ตอนที่ 105 ความโกลาหลที่ก่อตัว
“เจียงหยุ่นเสอทะนงตนเกินไป เขาฝืนระงับพลังของกระบี่เอาไว้และคิดไปเองว่าเจ้าหนุ่มคนนั้นก็ทำเช่นเดียวกัน”
“ตามนั้น…เป็นความพ่ายแพ้ที่น่าทุเรศ หากเขาไม่ตื่นตระหนกเกินไป,ชัยชนะของเขาก็อยู่ไม่ไกลหลังจากแลกกัน 500 กระบวณท่า”
“จังหวะสุดท้ายของเจ้าหนุ่มนั้นช่างน่ากลัว เขาอดทนถนอมพลังของเขาเอาไว้เพื่อที่จะปลดปล่อยออกมาพลิกเอาชนะในครั้งเดียว”
เหล่าผู้บ่มเพาะพลังที่ยืนดูอยู่ต่างส่ายหัวให้กับความพ่ายแพ้ของเจียงหยุ่นเสอ พวกเขาต่างคิดว่าเขาเป็นต่ออยู่มาก,แต่พวกเขาก็รู้สึกว่าการโจมตีของเซียวเฉินก็น่ากลัวเช่นกัน
เมื่อเห็นเซียวเฉินที่กำลังเดินเข้ามาใกล้,เจียงหยุ่นเสอก็สัมผัสได้ถึงเงาแห่งความตายกำลังคืบคลานเข้ามา เขารีบวิ่งไปที่ประตูเมืองและตะโกนสั่งลูกน้องของเขา “สกัดมันไว้!”
คนที่เหลือทั้งสิบคนเป็นหน่วยกล้าตายของตระกูลเจียง แม้ว่าพวกเขาจะดูถูกการกระทำของเจียงหยุ่นเสออยู่ในใจ,พวกเขาก็ไม่ลังเลที่จะยืนกันหลัง
เป็นเพราะครอบครัวของเขาก็อยู่ในตระกูลเจียง,หากพวกเขาขัดคำสั่งหรือวิ่งหนี,ไม่ใช่แค่พวกเขาที่จะถูกลงโทษแต่ครอบครัวของพวกเขาก็โดนไปด้วยเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีทางเลือก ยิ่งกว่านั้นหากพวกเขาตายในการต่อสู้,ครอบครัวของพวกเขาก็จะได้เงินชดเชยเป็นจำนวนมาก
เซียวเฉินยังคงมีสีหน้านิ่งพร้อมกับเดินตรงไปข้างหน้า,ราวกับไม่มีอะไรขวางทางเขา ผู้คนต่างตกตะลึงเมื่อเห็นเซียวเฉินเดินผ่านพวกเขาไปเฉยๆ
“ชี่!ชี่!”
เซียวเฉินดูเหมือนว่าไม่ได้ลงมือทำอะไร,แต่ร่างของผู้บ่มเพาะพลังตระกูลเจียงทั้งสิบคนต่างลุกเป็นไฟสีม่วง พวกเขาถูกเผากลายเป็นเถ้าถ่านในทันที
เจียงหยุ่นเสอหันกลับไปมองว่าเซียวเฉินทำอะไร เมื่อเขาเห็นดังนั้น,เขาก็หวาดกลัวยิ่งกว่าเดิมและสับตีนแตกเร่งความเร็ววิ่งไปที่ประตูเมืองทันที
“แคร้ง!”
ท่ามกลางกองขี้เถ้า,คันธนูและลูกศรที่ส่องประกายระยิบระยับหล่นลงมา นี้เป็นอาวุธวิญญาณที่เจียงหยุ่นเสอใช่ยิงใส่เซียวเฉินเมื่อคราวก่อน
เซียวเฉินหยิบธนูขึ้นมาและประทับลูกศรขึ้นสาย เขาหมุนเวียนพลังปราณไปที่มือขวา เมื่อเขาพยายามจะดึงสายธนูกลับพบว่ามันไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว
มันมีอะไรมากกว่าที่ตาเห็น,ธนูคันนี้มันสลายพลังปราณไปโดยอัตโนมัติ,เซียวเฉินคิดกับตัวเอง จากนั้นเขาก็สลายพลังปราณที่มืออกไปและใช้พลังกายเพียงอย่างเดียวเพื่อดึงสายธนูออกมาเป็นรูปจันทร์เต็มดวง
เขาใช้สัมผัสวิญญาณของเขาเล็งไปที่หน้าอกของเจียงหยุ่นเสอ เขาจับตำแหน่งได้อย่างชัดเจน,ไม่ว่าจะเคลื่อนไหวเช่นไรก็สลัดเซียวเฉินไม่หลุด
“ฮ่ะ!”
