ตอนที่ 106 แผนที่ปลอมเห็นๆ
ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องไม่อาจรู้ถึงผลลัพธ์การต่อสู้ในครั้งนั้น,พวกเขารู้เพียงแต่หลังจากการต่อสู้ในครั้งนั้นจีชางคงก็ออกจากเมืองหลวงไปในทันที ตั้งแต่นั้น,เขาก็เก็บตัวเงียบยิ่งกว่าเดิม หลังจากนั้นเป็นเวลาครึ่งปี,เขาก็สามารถทะลวงขึ้นระดับขอบเขตปรมจารย์ขั้นสูง
อีกเพียงเล็กน้อยเขาก็จะทะลวงขึ้นระดับขอบเขตนักบุญ,อาจจะได้กลายเป็นระดับขอบเขตนักบุญที่อายุน้อยที่สุดในรอบพันปีที่ผ่านมา จีชางคงเดินไปที่ด้านหน้าของเจียงหมิงชุ่นและคำนับพร้อมกับกล่าวขึ้นด้วยความเคารพ “ท่านลุง,หลานคนนี้ชักช้าทำให้ท่านลุงต้องเป็นกังวล”
เมื่อฝูงชนได้ยินจีชางคงกล่าวเช่นนั้น,พวกเขาต่างพากันตกใจ,พวกเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าจีชางคงจะเป็นหลานของเจียงหมิงชุ่น ตามข่าวลือ,มารดาของจีชางคงเป็นเพียงนางสนมและมาจากตระกูลสามัญ
เนื่องจากสถานะของมารดาของเขา,ทำให้จีชางคงถูกปฏิบัติด้วยอย่างเย็นชา นั้นเป็นเหตุผลที่เขาทุ่มเทไปกับการบ่มเพาะพลัง,ดิ้นรนอย่างหนัก ไม่มีใครคาดคิดว่ามารดาของจีชางคงจะเป็นน้องสาวของเจียงหมิงชุ่น
เจียงหมิงชุ่นยิ้มขึ้นบางๆ “ชางคง,ไม่มีความจำเป็นต้องสุภาพ เจ้ามาถึงได้ก็ดีแล้ว,ลุงของเจ้าจะได้ไม่ต้องถูกชี้หน้าด่าอีกต่อไป”
ในที่สุดผู้คนจากสามขุมอำนาจแห่งเขตตงหมิงก็เข้าใจว่าทำไมเจียงหมิงชุ่นถึงกล้าถ่วงเวลาพวกเขา,มั่นใจในพลังที่หนุนหลังของของเขาอยู่ซะเหลือเกิน แท้จริงแล้วเขานั้นมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับตระกูลจี
ฮวาหยุ่นเฟยท้อใจ,แต่ก็ไม่ได้แสดงออกมา เมื่อครู่,ที่เขาถูกโจมตี,เขาเสียเปรียบจีชางคงเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเขาเกรงกลัวจีชางคง
เขาหันไปมองตวนมู่ฉิงกับฉู่เฉาหยุ่นก่อนที่จะพูดขึ้น “จีชางคง,ข้าเห็นว่าที่ข้าได้กล่าวไปไม่มีอะไรผิด เรื่องของเขตตงหมิงไม่ใช่เรื่องที่เขตหนานหลิงจะเข้ามายุ่ง,ไม่คิดว่าเจ้าจะล้ำเส้นไปหน่อย?”
จีชางคงยิ้มอย่างไม่แยแส “เขตตงหมิงอันแสนยิ่งใหญ่,เจ้ามาเป็นตัวแทนของมันตั้งแต่เมื่อไหร? เจ้าถามพี่น้องฉู่เฉาหยุ่นกับแม่นางตวนมู่หรือยัง? นอกจากนั้น,ข้า,จีชางคง,ไม่ได้เป็นตัวแทนเขตตงหมิง อย่ามายัดบทให้ข้า,ข้ามาเพื่อพบปะญาติของข้าเท่านั้น”
ทั้งสองคนโต้คารมกัน,ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมถอย คนของทั้งสองฝ่ายต่างปลดปล่อยกระแสพลังออกมา ในระยะเวลาสั้นๆบรรยากาศก็ตึงเครียดขึ้นมา,ราวกับการต่อสู้ครั้งใหญ่จะปะทุขึ้นมาได้ทุกเมื่อ
“ชี่…ชี่..”
