เจ้าหมูจินรู้ถึงที่มาของพิณคันนั้นดีและเขาไม่กล้าเข้าปะทะกับมันตรงๆ เขาหลบไปด้านข้างปลดปล่อยความเร็วการเคลื่อนที่ที่แลดูไม่เข้ากับรูปร่าง
“ฮ่ะ!”
พิณโจมตีออกไปอย่างไม่หยุดมือและพร้อมกับเสียงบูม,มันสร้างรูขนาดเท่าชามข้าวขึ้นบนผนังไม้ของศาลาหลับไหล กำแพงของศาลาหลับไหลนั้นสร้างมาจากไม้จันทร์ระดับสูง แผ่นไม้ทั้งแผ่นนี้อาจจะราคาสูงถึงหนึ่งพันเหรียญทอง
เมื่อเจ้าอ้วนเห็นดังนั้นหัวใจเขาถึงกับหลั่งเลือดออกมา เขาวิ่งตรงไปที่รูพยายามจะใช้มือวัดขนาดเพื่อคำนวณเงินที่เขาต้องเสียไป
“ให้ตายเถอะ! ข้าเสียเงินไปอย่างน้อยก็ครึ่งหนึ่งของที่ข้าเพิ่งได้มาวันนี้” เจ้าอ้วนร้องไห้ฟูมฟายหลังจากที่เขาวัดขนาดรูบนกำแพง
“บูม!”
พิณที่บินออกไปเมื่อครู่บินกลับมาพร้อมกับเสียง ‘โซว’ ในครั้งนี้พลังของมันพุ่งสูงขึ้นยิ่งกว่าเดิมเจาะรูปบนกำแพงเพิ่มขึ้นอีกรู
เจ้าหมูอ้วนใจสลายเขาพูดออกมาเสียงแหบแห้ง “ฉิบหาย! เงินอีกครึ่งปลิวไปแล้ว…ดูเหมือนกำไรของวันนี้จะไม่มีแล้ว”
พิณคันนั้นลอยกลับมาที่มือของเสี่ยวเสี่ยวอีกครั้งก่อนที่นางจะนั่งลงบนโซฟา ดวงตาของนางหลับลงดื่มด่ำไปกับอารมณ์ขณะที่นางลูบไล้ลงไปบนสายพิณ
“ติ่ง!”
ทันใดนั้นนางก็ลืมตาขึ้นมาและมือทั้งสองของนางก็ละเลงลงไปบนสายพิณ เสียงทรงพลังของดั่งกองทัพที่กำลังกระโจนสู่สนามรบทันใดนั้นก็ถูกบรรเลงออกมา เสียงมันเริ่มดังขึ้นอย่างช้าๆและในไม่ช้ามันก็ปลุกอารมณ์ของทุกคนให้พลุ่งพล่านราวกับพวกเขากำลังยืนอยู่กลางสนามรบ
“ทง!ทง!ทง!”
เส้นสายคลื่นเสียงกระจายไปทั่วทิศทางขณะที่สายพิณส่งเสียงออกมา เจ้าหมูอ้วนคิดเบาๆในใจ ฉิบหาย!ปากข้าพาหาเรื่องอีกแล้ว
เมื่อเขาคิดได้ถึงตอนนี้ เครื่องครามของประดับบนชั้นสี่ทั้งหมดเริ่มแตกออกเป็นชิ้นๆ ไม่มีชิ้นไหนรอดพ้นไปได้
ในตอนสุดท้ายเสียงของพิณดังกังวาลยิ่งขึ้นพร้อมกับเจตนาฆ่าที่พุ่งสูงตามขึ้นมา นอกจากโต๊ะตรงที่ซู่เสี่ยวเสี่ยวนั่งอยู่ทุกสิ่งอย่างที่อยู่บนชั้นสี่ลอยขึ้นไปในอากาศ
“ปัง!”
