เมื่อเขาลงถึงพื้นท่อนล่างของเขายังวิ่งต่อไปอีกสองสามเมตร วินาทีต่อมาเขาก็ปรากฎสีหน้าหวาดกลัวมองดูท่อนล่างของตัวเองกำลังวิ่งออกไป
เขาหันหัวมองไปรอบๆในทันทีที่ประกายแสงสายฟ้าจางหายไปเขาก็เห็นสายตาของเซียวเฉินที่จ้องมองมาอย่างเย็นชา
เซียวเฉินยิงเปลวเพลิงสีม่วงออกไปเผาร่างของเขาเป็นเถ้าถ่าน หลังจากนั้นเขาก็กลับเข้าห้องไปเก็บของก่อนที่จะเผ่นออกไปทันที
ในเช้าวันต่อมาเซียวเฉินก็เดินออกมาจากโรงเตี๊ยมซอมซ่อแห่งหนึ่ง เขาสวมผ้าคลุมดำปกปิดร่างของเขาไว้ในเงามืดพร้อมกับเดินทางไปยังศาลาหลับไหล
การแต่งตัวแบบเซียวเฉินไม่ใช่เรื่องแปลกตาสำหรับนักบ่มเพาะพลัง ดังนั้นเมื่อเขาเดินเข้าไปในศาลาหลับไหลก็ไม่ได้ดึงดูดความสนใจอะไร
เขาเดินมาที่โต๊ะว่างตัวหนึ่งก่อนที่จะนั่งลง เซียวเฉินเรียกบริกรมา “โปรดแจ้งเจ้านายของเจ้าให้มาที่นี้ บอกเขาว่ามีธุรกิจมานำเสนอ”
บริกรมองมาที่เซียวเฉินและพบความตลกขบขัน,คิดว่าเจ้าของศาลาหลับไหลจะลงมาเจอใครก็ได้?
“ต้องขออภัย,ข้าคิดว่าท่านยังไม่เข้าใจกฎของเรา”
เซียวเฉินยิ้มขึ้นและหยิบตั๋วเงินออกมาห้าร้อยเหรียญเงินพร้อมกับรูปสลักไม้ เขายื่นมันไปหาบริกร “โปรดทำตามที่ข้าขอแล้วก็รับเงินนี้ไป เมื่อเจ้านายของเจ้าเห็นรูปสลักไม้อันนี้เขาจะไม่โทษเจ้าแน่นอน”
บริกรเปิดตากว้างเป็นประกายพร้อมกับรับตั๋วเงินมา “แขกผู้น่านับถือท่านช่างตรงไปตรงมา ข้าจะไปเดียวนี้ แต่ข้าไม่รับปากว่าเจ้านายจะยอมลงมาเจอท่าน”
เซียวเฉินหยิบถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นมาจิบเบาๆ เขายิ้มแล้วก็พูดขึ้น”ไม่เป็นไร,ได้ความเช่นไรให้มาแจ้งข้า จะสำเร็จหรือไม่ข้าก็จะไม่โทษเจ้า”
ไม่นานหลังจากที่บริกรจากไปเสียงเท้าอันหนักแน่นของจินต้าเป่าดังลงมาจากชั้นสอง มองเห็นการแต่งตัวของเซียวเฉินเขาก็งุนงงก่อนที่จะวิ่งตรงเข้ามาท่าทางระริกระรี้ “พี่น้องเวียวทำไมเจ้าแต่งตัวเช่นนั้น? เจ้ากำลังหนี? หากเป็นเช่นนั้นเจ้ามาเจอข้าได้ ข้าพอมีเส้นสาย เจ้าอยากจะไปที่ไหน?ขอแค่บอกมา”
เซียวเฉินไม่ได้กล่าวอะไร,มือขวาของเขาที่ถือถ้วยชาอยู่ทันใดนั้นก็ขยับออกไปเกิดเสียง ‘โซว’ เขาคว้ารูปสลักไม้ในมือของเจ้าหมูกลับมา เขาวางมันลงบนโต๊ะและจากนั้นก็ไปรับถ้วยชาที่กำลังร่วงลงมาอย่างช้าๆ
จินต้าเป่ารี่ตาลงและประเมินเซียวเฉินอย่างระเอียด เขานิ่งอึ้งในใจ เขาไม่คาดคิดว่าเซียวเฉินจะรวดเร็วได้ถึงเพียงนี้ในยามที่ลงมือ เขาประมาทและลดการป้องกันลง
เซียวเฉินวางถ้วยชาลงและพูดอย่างเฉยเมย “พี่น้องต้าเป่าเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องที่ข้ากำลังหลบหนี ข้ามาเพื่อคุยธุรกิจเท่านั้น ข้าเป็นคนตรงไปตรงมา ข้ามีเพียงคำถามเดียวจะถามเจ้า…. เจ้าเอาด้วยหรือไม่เอา?”