ในจังหวะนั้นเอง.เครื่องเครื่องสายก็ดังมาจากท้องฟ้าห่างไกล มันบรรเรงไปอย่างว่องไว,ราวกับเสียงสวรรค์บรรเรงลงมา ทุกคนต่างเงยหัวขึ้นไปมองในทันที
พวกเขาเห็นเพียง,เรือรบสีทองขนาดใหญ่ที่กำลังลอยอย่างช้าๆผ่านท้องฟ้า มีอักษร ‘กุย’ บนธงขนาดใหญ่,โบกสะบัดอยู่บนจุดสูงสุดของเรือ ใต้ธงผืนนั้นมีกลุ่มคนที่แต่งกายด้วยชุดคลุมม่วง,กำลังยืนอย่างภาคภูมิ
“นั้นมันสมบัติลับของขุนนางกุยยี่,เรือรบทองคำ คนจากสำนักหลวงได้มาถึงแล้ว” ผู้คนด้านล่างต่างพูดขึ้นด้วยความตกใจเมื่อพวกเขาเห็นตัวอักษรบนธงได้อย่างชัดเจน
เจียงหมิงชุ่นมองไปที่เรือรบสีทองเหนือหัวของเขาและรู้สึกถึงเหงื่อเย็นเฉียบที่หลังของเขา เขาไม่คิดว่าสำหนักหลวงจะส่งคนเข้ามา นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าทุกอย่างมันหลุดจากการควบคุมมั่วไปหมด
จันทร์แรมลอยสูงอยู่บนท้องฟ้า,ไร้ซึ้งดวงดาวส่องแสงยามค่ำคืน คืนนี้ดูสลัวกว่าปกติแต่บนท้องถนนในเมืองไป๋สุ่ยก็เต็มไปด้วยผู้คน
เรือยักษ์สีทองลอยไปอย่างช้าๆบนท้องฟ้า,เรืองแสงว่างสุกใสออกมา แม้ว่ามันจะลอยสูงห่างออกไปบนท้องฟ้า,แต่ฝูงคนด้านล่างต่างสัมผัสได้ถึงพลังอันไร้ขอบเขตของมัน
“ขุนนางกุยยี่,หยิงเซียว,มาถึงแล้ว แรงดึงดูของซากโบราณมันมหาศาลอย่างแท้จริง ช่างน่าเสียดาย,เป็นไปไม่ได้สำหรับนักบ่มเพาะพลังระดับต่ำเช่นพวกเราที่จะได้สัมผัสความตื่นเต้นนั้น”
“ทำไมจะไม่ได้? ไม่ใช่ว่ามีคนเอาแผนที่ที่หลุดออกมาเร่ขายเมื่อเร็วๆนี้? ข้าก็ซื้อมันมาแผ่นนึงแต่ยังไม่ได้ตรวจสอบอย่างระเอียด หลังจากที่ข้าตรวจสอบจนแน่ใจแล้ว,ข้าจะตามไปลองดูแน่นอน”
“ไอ้โง่,นั้นมันของปลอม กลับไปส่องมันดูดีๆแล้วเจ้าจะรู้ หากข้ารู้ว่าใครทำมันออกมา,ข้าจะตามไปฆ่ามันซะ”
บางคนที่อยู่ด้านข้างยิ้มขึ้นอย่างเย็นชา “เงินเล็กน้อย,ผู้นำตระกูลเจียงซื้อมันมาสิบแผ่นด้วยเงินหนึ่งหมื่นเหรียญทอง เขาคือ ‘โง่บัดซบ’ ของแท้ พวกเขาเสียไปมันเป็นเพียงเงินเล็กน้อย”
“เป็นเรื่องจริง,เจ้าหมอนั้นมันกล้าฉกเงินตระกูลเจียง ทำไมข้าไม่ทำแบบนั้นบ้าง!? หนึ่งหมื่นเหรียญทอง… เป็นข้าต้องเก็บเป็นสิบปี”
“เจ้ากล้า? หากเจ้าหมอนั้นไม่มีคนแข็งแกร่งหนุนหลังอยู่,เขาคงไม่กล้าไปหลอกตระกูลเจียงเช่นนั้น สำหรับพวกเรา,หลังจากที่ถูกต้มก็ทำได้เพียงแค่อดทน หากพวกเราไปขุดคุ้ยตามคิดบัญชี,ใครจะรู้พวกเราอาจจะโดนเก็บซะเอง”
ฝูงชนพูดคุยกันเรื่อยเปื่อยก่อนที่จะกลับไปคุยเรื่องเรือรบทองคำของขุนนางกุยยี่ เมื่อได้พบกับเรือรบอันทรงพลังและทรงอำนาจ,พวกเขาต่างตกตะลึง
ท่ามกลางฝูงชน,เซียวเฉินเงยหัวขึ้นไปมองเรือทองคำที่ลอยอยู่บนฟ้า เขาครุ่นคิดอย่างรอบคอบ,เจ้าเรือรบทองคำนี้มันจะต้องเป็นสมบัติลับระดับสูง,มันจะต้องมาจากยุคโบราณ