ลูกศรพุ่งแหวกอากาศออกไปราวกับสายฟ้า,มันดูเหมือนกับทักษะต่อสู้ล่าดาราคว้าจันทรา ทันทีที่ลูกศรขึ้นมาประทับบนธนู,ในอีกวินาทีต่อมามันก็พุ่งทะลุหน้าอกของเจียงหยุ่นเสอ
ความรุนแรงของลูกธนูไม่ได้ลดลงและลากพาร่างของเจียงหยุ่นเสอพุ่งตรงไปที่กำแพงเมือง ลูกธนูปักเข้ากับกำแพงเมืองอย่างรุนแรงเกิดเสียงดัง,แขวนเจียงหยุ่นเสอไว้กับกำแพง
ผู้อาวุโสหนึ่งแห่งตระกูลเจียง,ตระกูลอันดับหนึ่งแห่งเมืองไป๋สุ่ย,ถูกแขวนติดไว้กับกำแพงเมืองไป๋สุ่ยด้วยน้ำมือของเด็กหนุ่ม สถานการณฺ์รอบข้างกลายเป็นใบ้,ทุกคนเปิดปากกว้างโดยไร้เสียงออกมา
“เจ้าหนุ่มนั้นสามารถดึงสายของธนูล่าวิญญาณกลับจนเป็นจันทร์เต็มดวง,ช่างเหลื่อเชื่อ!”
“แน่นอน,ตระกูลเจียงจ่ายศิลาแสงจันทร์ไปมากมายเพื่อซื้อมันมาจากหมู่บ้านหุบเขาทักษะสวรรค์ ผู้ใช้ไม่อาจใช้พลังปราณเพื่อง้างมันได้,พวกเขาจะต้องพึ่งพลังกายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ในตระกูลเจียง,มีเพียงเจียงหยุ่นเสอเท่านั้นที่สามารถง้างมันได้ ถูกคนนับไม่ถ้วนจบชีวิตลงด้วยธนูคันนี้”
“ฮ่ะฮ่ะ! เจียงหยุ่นเสอคงคาดไม่ถึงว่าจะต้องมาจบชีวิตลงด้วยธนูของตัวเอง”
“เขาใช้ธนูคันนั้นสังหารคนนับไม่ถ้วนที่มาเผชิญหน้ากับตระกูลเจียง ตอนนี้เขากลับถูกมันจับแขวนเข้ากับกำแพง,เรียกได้ว่ากรรมตามสนองเขาแล้ว”
หลังจากนั้นช่วงเวลาสั้นๆ,ผู้บ่มเพาะพลังเหล่านั้นก็เรียกสติคืนมาได้ พวกเขาต่างมองไปที่สีหน้าคับอกคับใจของเจียงหยุ่นเสอ,พึงพอใจกับความโชคร้ายของเขา เห็นได้ชัดว่าผู้บ่มเพาะพลังหล่านี้มักจะถูกตระกูลเจียงกดขี่
เซียวเฉินมองไปที่ธนูล่าวิญญาณที่อยู่ในมือของเขา,เขารู้สึกตกใจ,เขาไม่คิดว่าธนูที่ดูแสนธรรมดาคันนี้จะมีเบื้องหลังไม่ธรรมดา
เซียวเฉินเก็บธนูล่าวิญญาณเข้าไปในแหวนห้วงจักรวาลและมองไปที่เจียงหยุ่นเสอที่ถูกแขวนอยู่บนกำแพง เขาเดินตรงเข้าไปในเมืองไป๋สุ่ยโดยไม่ลังเล
หลังจากนั้นครู่ใหญ่,สามระดับขอบเขตปรมจารย์ของตระกูลเจียงนำกำลังผู้บ่มเพาะพลัง 200 คนออกมาจากป่าอำมหิตอย่างน่าเกรงขาม เมื่อพวกเขาเห็นเจียงหยุ่นเสอที่ถูกแขวนอยู่บนกำแพง,พวกเขาก็ตกใจหน้าซีด