จินต้าเป่ามีรอยยิ้มกลับมาบนหน้าอีกครั้ง “แน่นอน!”
เซียวเฉินพูดขึ้น “เช่นนั้นเรามาคุยกันถึงรายละเอียด รูปสลักที่เจ้าเห็นเมื่อครั้งก่อน…ข้าจะไม่สร้างมันขึ้นมาอีก รูปสลักที่ข้าจะตกลงกับเจ้าคือรูปสลักที่เจ้าเพิ่งเห็นเมื่อครู่”
เจ้าหมูจินขมวดคิ้ว “ขอข้าพูดก่อนพี่น้องเซียว รูปสลักทั้งสองนั้นราคาของตัวที่มีเสื้อผ้ากับไม่มีเสื้อผ้ามันไม่ได้ต่างกันแค่เท่าหรือสองเท่า”
“เช่นนั้นดูเหมือนพวกเราจะเห็นไม่ตรงกันแล้ว ข้าก็มีเส้นที่ไม่อาจข้าม ข้าจะไม่ขายรูปสลักเจ้าหญิงหยิงเยว่ที่ทั้งตัวมีแต่ชุดชั้นใน ลาก่อน” เซียวเฉินลุกขึ้นและจากนั้นก็เดินไปที่ประตู
เจ้าหมูจินรีบลุกขึ้นดึงตัวของเซียวเฉินไว้ หน้ายิ้มปากพูด “พี่น้องเซียวไม่ต้องรีบร้อน ข้าตอบปฏิเสธไปตอนไหน? ข้าเพียงคำนวณราคาเท่านั้น โปรดนั่งก่อน,โปรดนั่งแล้วมาคุยกันก่อน”
เซียวเฉินยิ้มในใจเขาคาดเดาไว้แล้วว่าเจ้าหมูนี้ต้องการการซื้อขายครั้งนี้มาก เขาคิดไว้แล้วว่าจินต้าเป่าคงไม่ปล่อยให้เขาเดินออกไปเฉยๆเช่นนั้น เมื่อตกลงกับพวกชอบคิดคำนวณเช่นนี้เขาไม่อาจใช้จิตสำนึกไปคิดคำนวณได้ เขาต้องแสดงให้เห็นว่าเขาอยู่เหนือกว่าหรือมิเช่นนั้นจะเสียเปรียบร้ายแรง
เมื่อเห็นว่าเซียวเฉินกลับมานั่งอีกครั้งเจ้าหมูจินก็พูดขึ้น “พี่น้องเซียวเอาอย่างนี้เป็นเช่นไร? เจ้าก็เป็นคนตรงไปตรงมาข้าก็จะไม่มากความ ข้าจะเอาตามแผนเดิม เจ้าทำสินค้าข้าจัดการเรื่องขาย จากนั้นเราจะแบ่งกัน 30-70 “
เซียวเฉินคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ข้าไม่ชอบการแบ่งรายได้ มันช้าเกินไปกว่าเงินจะไหลเข้ามา แค่บอกราคามาว่าเจ้าจะยินดีซื้อรูปสลักด้วยราคาเท่าไหร?”
เจ้าหมูจินพึมพำกับตัวเองอย่างไม่แน่ใจก่อนที่จะพูดขึ้น “เอาเป็นหนึ่งร้อยเหรียญเงินต่อรูปสลักหนึ่งชิ้น?”