สมบัติลับส่วนใหญ่ในโลกนี้ต่างตกทอดมาจากยุคโบราณ หลังจากที่สิ้นสุดยุคโบราณ,ช่างสมบัติลับก็ลดจำนวนลง หลังจากการล่มสลายของราชวงศ์เทียนวู่,สายเลือดช่างสมบัติลับก็เลือนหายไปหมดสิ้น
ในตอนนี้,ภายในทวีปเทียนวู่,ไม่มีใครที่สามรถสร้างสมบัติลับขึ้นมาได้ เพื่อที่จะได้สมบัติลับมาครอบครอง,ผู้นั้นจะต้องได้รับมาจากซากโบราณเท่านั้น,หรือมาจากเศษซากของราชวงศ์เทียนวู่ เห็นได้ถึงความหายากและมูลค่าของสมบัติลับ
อย่างไรก็ตาม,เซียวเฉินรู้สึกว่าสมบัติลับในตำนานนั้นช่างคล้ายคลึงกับสมบัติเวทมนตร์ที่บันทึกไว้ในตำราบ่มเพาะพลัง ในครั้งก่อน,ก็มีคนเข้าใจผิดว่าคาถาสละชีพของเขาเป็นสมบัติลับ
น่าเสียดายที่เขายังไม่เคยจับต้องสมบัติลับที่แท้จริง ดังนั้นเขาจึงไม่อาจยืนยันข้อสงสัยนี้ได้ เซียวเฉินสลัดความคิดออกไป,มุ่งหน้าไปทางศาลาหลับไหล,เขาถามข่าวคราวไปตลอดทางและพบว่ามันยังไม่ได้เปลี่ยนที่ตั้งไป
เซียวเฉินมุ่งตรงขึ้นไปที่ชั้นสองและพบว่ากิจการยังคงรุ่งเรืองเหมือนเคย แม้ว่าจะตกดึกแล้วแต่ก็ยังไม่มีโต๊ะว่างซ้ำยังมีคนต่อคิวรออีก
บนชั้นสอง,ผู้บ่มเพาะพลังทุกคนต่างพูดคุยถกเถียงกันเรื่องซากโบราณและเรือรบทองคำบนท้องฟ้า,รวมถึงข่าวยอดนิยมอย่างแผนที่ ‘โง่บัดซบ’
“เรือรบทองคำของขุนนางกุยยี่ได้มาที่นี่,ข้าสงสัยว่าเรือรบทมิฬของตรกูลจีหรือวังน้ำแข็งลึกล้ำของตระกูลตวนมู่จะตามมาด้วยเช่นกัน”
“หากพวกเขามา,มันคงคึกคักไม่เบา,พวกมันล้วนเป็นสมบัติลับระดับสูง หากพวกเขาจบลงที่ต่อสู้ฆ่าฟันกัน,แม้แต่ระดับขอบเขตนักบุญก็ไม่อาจทนคลื่นกระแทกได้”
เซียวเฉินเดินตรงผ่านชั้นสองไปที่ชั้นสาม ที่ชั้นสามคนคนนั้นจะต้องมีบัตรผ่านพิเศษ ของศาลาหลับไหลถึงจะเข้าไปได้ ยังมีโต๊ะว่างอีกมากมายที่ชั้นสาม
หลังจากทำการค้ากับเจ้าหมูในครั้งก่อน,จินต้าเป่าก็ให้บัตรผ่านแก่เขา หลังจากแสดงบัตร,เขาก็ขึ้นไปที่ชั้นสามได้อย่างราบลื่น
ผู้คนที่นั่งอยู่บนชั้นสามล้วนมีระดับขอบเขตพลังขั้นต่ำเป็นเชี่ยวชาญยุทธระดับสูง,พวกเขาส่วนใหญ่เป็นระดับขอบเขตปรมจารย์ เห็นได้ชัดว่าสถานะพลังของผู้บ่มเพาพลังบนชั้นสามนั้นสูงกว่า,และบางคนยังเป็นผู้นำองค์กร
หัวข้อสนทนาบนชั้นสามต่างไปจากที่ชั้นสองโดยสิ้นเชิง พวกเขาส่วนใหญ่พูดคุยกันเรื่องแลกเปลี่ยนแก่นกลางวิญญาณหรือสมุนไพร บางครั้งก็มีคนลุกเดินไปที่เคาน์เตอร์เพื่อประเมินสินค้า
เซียวเฉินเข้าใจแล้วว่าทำไมกิจการของศาลาหลับไหลถึงรุ่งเรือง นอกจากสถานที่ไว้กินดื่มพูดคุยแล้ว,ยังมีสถานที่ไว้ติดต่อซื้อขายสินค้ากัน
“ปัง!ปัง!ปัง!”