……
ตอนนี้เป็นเวลากลางคืน,ท้องฟ้าเต็มไปด้วยหมู่เมฆไร้ซึ่งแสงดาว มีเพียงพระจันทร์ลอยสูงอยู่บนท้องฟ้า,ฉายแสงอ่อนโยนลงมาที่ผืนดิน
ภายในตระกูลเจียงแห่งเมืองไป๋สุ่ย,ผู้อาวุโสทุกคนถูกเรียกไปที่โถงใหญ่ เจียงหมิงชุ่นนั่งอยู่ที่ตรงกลางห้องโถงไม่ปรากฎสีหน้าออกมา
ทั้งสองด้านซ้ายขวาของเขามีหกผู้อุทิศตนของตระกูลเจียง,ทั้งหมดล้วนอยู่ระดับขอบเขตนักบุญด้านหลังพวกเขา,มีสิบระดับขอบเขตปรมจารย์ ในห้องโถงใหญ่ดูค่อนข้างแออัด
นี่คือเหล่าหัวกะทิของตระกูลเจียง,คนเหล่านี้คือคนที่ตระกูลเจียงพึ่งพามากว่าหลายร้อยปี พวกเขาคือคนที่ทำให้ตระกูลเจียงสามารถกร่างไปทั่วเมืองไป๋สุ่ย
ในตอนนี้,คนพวกนี้,ผู้ที่มีอำนาจในเมืองไป๋สุ่ยและเป็นที่เคารพนับถือ,มีสีหน้าเคร่งขรึมอย่างไม่น่าเชื่อ บรรยากาศภายในห้องโถงใหญ่ช่างมืดมัวและเปล่าเปลี่ยว
เจียงหมิงชุ่นเริ่มพูดขึ้นช้าๆ “ข้าคิดว่าพวกเจ้าทั้งหมดคงรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนี้ ผู้อาวุโสหนึ่งเจียงหยุ่นเสอกลายเป็นศพไร้วิญญาณถูกแขวนไว้ที่กำแพงเมื่อง”
ผู้อุทิศตนที่อยู่ด้านขวาพูดขึ้น “พี่น้องเจียง,ไม่ต้องไปใส่ใจกับมันมากนัก,มันก็แค่ระดับขอบเขตเชี่ยวชาญยุทธขั้นกลาง ข้าสามารถบี้มันให้ตายด้วยมือเดียว ข้ารู้สึกว่าจะเป็นการดีกว่าถ้าปล่อยให้มันผ่านไปซะ พวกเราควรจดจ่อไปที่ซากโบราณ,นั้นสิเป็นสิ่งที่ตระกูลเจียงจะใช้มาเป็นฐานขยายอำนาจ”
หลังจากที่เขาพูดจบชายนวัยกลางคนที่อยู่ด้านหลังก็พูดขึ้น,เขามีท่าทีกระวนกระวายอย่างมาก “ผู้อาวุโสไป๋! ท่านหมายความเช่นไร!? พี่ใหญ่ของข้าถูกแขวนเป็นศพอยู่บนกำแพงเมือง ท่านจะปล่อยให้เขาตายไปเฉยๆ?”
ผู้อุทิศตนแส่ไป๋คิ้วขมวดและพูดขึ้นอย่างดุร้าย “เจ้าคิดว่าเป็นอะไร? ช่างกล้ามาใช้น้ำเสียงเช่นนั้นกับข้า ข้าได้บอกเจ้ารึว่าข้าไม่ได้ใส่ใจ? ข้ายินดีจะไปตามล้างแค้นเป็นการส่วนตัวให้พี่ใหญ่ของเจ้า,แต่มันมีเรื่องที่เร่งด่วนยิ่งกว่า แม้แต่ผู้นำตรกูลยังไม่เปิดปากกล่าวอะไร,เจ้าเป็นใครถึงพูดขึ้นมา?”