เซียวเฉินนิ่งอึ้ง พอคิดว่ามันจะขายได้ราคาสูงถึงเพียงนี้ หนึ่งร้อยเหรียญทองเทียบได้กับหนึ่งหมื่นเหรียญเงิน ราคาของไม้ที่นำมาแกะสลักแทบจะเป็น 0 กำไรที่ได้มันเกินที่เซียวเฉินคาดไว้ไปไกล
เหรียญเงินที่มีอยู่ในกระเป๋าของเขาที่ได้รับมาจากการขายเม็ดยาอดอาหารให้ศาลาหลินหลาง มันทั้งยุ่งยากและซับซ้อนกว่าจะสกัดเม็ดยาออกมาได้ เมื่อเทียบกันแล้วการแกะสลักมันง่ายกว่าเยอะ
ในหน้าแนะนำของคาถาสละชีวิตในตำราบ่มเพาะพลังมันมีบันทึกการสร้างรูปสลักไม้โดยเฉพาะ ทักษะการแกะสลักของเซียวเฉินก็ได้มาจากตรงนั้น
ในโลกใบนี้ในที่ที่พลังเป็นใหญ่ จึงมีเพียงไม่กี่คนที่สนใจจะมาค้นคว้าทักษะเช่นนี้ งานทำมือของเซียวเฉินจึงเป็นเอกลักษณ์เด่นในโลกนี้
แต่เดิมเขาจะปฏิเสธข้อเสนอของเจ้าหมูแต่หลังจากมีการลอบสังหารเมื่อคืนเขาก็รู้สึกร้อนใจ
ในเส้นทางการบ่มเพาะพลังมันจะต้องใช้เงินจำนวนมาก ไม่เพียงแค่เม็ดยา,ชุดเกราะดีๆและอาวุธวิญญาณเท่านั้นที่ต้องใช้จ่ายเงินมหาศาล
เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ว่าทำไมสานุศิษย์ในตระกูลชั้นสูงถึงบ่มเพาะพลังได้รวดเร็วกว่าทั่วไปนั้นก็เป็นเพราะพวกเขาเข้าถึงเม็ดยาและอุปกรณ์ชั้นสูง
แม้ว่าตระกูลเซียวจะได้รับเงินจากการสกัดเม็ดยาแต่พวกเขาก็ยังไมาสามารถสกัดเม็ดยาระดับสูงออกมาได้ นอกจากนั้นกระบวณการสกัดเม็ดยายังต้องใช้เงินมหาศาล
เซียวเฉินที่ตั้งใจจะสร้างเครื่องใช้เพิ่มมาอีกในอนาคต นั้นก็ต้องใช้เงินมหาศาลเช่นกันดังนั้นเขาจึงต้องการเงินมหาศาลจริงๆ
เมื่อเจ้าหมูจินเห็นว่าเซียวเฉินไม่พูดอะไรออกมาเขาก็คิดว่าราคาคงจะต่ำเกินไป เขาพูดขึ้น “พี่น้องเซียวเจ้ายังไม่พอใจกับราคานี้? นี่เป็นราคาที่สูงที่สุดที่ข้าจะให้ได้ ข้าไม่เอารัดเอาเปรียบเจ้านี่เป็นราคาสูงสุดที่ข้าจะให้ได้แล้ว”
เซียวเฉินคืนสติกลับมาและยิ้มขึ้น “ไม่ใช่เช่นนั้น ข้าเพียงแค่ทึ้งนิดหน่อย เจ้าไปหาคนที่ไหนที่จะมาซื้อได้ราคาสูงถึงเพียงนี้?”
“โซว!”