ไม่นานหลังจากที่เซียวเฉินนั่งลง,ฝีเท้าหนักแน่นอันเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าหมูจินก็ดังขึ้นมา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มพร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามเซียวเฉิน
“เป็นเวลากว่าครึ่งเดือนแล้วตั้งแต่ที่พวกเราเจอกันครั้งสุดท้าย พี่น้องเซียวเฉิน,ตอนนี้เจ้าดังใหญ่แล้ว! เกือบทุกคนในเมืองไป๋สุ่ยต่างรู้จักชื่อของเจ้า,ช่างคาดไม่ถึง!” เจ้าหมูจินก้นได้นั่งปากก็ขยับทันที
เซียวเฉินเพียงยิ้มบางๆไม่ได้พูดอะไรขึ้นมา เขาหยิบแก่นกลางวิญญาณและสมุนไพรที่ได้รับมาจากพวกคนที่พยายามจะสังหารเขาออกมาจากแหวนห้วงจักรวาล,ซ้อนขึ้นเป็นชั้นๆ
ตอนแรกเจ้าหมูจินไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก,แต่เมื่อเขาเห็นสมุนไพรและแก่นกลางวิญญาณจำนวนมหาศาลที่กองอยู่บนโต๊ะ,ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ “บ้าไปแล้ว! นี่เจ้าถางป่าอำมหิตจนเตียน? สมุนไพรและแก่นกลางจำนวนมหาศาลเช่นนี้”
“ข้าแค่สังหารไปร้อยกว่าคน” เซียวเฉินพูดขึ้นอย่างไม่แยแส เจตนาฆ่าอันน่าสะพรึงกลัวแพร่กระจายไปบริเวณโดยรอบ
เซียวเฉินพูดเรื่องนี้ขึ้นเพื่อเตือนคนรอบๆ หลังจากที่บนโต๊ะเต็มไปด้วยสมุนไพรและแก่นกลางวิญญาณ,เซียวเฉินสัมผัสได้ถึงสายตานับไม่ถ้วนจับจ้องมาที่เขาในทันที มีทั้งร่องรอยความละโมบและเจตนาฆ่าแฝงมาผ่านสายตาเหล่านั้น
ในทันทีที่เจตนาฆ่าของเซียวเฉินกระจายออกไป,ทุกคนภายในชั้นนี้รู้สึกกดดันเล็กน้อย นี่คือเจตนาฆ่าบริสุทธิ์,มันเป็นผลมาจากการฆ่าคนมานับไม่ถ้วน
“มีกี่คนที่ถูกเจ้าหนุ่มนั้นสังหารถึงได้มีเจตนาฆ่ารุนแรงถึงเพียงนี้?” ในฝูงคนพูดพึมพำขึ้นหลังจากที่ถอนสายตากลับออกไป
เจ้าหมูจินหัวเราะเสียงดัง “เจ้าอยากจะขายมันทั้งหมดให้ท่านหมู? ไม่มีปัญหา! ท่านหมูผู้นี้รับซื้อทั้งหมด เจ้าแล้วก็เจ้า! เอาสินค้าไปตรวจสอบ”
ทันทีที่เจ้าหมู่เรียก,สองคนที่อยู่ตรงเคาน์เตอร์ตรงเข้ามาและโค้งคำนับเขา จากนั้นพวกเขาก็นับสิ่งของที่อยู่บนโต๊ะและยื่นรายการสิ่งของให้เซียวเฉินก่อนที่จะนำของออกไป
เจ้าหมูจินยิ้ม “พวกเขาน่าจะประเมินของเสร็จภายในครึ่งชั่วโมง ไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะมีการเล่นตุกติก ในตอนที่ท่านหมูทำธุรกิจ,เป็นที่พอใจของทั้งสองฝ่ายเสมอ,ข้าไม่โกงเด็กหลอกคนแก่”
เซียวเฉินยกชาขึ้นมาจิบก่อนที่จะถามขึ้น “เจ้ามีที่เงียบๆกว่านี้ไหม? ข้ามีเรื่องสำคัญจะพูดคุย”
เจ้าหมูจินดวงตาเปิดกว้าง,เขาเดาไปต่างๆนาๆถึงเรื่องที่เซียวเฉินจะเอามาพูด เขาพูดขึ้น “ตามข้ามา!”