ซู่เสี่ยวเสี่ยวบรรเลงจบก็ทำให้โต๊ะเก้าอี้ที่ลอยอยู่ในอากาศแตกเป็นเสี่ยงๆ เศษฝุ่นนับไม่ถ้วยลอยขึ้นไปในอากาศก่อนที่จะตกลงมาหลังจากผ่านไปครู่ใหญ่
หน้าของเจ้าหมูที่ปกติจะประดับไปด้วยรอยยิ้มในตอนนี้เหมือนกำลังขาดเลือดดูซีดเซียวเป็นอย่างมาก ราวกับว่าโลกกำลังจะล่มสลายลงได้ทุกเมื่อ แลดูขำขันเป็นที่สุด
คนรับใช้ที่อยู่ด้านข้างรีบวิ่งเข้ามาช่วยเขา เขาพูดขึ้นด้วยเสียงนุ่มนวล “นายน้อยไม่ต้องเป็นกังวลไป ตอนที่ผู้จัดการได้ยินว่าแม่นางซู่เสี่ยวเสี่ยวจะเข้ามาเขาก็พอจะเดาได้ว่าท่านจะต้องทำนางโหโมอีกเป็นแน่ ดังนั้นเขาเลยเอาของปลอมมาสลับวางแทนไว้ล่วงหน้าแล้ว”
ตาของเจ้าหมูเปิดกว้างพร้อมกับพูดขึ้น “จริงนะ? ผู้จัดการช่างรู้ใจข้าดีจริง”
“จริงท่าน”
เมื่อเจ้าหมูจินได้ยินเช่นนั้นพลังวิญญาณของเขาก็กลับเข้าร่างและรอยยิ้มก็กลับมาบนใบหน้า อย่างไรก็ตามเขาก็ยังมีสีหน้าขมขื่นเล็กน้อย “ของอย่างอื่นอาจจะปลอมแต่สองรูบนกำแพงเป็นของจริงแท้แน่นอน ไม่มีทางที่จะเป็นของปลอมไปได้ ถึงอย่างไรข้าก็เสียกำไรไปอยู่ดี”
“ไอ้หมูตูดหมึก! ยังไม่มาหาข้าอีก?” ซู่เสี่ยวเสี่ยววางพิณลงข้างตัวและดุด่าเขา อารมณ์ของนางเย็นลงหลังจากได้พังของจนพอใจ
เจ้าหมูจินไม่กล้าไปหยอกล้ออีกและรีบวิ่งตรงเข้ามา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มพร้อมกับพูดขึ้น “แม่นางเสี่ยวเสี่ยวท่านมีอะไรให้ข้ารับใช้? พี่น้องตัวโตผู้นี้จะทำให้เจ้าพอใจได้อย่างแน่นอน”
ซู่เสี่ยวเสี่ยวขมวดคิ้วเล็กน้อยและเหลือบมองไปทางเขา “ชายหนุ่มเมื่อครู่มีความเกี่ยวข้องเช่นไรกับเจ้า?”
เจ้าหมูไม่กล้าปากหมาอีกแล้วในครั้งนี้และตอบอย่างตรงไปตรงมา “ข้าเพิ่งพบเขาในวันนี้และอยากทำธุรกิจบางอย่างกับเขา ข้ารู้ว่าเขาชื่อเซียวเฉินส่วนอย่างอื่นข้าไม่รู้รายละเอียด”
เซียวเฉิน? เมื่อนางได้ยินชื่อนี้นางก็คิดว่ามีความเป็นไปได้ ทันใดนั้นรอยยิ้มก็ปรากฎขึ้นบนใบหน้าของนาง เป็นรอยยิ้มที่ราวกับดอกไม้กำลังผลิบานไม่มีสิ่งใดมาเปรียบเทียบได้ดีไปกว่านี้แล้ว เมื่อเจ้าอ้วนเห็นด้านนี้ของนางเขาก็งุนงง
เมื่อซู่เสี่ยวเสี่ยวเห็นหน้าเจ้าหมูปรากฎขึ้นมานางก็รู้สึกห่อเหี่ยวในใจอย่างช่วยไม่ได้ นางถามขึ้น “เจ้ารู้เกี่ยวกับโบราณสถานที่ตระกูลไป๋พูดถึงมากน้อยแค่ไหน?”