ใบหน้าของชายกลางคนคนนั้นแดงป่องขึ้นมา,ด้วยสถานะของเขาแน่นอนว่าเขาไม่ควรพูดกล่าวกับผู้อาวุโสเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม,พี่ใหญ่ของเขาได้ตายจากไป,และเขารู้สึกไม่พอใจอย่างมาก
เจียงหมิงชุ่นพูดขึ้น “หยุ่นฟง,เจ้าไม่ต้องไปกังวลกับมันมาก ในหลายปีที่ผ่านมา,เจ้าก็เห็นว่าพวกคนที่กล้ามาแหยมกับตรกูลเจียงมันมีจุดจบเช่นไร?”
“ในตอนนี้,ที่ข้าเรียกพวกเจ้าทุกคนมาก็ไม่ได้เพื่อมาคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้ามีความคิดเดียวกับผู้อาสุโสไป๋ พวกเราควรจัดอันดับความสำคัญ อย่าให้แค่ระดับขอบเขตเชี่ยวชาญยุทธขั้นกลางคนนั้นมาทำให้เสียเรื่อง”
“สิ่งเดียวที่ข้าเป็นกังวลตอนนี้ก็คือคนคนนั้นอาจทำให้แผนที่รั่วไหลออกไป ดังนั้น,ที่ข้าเรียกทุกคนมาก็เพื่อเตรียมตัวเข้าไปยังซากโบราณ”
เจียงหมิงชุ่นพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉย,หลังจากที่เขาพูดจบ,ทุกคนต่างสีหน้าเปลี่ยน พึ่งเพียงกำลังของพวกเขาจะบุกเขาซากโบราณได้หรือ?
“บูม!บูม!”
ขณะที่กำลังไต่ตรองกับคำพูดของเจียงหมิงชุ่น,ก็มีเสียงกรีดร้องดังเข้ามาจากด้านนอก “ปัง!ปัง!”ศิษย์ตระกูลเจียงสองสามคนถูกใครบางคนจับโยนเข้ามาจากด้านนอก
ศิษย์ตระกูลเจียงที่ถูกโยนเข้ามาด้วยพลังมหาศาลและระดับขอบเขตปรมจารย์สองสามคนที่อยู่รอบนอกไม่อาจต้านแรงไว้ได้และถูกผลักกระเด็นถอยหลังไป
ห้องโถงใหญ่ที่แออัดถูกแหวกเป็นทางในทันที เจียงหมิงชุ่นและผู้อุทิศตนสองสามคนเคลื่อนไหวและจับตัวศิษย์ตระกูลเจียงที่ถูกโยนเข้ามาเอาไว้
หลังจากที่จับพวกเขาไว้ได้,คลื่นกระแทกพุ่งออกมาจากตัวของพวกเขา,ปะทุไปทั่วทุกทิศทาง ทำให้โต๊ะเก้าอี้ทั้งหมดล้มกระจาย
ถ้วยและแจกันถูกเทลงไปกองเรี่ยราดบนพื้น เห็นได้ชัดผู้โจมตีมีความแข็งแกร่งเกินคาด
เจียงหมิงชุ่นวางตัวคนที่เขารับไว้ลงกับพื้นและมองไปที่ฮวาหยุ่นเฟยและตวนมู่ฉิงที่ยินอยู่ด้านนอกห้องโถงใหญ่ ด้านหลังของพวกเขามีกองกำลังที่ไม่ทราบความแข็งแกร่ง เขาพูดอย่างขุ่นเคือง “นี่มันหมายความว่าอะไร? ทำไมถึงมาทำร้ายคนของตระกูลข้า?”
จากนั้นเขาก็มองไปที่ฉู่เฉาหยุ่นที่ยืนอยู่ห่างออกไป เขาพูดด้วยน้ำเสียงยินดี “หลานเฉาหยุ่น,พ่อของเจ้ากับข้านับได้ว่าเป็นสหายที่ดีต่อกัน เจ้าคิดจะสร้างความบาดหมาง?”