พัดสีทองในมือของเจ้าหมูกางออกอย่างรวดเร็ว เซียวเฉินรู้ว่าเมื่อมาเช่นนี้มันจะเป็นเวลาที่เขาจะเริ่มคุยโม้แล้ว
แน่นอนหลังจากที่เขาพัดตัวเองอย่างจริงจัง เขาก็ยิ้มอย่างโอ้อวด “พี่น้องเซียวเจ้าจะต้องไม่รู้เรื่องนี้เป็นแน่ แต่เจ้าหญิงมีอิทธิพลแข็งแกร่งมากในราชวังและในเมืองหลวง มันก็ไม่เกินจริงนักที่จะเรียกนางว่าเทพธิดา ไม่เพียงแค่นางแข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นรูปลักษณ์ของนางก็ราวกับนางฟ้า”
“เจ้าหมูผู้นี้สังเกตเห็นมานานแล้ว ใช้โอกาสธุรกิจนี้ข้าให้คนเขียนหนังสือเกี่ยวกับนางออกมาสองสามเล่ม พูดได้ว่าผู้ชายทุกคนในเมืองหลวงมีสำเนาเก็บไว้ทุกคน”
“ด้วยอิทธิพลของหนังสือก็เกิดแรงแรงบรรดารใจอย่างอื่นขึ้นมา,ข้าคิดเรื่องรูปสลักไม้นี้มานานแล้ว ช่างน่าเสียดายข้าไม่อาจหาช่างแกะสลักที่เหมาะสำหรับงานนี้ได้ ดังนั้นเมื่อข้าพบพี่น้องเซียวข้าก็รู้สึกเหมือนได้พบพี่น้องที่ตามหากันมานาน”
เซียวเฉินนิ่งอึ้งในใจเจ้าหมูนี้เป็นหมูนักธุรกิจอย่างแท้จริงพอคิดว่าเขาสามารถคิดค้นของพวกนี้ออกมาทำตลาดได้
หลังจากนั้นเขาก็คิดอะไรบางอย่าง เขาถามขึ้น “พี่น้องต้าเป่าพวกหนังสือที่เจ้าว่า…พวกมันคงไม่ใช่นิยายลามกหรอกใช่ไหม?”
เจ้าหมูยิ้มอย่างเลิ่กลั่ก “พวกมัน..อืมม..มันก็ไม่เชิงเป็นนิยายลามก… ข้าบอกได้เพียงว่ามันเป็นนิยายรักและเหนือจินตนาการ”
เซียวเฉินรู้สึกละอายในใจ,ข้าว่าแล้ว เจ้าหมูนี้คงไม่ทำนิยายสายศีลธรรมอย่างแน่นอน เขาถามขึ้นอย่างเป็นกังวล “เจ้าไม่กลัวว่าทางราชวังจะพบว่าเจ้าทำเรื่องเช่นนี้?”
เจ้าหมูจินยิ้มอย่างหยาบคาย “นั้นไม่ใช่เรื่องที่จะต้องไปเป็นกังวลสักนิด เจ้าหน้าที่ผู้รับหน้าที่ตรวจสอบมีการตกลงกับข้าไว้แล้ว เรายังเคยถกเถียงกันเกี่ยวกับนิยายเป็นการส่วนตัว นิยายของเราเป็นตอนยาว หากเขากวาดล้างมันเขาก็จะไม่ได้อ่านตอนต่อไป”
เซียวเฉินชื่นชมเขาจากก้นบึ้งของหัวใจในครั้งนี้ เขาหยิบรูปสลักที่เขาสร้างขึ้นมาก่อนหน้านี้และยื่นไปทางเจ้าหมูจิน “ข้าสร้างพวกมันขึ้นมาเป็นระยะเวลานาน มันน่าจะมีประมาณหนึ่งร้อยชิ้นได้ บอกราคาข้ามา!”
เจ้าหมูจินไม่ได้พูดอะไรรอยยิ้มตื่นเต้นปรากฎขึ้นบนหน้าของเขาพร้อมกับหยิบรูปสลักไปตรวจดูอย่างละเอียดทีละตัว เขาแลดูจริงจังมาก
บนชั้นสี่ของศาลาหลับไหล,เจียงหมิงเหิงและตวนมู่ฉิงนั่งอยู่ที่โต๊ะตามลำพัง
เจียงหมิงเหิงยิ้มเป็นประกาย “แม่นางตวนมู่ข้าได้ตกลงกับเจ้าของจิ้งจอกวิญญาณเรียบร้อยแล้ว คนรับใช้ของข้ากำลังจะไปรับมันมา เขาน่าจะนำมาส่งถึงเร็วๆนี้”
ตวนมู่ฉิงยิ้มกว้าง “เจ้าจ่ายไปเท่าไหร? ข้าจะให้เป็นสองเท่า ข้าจะไม่ให้เจ้าขาดทุนแม้แต่น้อย”
มองเห็นรอยยิ้มของตวนมู่ฉิงที่นานๆจะออกมาที เจียงหมิงเหิงรู้สึกเป็นสุข “ข้าไม่ได้จ่ายไปมากมาย แม่นางตวนมู่ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ ตราบใดที่เจ้ามีความสุข”
ตวนมู่ฉิงตะโกนอย่างนุ่มนวล “คนคนนั้นเมื่อวานต้องการอาวุธวิญญาณระดับสวรรค์เพื่อแลกกับมัน นายน้อยเจียงเจ้าเล่นตุกติกอะไร?”