จินต้าเป่าฟื้นคืนสติและตอบกลับ “ข้ารู้มาเล็กน้อย คนของตระกูลไป๋ได้รับแผนที่ขุมสมบัติมาแต่พวกเขาไม่มีกำลังพอที่จะเข้าไป ดังนั้นพวกเขาจึงเชิญสามตระกูลใหญ่ของเขตตงหมิงมาเข้าร่วมการสำรวจโบราณสถานด้วยกัน”
“ถึงอย่างนั้นก็มีบางคนในตระกูลไป๋ทำข้อมูลรั่วไหลออกมา ดังนั้นข่าวนี้ก็รู้กันไปทั่วแล้ว ตระกูลใหญ่ของเขตซี่เขอและเขตหนานหลิงก็ส่งคนของพวกเขาเข้ามาด้วยเช่นกัน แม้แต่ราชสำนักก็ส่งคนมา”
ซู่เสี่ยวเสี่ยวนิ่งอึ้งในใจ กลิ่นหอมหวลของเศษซากโบราณช่างทรงพลัง ดูเหมือนจะเป็นการยากสำหรับนางแล้วที่จะไปฉกฉวยผลประโยชน์จากมัน
ทางตะวันตกของเมืองไป๋สุ่ย ในลานบ้านสันโดษเล็กๆ
เสาไม้หนาปักอยู่ในลานกว้าง เซียวเฉินจับกระบี่เงาจันทร์ไว้ในมือมั่นและจดจ่อไปที่เสาไม้,เร่งพลังของเขาจนถึงขีดสุด
“ชี่!” “ชักกระบี่ฟัน!”
เซียวเฉินสีหน้าเปลี่ยนและทันใดนั้นก็ชักกระบี่เงาจันทร์ออกมา เขาซัดไปที่เสาไม้ในมุมเอียงและเสาไม้หนาขนาดเท่าแขนของเขาก็ถูกตัด
“โซว!โซว!โซว!”
เซียวเฉินฟันออกไปอีกสามครั้งอย่างรวดเร็ว เมื่อจบกระบี่ที่สี่เสาไม้ก็ส่ายไปมาก่อนที่จะร่วงไปกับพื้น
นั้นเป็นเพียงการฟันกระบี่ธรรมดาสี่ครั้งแต่หน้าผากของเซียวเฉินเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ เขาปาดเม็ดเหงื่อบนหน้าผากทิ้งพร้อมกับพึมพำกับตัวเอง “มันยังไม่เพียงพอ มันผ่านมาถึงครึ่งเดือนแล้วแต่ในตอนนี้กลับไม่มีความคืบหน้า”
ลานสันโดษเล็กๆแห่งนี้เซียวเฉินซื้อมาในตอนที่มาถึงเมืองไป๋สุ่ย หลังจากที่เขาปักหลักได้เขาก็เริ่มทบทวนทั้งทักษะต่อสู้และคาถาอมตะที่เขาเคยได้เรียนมาทั้งหมด เขาพบว่าสิ่งที่เขาได้ร่ำเรียนมาช่างมากมายและยุ่งเหยิง
เขาตัดสินใจที่จะฝึกปรือตัวเองใหม่ไม่รีบร้อนที่จะขึ้นสู่ระดับขอบเขตเชี่ยวชาญยุทธขั้นต่ำ เขาคิดได้ว่าเขาน่าจะใช้โอกาสนี้เสริมความแข็งแกร่งพื้นฐานของเขา
ทักษะต่อสู้ทั้งหมดที่เขาใช้รากปัญญาแห่งการต่อสู้รูปแบบเปลี่ยนลักษณ์ถูกวางทิ้งไว้ก่อน มองที่ความเป็นจริงว่ามันเป็นเพียงแค่ใช้รากปัญญาแห่งการต่อสู้รูปแบบเปลี่ยนลักษณ์เลียนแบบขึ้นมา
เขาเห็นว่าเขานั้นไม่ได้เข้าใจถึงแก่นแท้ของทักษะเหล่านั้นแม้แต่น้อยและรู้เพียงผิวเผินเท่านั้น เขาไม่สามารถใช้มันออกมาให้เป็นเหมือนกับส่วนหนึ่งของเขาได้