จากนั้นทั้งคู่ก็เข้าไปในห้องเงียบแห่งหนึ่ง,หลังจากที่เจ้าหมูจินนั่งลง,เขาพูดขึ้น “ไม่ว่าจะพูดคุยอะไรมันจะถูกเก็บเป็นความลับไว้ที่นี่,ไม่มีใครสามารถได้ยินได้”
เซียวเฉินตรวจสอบสถานที่ด้วยสัมผัสวิญญาณและเป็นไปตามที่เขาคาด,ไม่มีใครอื่นอยู่ที่นี่อีก เขาหยิบแผนที่ซากโบราณออกมาจากแหวนห้วงจักรวาลและพูดขึ้น “ข้าอยากให้เจ้าตามหาที่ตั้งของซากโบราณบนแผนที่ให้ข้าภายในสามวัน”
เจ้าหมูจินมองไปที่แผนที่และหัวเราะเสียงดัง “พี่น้องเซียว,ข้าจะไม่ปิดบังเจ้า,ข้าก็มีแผนที่เช่นกัน ข้าสงสัยว่ามันเป็นของจริงหรือไม่,ทำไมเจ้าไม่ลองส่องดู”
เซียวเฉินเหลือบมองและเข้าใจ เขายิ้มขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ “ข้าว่าแล้ว,เป็นฝีมือเจ้าจริงๆ ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมคนถึงยังจะซื้อแม้ว่ามันจะมีคำว่า ‘โง่บัดซบ’ แปะอยู่”
เจ้าหมูจินหัวเราะเบาๆและพูดอย่างละโมบ “ใครจะไปรู้? อยากไปพูดถึงมันเลย ข้าอยากจะซื้อแผนที่ของเจ้า,ขอแค่บอกราคามา”
เซียวเฉินตะลึงเล็กน้อยพร้อมกับพูดขึ้น “ทำไมเจ้าอยากจะซื้อมัน? เจ้าก็อยากจะไปที่ซากโบราณเช่นกัน?”
“เมื่อข้าอยากจะซื้อ,ข้ามั่นใจว่าจะขายมันได้เช่นกัน เจ้าจะขายไหม?” เจ้าหมูจินแสดงท่าทางผู้รู้พร้อมกับพูดขึ้น
เซียวเฉินคิดอยู่ครู่หนึ่ง,เขาเดาได้ว่าเจ้าหมูจะเอามันไปทำอะไร เขาพูดขึ้น “แน่นอน,แต่เจ้าต้องช่วยข้าตามหาที่ตั้งในแผนที่ก่อน”
เจ้าหมูจินตบหน้าอกพร้อมกับพูดขึ้น “เรื่องขี้ประติว ให้ข้าจัดการเอง”
“ก๊อก!ก๊อก”
มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาจากด้านนอกประตู,จากนั้น,ชายชราผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาพร้อมเงินกองโต “นายน้อยเซียว,สินค้าของท่านประเมินราคาเสร็จสิ้นแล้ว ทั้งหมดเป็นเงินห้าพันเหรียญทอง”
เจ้าหมูจินรับกองตั๋วเงินมาและยื่นมันไปทางเซียวเฉิน,จากนั้นเขาก็ยื่นแผนที่ไปที่คนคนนั้น “หาที่ตั้งของมันภายในเช้าวันพรุ้งนี้”
ชายชราคนนั้นรับเอาแผนที่ไปและออกจากห้องโดยไม่พูดอะไร เจ้าหมูจินเห็นเซียวเฉินไม่มั่นใจจึงพูดขึ้น “ไม่ต้องเป็นกังวล,เชื่อใจข้า จะได้เรื่องได้ราวแน่นอนในพรุ้งนี้เช้า”
“มา,ข้าจะพาไปพบใครบางคน คนคนนี้สนใจในตัวเจ้ามาก”