เจียงหมิงเหิงหัวใจแทบหยุดเต้น เขาพูดด้วยท่าทางจริงจัง “แม่นางตวนมู่แม้ว่าตระกูลของข้าจะพอมีอิทธิพลในเมืองไป๋สุ่ยโดยปกติข้าก็ไม่รังแกใครอยู่แล้ว นอกจากนั้นแม่นางตวนมู่ก็นั่งอยู่ตรงนี้หากข้าทำเรื่องเช่นนั้นไม่เท่ากับว่าข้าดูแคลนตระกูลตวนมู่?”
ตวนมู่ฉิงพบว่ามันตลกในใจเงียบๆแต่นางก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป ทั้งสองยังคงนั่งรอแต่หลังจากนั่งรอมาเป็นเวลานานคนรับใช้ของเจียงหมิงเหิงก็ยังไม่มาสักที
“ข้าคิดว่าต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น เอาไว้คุยกันเรื่องนี้ต่อกันวันหลัง ข้าต้องขอตัวก่อน” ตวนมู่ฉิงในที่สุดก็หมดความอดทนและตรงไปทางบันได
เจียงหมิงเหิงตะโกนด่าเจ้าคนรับใช้ในใจ ปาตั๋วเงินปึกหนึ่งลงบนโต๊ะก่อนที่จะรีบนามนางไป
เจียงหมิงเหิงวิ่งตามนางจนมาทันที่ชั้นสอง เขาตะโกนออกมาเสียงดัง “แม่นางตวนมู่ฟังข้าอธิบายก่อน”
ตวนมู่ฉิงหยุดฝีเท้าลงและพูดอย่างสุภาพ “นายน้อยเจียงไม่มีอะไรต้องอธิบาย นี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรเจ้าไม่ต้องเป็นกังวล”
มองดูสีหน้าของตวนมู่ฉิง,เจียงหมิงเหิงรู้ว่าแผนของเขาพังพินาศ เขารู้สึกเป็นกังวลอย่างช่วยไม่ได้
ในขณะนั้นเจ้าหมูจินก็นับรูปสลักครบทั้งร้อยตัว เขาวางพวกมันไว้ด้านข้างอย่างมีความสุขและหยิบปึกตั๋วเงินสีทองออกมา เขาพูดขึ้น “พี่น้องเซียว,โปรดนับ!”
เซียวเฉินเก็บมันเข้าไปทันทีและลุกขึ้น “ไม่จำเป็น ยินดีที่ได้ทำธุรกิจกับเจ้า เมื่อข้าทำออกมาอีกข้าจะมาหาเจ้า”
เมื่อเขาหันกลับไปก็สบตาเข้ากับเจียงหมิงเหิงพอดิบพอดี เมื่อเจียงหมิงเหิงเห็นเซียวเฉินผู้แจ่งชุดคลุมดำ,ความตกใจก็ปรากฎขึ้นบนใบหน้าของเขา
“เซียวเฉิน!”
หลังจากความตกใจก็กลายเป็นความโหโมอันไร้ขอบเขต เจียงหมิงเหิงไม่คิดไม่ฝันว่าจะเดินมาเจอเซียวเฉินที่นี่ เขาเต็มไปด้วยความโกรธที่กลั่นมาจากความอัปยศพร้อมกับเดินตรงมาที่เซียวเฉิน