หลังจากที่ใช้ทักษะพวกนั้นมาเป็นเวลานานด้วยระดับพลังในปัจจุบันของเขาเขาพบว่ามันจะส่งผลเสียมากกว่าผลดี ในระยะยาวมันจะทำให้เขาเสียความเป็นตัวเองจมไปกับทักษะที่เลียนแบบมาจากภายนอก
ดังนั้นเขาอยากจะจดจ่อไปที่ทักษะกระบี่สายฟ้าฟาดและศิลปะมังกรฟ้าเมฆาโผทะยาน เขาฝึกฝนศิลปะมังกรฟ้าเมฆาโผทะยานในพื้นที่เงียบๆในป่าอำมหิต
สำหรับการฝึกฝนทักษะกระบี่สายฟ้าฟาดมันไม่มีความต้องการอะไรเป็นพิเศษ ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่เขากลับออกมาเพื่อพักผ่อนเขาก็จะไปที่ลานบ้านเพื่อฝึกฝนมัน
ทักษะกระบี่สายฟ้าฟาดมันเกี่ยวกับการลงมือในพริบตาเดียวเร่งพลังจนถึงขีดสุดและใช้ฟาดฟันสายฟ้าออกไปในจังหวะนั้น พลังที่สะสมเอาไว้จะถูกปลดปล่อยและระเบิดออกมา
มันเป็นทักษะต่อสู้ที่กล้าแกร่งและทรงพลังเป็นอย่างมาก หากเขาสามารถปลดปล่อยมันออกไปได้ถึงอัสนีฟาดฟันสามคล้องโซ่พลังระเบิดจะถูกเร่งจนถึงขีดสุดและเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวก่อนที่ในที่สุดจะเหนือกว่าทักษะต่อสู้ระดับปฐพีเท่าไป
อย่างไรก็ตามเขาก็พบช่องโหว่ร้ายแรงของทักษะกระบี่นี้ หากมันไม่สามารถกดดันให้คู่ต่อสู้ถอยหนีได้จากนั้นกระบวณท่าต่อไปก็จะไม่อาจปลดปล่อยออกมาได้
กระแสพลังที่ปลดปล่อยออกมาจะไม่สามารถใช้สร้างกระบวณท่าที่จะตามมาได้
เซียวเฉินนึกถึงนักดาบโบราณของจีนในชีวิตก่อนของเขา เขารู้สึกว่าวิถีการฝึกฝนกระบี่ของพวกเขานั้นสมเหตุลสมผลดังนั้นเขาจึงตัดสินใจทำตามวิถีการฝึกฝนในโลกนี้
เสาไม้ที่ปักตั้งอยู่นั้นอาจจะหนาเท่าแขนคนแต่มันกลับเบามาก มันเป็นไม้พิเศษในทวีปเทียนวู่ ด้วยแรงเพียงพอที่จะเป่าขนนกก็สามารถขยับมันได้
ภายในเวลาอันสั้นสิ่งที่เซียวเฉินอยากจะทำให้ได้คือตัดเสาไม้ต้นนี้ในขณะที่มันยังคงตั้งอยู่ อาจจะดูเหมือนการฟันกระบี่ธรรมดาแต่แท้จริงมันสิ้นเปลืองพลังสมาธิของเขาเป็นอย่างมาก
ด้วยเวลากว่าหนึ่งเดือนที่เขาใช้ไปในเมืองไป๋สุ่ยเซียวเฉินใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกฝนกระบวณท่าแรกของทักษะกระบี่สายฟ้าฟาด – ชักกระบี่ฟัน ทุกๆวันเขากวัดแกว่งกระบี่อย่างน้อยหนึ่งพันครั้ง
ในตอนแรกในจังหวะที่เขาสัมผัสกับเสาไม้มันก็ล้มลงทันที ในไม่ช้าเขาก็ฟันมันขาดได้หนึ่งครั้ง จากนั้นเขาก็สามารถฟันมันสี่ครั้งได้โดยที่ไม่ล้มลง และหลังจากจุดนั้นความคืบหน้าของเขาก็หยุดลง
