำ,มันสามารถยกระดับพลังของพวกเขาขึ้น มาได้เป็นขั้นสําหรับนักบ่มเพาะพลังระดับสูงมันสามารถเส ริมพลังปราณที่อ่อนล้าของพวกเขาได้อย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม เหมืองหินวิญญาณภายในทวีปเทียนบู่มีเพียงน้อยนิด ตระกูลชั้นสูงทุกตระกูลต่างคุมเหมืองหินวิญญาณเอาไว้หนึ่งหรือสองแห่งเท่านั้น นอกจากนั้น,พวกมันยังไม่ใช่เหมืองคุณภาพสูง มันเป็นไปไม่ได้ที่จะได้รับหินวิญญาณระดับสูง,แม้แต่หินวิญญาณระดับกลางนานครั้งนานคราจะโผล่มาให้เห็น
จีชางคงพูดอย่างไม่แยแส “ต้องอย่างนี้,พี่น้องฮวา! ด้วยหินวิญญาณพวกนี้,เพิ่มความหวังที่พวกเราจะขึ้นไปถึงยอดของแท่นหิน”
หลังจากที่เขาพูดจบ,พวกเขาก็เริ่มจัดของจากแหวนห้วงอวกาศทันใดนั้นเขาก็พบดาบหักขึ้นสนิมเล่มหนึ่งเขายิ้มขึ้น “พี่น้องฮวา,ดาบเล่มนั้นไม่ต้องเอามาแบ่งรวม,เจ้าเก็บเอาไว้นั้นจะต้องเป็นมหาดาบศักดิ์ที่แตกหัก มันจะช่วยเจ้าได้มากหากเจ้าสามารถซ่อมแซมมันกลับมาจนสมบูรณ์”
ฮวาหยุนเฟยบัดดาบหักๆที่จีชางคงโยนมาให้เขาทิ้งไปด้านข้างเขาพูดขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด “จีชางคง,อย่าให้มันมากนัก!”
จีชางคงยิ้มบางเบา,และยังคงใช้น้ำเสียงไม่แยแส “อย่าได้ เกรี้ยวโกรธ,พี่น้องฮวา ข้าจัดแบ่งของทุกอย่างเสร็จหมดแล้ว มีหินวิญญาณระดับกลางทั้งหมดสิบชิ้น,หินวิญญาณระดับต่ำทั้งหมดหนึ่งร้อยชิ้น,ทักษะระดับปฐพี่สาม,ชุดเกราะศึกระดับปฐพี่หนึ่ง,และเม็ดยาระดับ 6 ทั้งหมดห้าขวด”
ทุกคนต่างตกตะลึง, ของที่มหาปราชญ์ผู้นี้ถือครอง เมื่อเอามารวมกัน,มูลค่าของของพวกนี้มากกว่าของที่ตระกูลเจียงเก็บสะสมมากว่าหนึ่งร้อยปีเสียอีก
จีชางคงดึงเอาตําราทักษะต่อสู้ออกมาและยื่นมันให้กับฮวาหยุ่นเฟย “พวกนี้คือทักษะต่อสู้ของตระกูลฮวาพวกมันไม่ควรรั่วไหลออกมาภายนอก เก็บมันไว้,ข้าจะไม่นับมันรวมกับของที่จะแบ่งกัน”
ฮวาหยุ่นเฟยหน้าบึงพร้อมกับเก็บตําราทักษะต่อสู้ไม่มีใครจะรู้สึกดีที่เห็นสมบัติของผู้นาตระกูลถูกเอามาตัดแบ่งให้กับคนนอก
ขณะที่คนของตระกูลฮวาต่างหน้าบึงมืดมน,ทั้งกลุ่มก็ไม่ปล่อยให้เสียเวลาเริ่มตัดแบ่งของทุกอย่างที่อยู่บนพื้น แม้ว่าสิ่งของในแหวนห้วงอวกาศของฮวาเทียนหยู่ทั้งหมดล้วนมีมูลค่า,ของที่เตะตาที่สุดก็ยังคงเป็นหินวิญญาณระดับกลาง