ฉู่เฉาหยุ่นยิ้มบางๆและพูดขึ้นเบาๆ “ท่านลุงเจียง,ในตอนที่ข้ามาที่นี่,พ่อข้าบอกข้าแล้ว ไม่ต้องเป็นกังวล,ข้าไม่ได้ทำร้ายคนของตระกูลเจียงเมื่อครู่”
ฮวาหยุ่นเฟยยิ้มเย็นชา “เจียงหมิงชุ่น,เจ้าไม่ต้องมามากความ ข้าอัดคนของเจ้าเอง ข้ามีเพียงคำถามเดียว,เจ้าจะถ่วงเวลาพวกข้าไปถึงเมื่อไหร? อย่ามาทำกับเราเหมือนคนโง่”
ท่าทีของฮวาหยุ่นเฟยช่างหยิ่งยโส ดูถูกเขาโดยการเรียกชื่อห้วนๆ,ไม่มีความเคารพกันระหว่างรุ่นใหญ่และรุ่นเยาว์แม้แต่น้อย
เจียงหมิงชุ่นในใจเต็มไปด้วยเพลิงโทสะ,แต่เขาก็ไม่ได้แสดงมันออกมา ท้ายที่สุดตระกูลเจียงของพวกเขาก็เป็นเพียงแต่ตระกูลมั่งคั่งตระกูลหนึ่ง ในขณะที่ตระกูลฮวาเป็นตระกูลชั้นสูงที่ดำนงอยู่มานานนับพันปี เมื่อเอาไปเปรียบเทียบกับตระกูลที่มีสายเลือดต้นกำเนิด,ตระกูลของเขาไม่มีค่าให้พูดถึง
นอกจากนั้นผู้อาวุโสตระกูลฮวาที่ยืนอยู่ด้านหลังฮวาหยุ่นเฟยไม่ได้พูดอะไรออกมา,เห็นชัดว่าพวกเขาถือหางให้ท่าทีของฮวาหยุ่นเฟย มีพวกเขาคอยหนุนหลังอยู่,เจียงหมิงชุ่นไม่กล้าลงมือกับฮวาหยุ่นเฟย
เจียงหมิงชุ่นพึมพำขึ้น””ข้าสัญญากับพวกเจ้าทุกคนไว้ว่าเมื่อข้าตรวจสอบที่ตั้งของซากโบราณได้แน่ชัด,ข้าจะลงมือดำเนินการพร้อมกับพวกเจ้าทุกคน ในตอนนี้,ที่ตั้งของมันยังไม่ยืนยัน,ดังนั้นข้าจะนำทางพวกเจ้าไปได้เช่นไร?
ฮวาหยุ่นเฟยเผยรอยยิ้มน่ากลัวและพูดเย้ยหยัน “เจ้าคิดว่าพวกข้าเป็นไอ้โง่? เจ้าคิดว่าพวกข้าไม่ได้ยินที่เจ้าพูดก่อนหน้านี้? อย่าคิดว่าเพียงแค่เจ้ามีตระกูลจีหนุนหลังอยู่แล้วจะเขี่ยพวกเราทิ้ง?”
เขาหยุดลงครู่หนึ่ง,จากนั้นน้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนเป็นหนักแน่นพร้อมกับชี้นิ้วไปที่เจียงหมิงชุ่นและออกเสียงเน้นทีละคำ “บอกให้เจ้ารู้ไว้,ที่นี่คือเขตตงหมิง,ไม่ใช่เขตหนานหลิง แม้ว่าตระกูลจีจะเข้ามา,พวกเขาก็ไม่มีอำนาจที่นี้”
หลังจากที่เจียงหมิงชุ่นถูกฮวาหยุ่นเฟยชี้หน้าสั่งสอน,สีหน้าเขากลายเป็นมืดมัว โทสะของเขาทวีความรุนแรงพร้อมกับกำหมัดแน่น,เขารู้สึกขุ่นเคืองอย่างไม่น่าเชื่อ
“พูดจาใหญ่โตเสียจริง” ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาดังขึ้นมาในห้องโถงใหญ่ มันสะท้อนกลับไปมาไม่สามารถบอกได้มาเสียงมาจากทิศทางไหน
ร่างสีดำเข้ามาจากด้านนอกปรากฎตัวขึ้นต่อหน้าฮวาหยุ่นเฟย เขาซัดฝ่ามือใส่ฮวาหยุ่นเฟยในทันที,เขาลงมือจบในชั่วอึดใจเดียวรวดเร็วราวกับสายฟ้า ทุกคนในห้องโถงใหญ่ต่างไม่รู้ว่าร่างสีดำนี้เข้ามาในตระกูลเจียงได้เยี่ยงไร
“ปัง!”