ของชิ้นอื่นอาจจะนับได้ว่าเป็นสมบัติเมื่อมันตกไปอยู่ในมือตระกูลเล็กๆ แต่ไม่ได้หายากอะไรในหมู่ตระกูลชั้นสูง มีเพียงหินวิญญาณระดับกลางเท่านั้นที่หายาก เมื่อจําเป็นต้องใช้, พวกมันอาจจะช่วยชีวิตของพวกเขาไว้ได้
ท้ายที่สุด ,ตระกูลฮวาก็ได้หินวิญญาณระดับกลางไปทั้งหมดสามชิ้นและที่เหลือต่างได้หินวิญญาณระดับกลางไปบ้านละสองชิ้นเป็นเพราะจีชางคง,ตระกูลเจียงจึงได้หินวิญญาณระดับกลางไปเพียงหนึ่งชิ้น
หลังจากตัดแบ่งสมบัติกันเป็นที่เรียบร้อย, ทั้งกลุ่มก็เดินต่อไป พวกเขาก้าวข้ามศพของฮวาเทียนหยู่มุ่งหน้าต่อไป ขณะที่พวกเขามุ่งไปข้างหน้า,ทุกคนรู้สึกทุกข์ทรมานจากทุกก้าวที่ย่างเดิน จํานวนพลังปราณที่ใช้ไปในแต่ละก้าวเพิ่ม มากขึ้น
ซากศพที่อยู่บนแท่นหินกลายเป็นน่าสยดสยองยิ่งขึ้น พวกเขาไม่เห็นกองโครงกระดูกสีขาวอีกต่อไป,พวกเขาเห็น เพียงกองกระดูกสีม่วงของระดับขอบเขตจักรพรรดิ ทุกโครงกระดูกทําให้พวกเขาตัวสั่นแม้อากาศจะไม่ได้หนาวเย็น
ถัดไปอีกหนึ่งร้อยก้าว,ฝูงชนเห็นศพที่ยืนตระหง่านต่อหน้าพวกเขา กระแสพลังของศพร่างนี้เข้มข้นยิ่งกว่าฮวา เทียนหยู่ แม้ว่ามันเพียงตั้งยืนอยู่ตรงนั้นตกตายผ่านกาลเวลามาแสนนาน,มันก็ยังคงทําให้พวกเขารู้สึกกดดัน
“นั้นเป็นหนึ่งในผู้นําของตระกูลจี” จีชางคงทันใดนั้น ก็กล่าวขึ้นว่าอย่างตื่นเต้น หัวของศพถูกตัดออก แต่เสื้อผ้าบ่งบอกตัวตนของเขา
เขาเริ่มไล่กวาดกองกระดูกบนพื้นรอบๆ บรรทัดอักษะสั้นๆปรากฏขึ้นตรงหน้าของเขา เขาอ่านออกเสียงนุ่มนวล “เส้นทางของจีเฮาหยุ่นสิ้นสุดลงที่แห่งนี้,หาก ลูกหลานตระกูลจีผู้ใดมาพบ,ให้กลับออกไปโดยเร็ว”
จีเฮาหยุ่นเคยเป็นหนึ่งในผู้นําตระกูลฮวาและถูกเคารพนับถือว่าเป็นอัจฉริยะในตอนนั้น อีกเพียงก้าวเดียวเขาก็จะทะลวงขึ้นไปสู่ระดับขอบเขตจักรพรรดิ เขาอยู่ในยุคเดียวกับฮวาเทียนหยู่ไม่คาดคิดว่าเขาจะมาจบชีวิตลงที่นี้เช่นกัน
ทันใดนั้น,ฮวาหยุ่นเฟยหัวเราะออกมาเสียงดัง “ฮ่าฮ่า,จี ชางคง,ข้าแน่ใจว่าเจ้าคงไม่คาดคิดว่าเรื่องเช่นนี้จะเกิดขึ้นเขาก้าวเท้ายาวตรงไปข้างหน้าและเบียดจีชางคงออกไปด้านข้าง
จีชางคงจ้องมองด้วยความโกรธ “ฮวาหยุ่นเฟย,เจ้าจะทํา อะไร?” จีชางคงติดอยู่ที่ระดับขอบเขตปรมจารย์ขั้นสูงสุดมานานปี เมื่อเขาพบภาพมหาปราชญ์รู้แจ้งเมื่อก่อนหน้านี้เขาได้บรรลุและทะลวงขึ้นสู่ระดับขอบเขตนักบุญ เขาไม่ได้เกรงกลัวฮวาหยุ่นเฟยแม้แต่น้อย