ฮวาหยุ่นเฟยตอบสนองฉับไวและปล่อยฝ่ามือเข้าไปรับร่างสีดำ เกิดเสียงระเบิดขึ้นเมื่อฝ่ามือของทั้งสองปะทะกัน,ร่างสีดำระเบิดในทันที
“นั้นมันทักษะลับของตระกูลจีประทับร่างดวงดาว นายน้อยจีมาถึงแล้ว” คนของตระกูลเจียงอุทานขึ้นอย่างดีใจเมื่อเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ท่าทีของเจียงหมิงชุ่นผ่อนคลายลงอย่างมาก
ฮวาหยุ่นเฟยที่อยุ่ใกล้ที่สุดถูกกระแทกถอยกลับด้วยแรงระเบิด พลังงานประหลาดไหลเข้ามาในร่างของเขาผ่านทางฝ่ามือ,หมุนเวียนไปในเส้นลมปราณของเขาและกวาดล้างทุกอย่างที่ขวางหน้า
ฮวาหยุ่นเฟยสีหน้ากลายเป็นมืดมัวและใช้พลังงานของจิตวิญญาณยุทธของเขาอย่างร้อนใจ,ธารโลหิตไหลเข้ามาทันที เขาสลายพลังงานประหลาดนั้นไปได้ในเวลาไม่นาน
“จิตวิญญาณยุทธกลายพันธ์ุของตระกูลฮวามันก็งั้นๆ ไม่น่าแปลกใจทำไมถึงไปโดนระดับขอบเขตจอมยุทธฝึกหัดกระทืบมา”
ชายสวมชุดดำเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่อย่างช้าๆ เขามีผมดำยาวเป็นประกายและมีเสน่ห์ ดวงตาของเขาเป็นประกายราวกับดวงดาว ด้วยชุดสีดำของเขา,เขาดูเปล่องประกายราวกับท้องฟ้ายามค่ำตืน
เมื่อเขาเดินเข้ามาในโถงใหญ่,ทั่วทั้งห้องสว่างไสว เขากลายเป็นศูนย์กลางของทุกคนในทันที เขาเป็นตัวละครหลักที่ทั่วทั้งโลกต้องหมุนไปรอบตัวเขา
ใบหน้าสงบเสงี่ยมของฉู่เฉาหยุ่นเผยรอยร้าวใจ จีชางคง,เป็นเขาจริงๆ?
มีข่าวลือมากมายเกี่ยวกับจีชางคงแห่งเขตหนานหลิง พวกเขาว่ากันว่าเขานั้นได้ฝึกฝนทักษะลับของตระกูลจี,สำเร็จทักษะประทับร่างดวงดาวขั้นกลางตอนอายุ 7 ขวบ,จากนั้นเขาก็ฝึกฝนทักษะลับอีกอย่างของตระกูลจี,ร่ายรำดาบดวงดาวสำเร็จขั้นกลางตอนอายุ 10 ปี
หลังจากนั้น,เขาก็ไม่เคยเจอคนที่เทียบเคียงเขาได้อีกเลย ในปัจจุบันเขากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับแนวหน้าของรุ่นเยาว์ในเขตหนานหลิง ตอนอายุได้ 16 ปีเขาก็อยู่ระดับขอบเขตปรมจารย์ขั้นสูงเรียบร้อยแล้ว
จีชางคงผู้อหังการจากนั้นก็เตรียมตัวเดินทางเข้าหมืองหลวงในทันทีเพื่อท้าทายเจ้าหญิงหยิงเยว่,ผู้ที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นมหาจักรพรรดิที่กลับชาติมาเกิด เขาเอาชนะรุ่นเยาว์ทุกคนในเมืองหลวงและในที่สุดก็ถูกเจ้าหญิงหยิงเยว่เรียกตัวเข้าไป