ฮวาหยุ่นเฟยยิ้มเย็นชา “หากเจ้าไม่ตัดแบ่งสมบัติทั้งหมดของคนผู้นี้,ข้า,ฮวาหยุ่นเฟย, จะสู้กับเจ้าจนกว่าจะสิ้นชีวิต จะไม่มีใครได้ไปต่อทั้งนั้น”
จีชางคงยิ้มอย่างเย็นชาและพูดด้วยน้ําเสียงเย็นเฉียบ “ฮวาหยุ่นเฟยเจ้าหนหาที่ตาย?” หกระดับขอบเขตนักบุญตระกูลเจียงและเจ็ดระดับขอบเขตนักบุญตระกูลจีทั้งหมดก้าวขึ้นหน้ามา พวกเขาเต็มไปด้วยรังสีฆ่าฟัน จดจ้องไปที่ฮวาหยุ่นเฟย
ฮวาหยุ่นเฟยขึ้นนาหกระดับขอบเขตนักบุญข้างหลังของ เขาและจ้องไปที่จีชางคงด้วยปราศจากความหวาดกลัว ไม่มีความตั้งใจจะล่าถอยปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา บรรยากาศในตอนนี้หนักอึ้ง,ศึกใหญ่พร้อมปะทุขึ้นด้วยสะเก็ดไฟเล็กน้อย
ทันใดนั้นตวนมู่ฉิงก็พูดขึ้น “ข้ารู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ ธรรมดาข้ามั่นใจว่าหากพวกเราเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ พวกเราจะได้พบกับศพของมหาปราชญ์ครบทุกตระกูล”
เมื่อจีชางคงได้ยินเช่นนั้นเขากระทืบไปข้างหน้า เขาหันไปมองที่ขั้นบันไดนับไม่ถ้วนตรงหน้าของเขา ดวงดาวนับไม่ถ้วนส่องแสงในดวงตา,ธารดวงดาวนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นเบี้องหลังของเขา
“ดาบดวงดาวร่ายรํา,จุดประกายแสง”
จีชางคงตะโกนขึ้นมาเสียงเบาและดวงดาวที่เป็นตัวแทนของเขาท่ากลางสายธารดวงดาวทันใดนั้นจุดประกายสว่าง ขึ้นดวงดาวตัวแทนส่องแสงพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า แสงของมันเสียดแทงดวงตา,ทําให้ผู้คนไม่กล้ามองมันตรงๆ
แสงสว่างไหว,และจีชางคงก็แทงดาบของเขาไปข้างหน้า แสงสว่างสีขาวถูกยิงขึ้นไปบนบันไดหิน ทันใดนั้น,ฉากเบื้องหน้าก็ปรากฏต่อหน้าทุกคน
“ชิ!” ทุกทุกคนสูดหายใจเข้าลึก กระดูกกองร่ายยาวไปตามขั้นบันไดหิน
ทับถมกันหนาแน่น,เต็มตาของทุกคนไกลออกไป,มีศพไร้หัวกําลังยืนตระหง่าน
ทุกคนรู้สึกถึงความชากัดกินหนังหัว,ประหลาดใจที่มีมหาปราชญ์หัวขาดจํานวนมากมาย
ทําไมถึงมีร่างไร้หัวมากมายเช่นนี้ไม่น่าแปลกถ้ามีสักหนึ่งหรือสองผู้นําตระกูลชั้นสูง แต่มันกลับมีศพไร้หัวจํานวนนับไม่ถ้วน มันช่างน่าตกตะลึง,พวกเขาทั้งหมดอยู่ระดับขอบเขตมหาปราชญ์,แต่ทําไมพวกเขาทั้งหมดถูกตัดหัวออก?
ที่บันไดหินที่อยู่ด้านหนึ่ง ลู่เฉาหยุ่นแบกดาบของเขาไว้ บนหลังและขึ้นไปอย่างช้าๆ อาวุธทั้งหมดบนหลังของเขาส่องแสงเรืองออกมา มันทําให้เขาราวกับเดินบนพื้นราบ เขาก้าวเดินไปอย่างสงบในท่าที่ผ่อนคลาย