เซียวเฉินส่ายหัวไปมาและจับเสาไม้ตั้งขึ้นมาอีกครั้งและฝึกฝนกระบวณท่าแรกของทักษะกระบี่สายฟ้าฟาดต่อไป โดยไม่รู้ตัวดวงอาทิตย์บนหัวของเขาก็จมลงไปในทิศตะวันตก
แสงอาทิตย์ตกทำให้ก้อนเมฆบนท้องฟ้าเป็นสีแดงและทั่วทั้งท้องฟ้าเป็นสีเพลิง เซียวเฉินยังคงทำซ้ำกระบวณท่าเดิมอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเขาไม่รู้สึกถึงเวลาที่ไหลผ่านไปแม้แต่น้อย
จนเมื่อท้องฟ้าเป็นสีดำสนิทเซียวเฉินจึงหยุดมือจากสิ่งที่เขาทำอยู่ เสื้อของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อและความเจ็บปวดที่แขนเป็นสิ่งเดียวที่เขารู้สึก
โดยไม่ได้หยุดพักแม้แต่น้อยเซียวเฉินนั่งลงบนพื้นในท่าขัดสมาธิและเข้าสู่สภาวะบ่มเพาะพลัง ในตอนที่ร่างกายมาถึงขีดจำกัดหากคนคนนั้นบ่มเพาะพลังต่อพวกเขาอาจจะได้พบประสบการณ์ที่คาดไม่ถึง
หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมงทักษะบ่มเพาะพลังอัสนีม่วงศักดิ์สิทธิ์หมุนเวียนไปทั่วร่างของเขาหลายรอบ ทันใดนั้นเขาก็ลืมตาขึ้นมาเม็ดเหงื่อบนร่างของเขาระเหยกลายเป็นไอโลหิตในร่างของเขาเดือดพล่านและความเจ็บปวดที่แขนของเขาถูกลบหายไป
“ฮ่ะ!”
เซียวเฉินลุกขึ้นสูดหายใจเข้าออกยาวๆและยืดแขนออกไป ในวินาทีนั้นกระดูกทั่วทั้งร่างของเขาส่งเสียงร้องออกมา หลังจากนั้นเขาก็รู้สึกสบายตัวและสดชื่นเป็นที่สุด
“ปุ!”
เสี่ยวไป๋ผู้ที่ยืนอยู่บนโต๊ะหินตลอดเวลาที่ผ่านมากระโดดลงมาอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นว่าเซีบวเฉินบ่มเพาะพลังจบแล้ว ดวงตาของมันเป็นประกายเรืองแสงยามค่ำคืนออกมาพร้อมกับกระโดดขึ้นสู่อ้อมกอดของเซียวเฉิน
เซียวเฉินยิ้มเบาๆและรับตัวของมันไว้ หลังจากหยอกเล่นกับมันอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ส่งมันกลับเข้าหยกวิญญาณสีเลือด
ในขณะที่เซียวเฉินเตรียมตัวจะเข้านอนก็มีเจตนาฆ่าบางๆลอยมาจากระยะไกล เซียวเฉินขมวดคิ้วและส่งสัมผัสวิญญาณออกไปในทิศทางที่เจตนาฆ่าพุ่งมา
ในค่ำคืนมืดมิดเงาของมนุษย์ถือกระบี่กระโดดไปมาบนหลังคาบ้านตรงมาจากลานของเซียวเฉินอย่างรวดเร็ว
เมื่อเซียวเฉินเห็นใบหน้าของคนคนนั้นได้ชัดเจนเขาก็ยิ้มออกมาอย่างเย็นชา คนคนนั้นเป็นผู้ติดตามของเจียงหมิงเหิงคนที่โม้ว่าฆ่าเซียวเฉินได้ภายในฝ่ามือเดียว
อำนาจของตระกูลเจียงยิ่งใหญ่คับเมืองไป๋สุ่ยอย่างแท้จริง ก่อนที่จะหมดวันดีพวกเขาก็หาที่พักของเซียวเฉินพบ ดูเหมือนว่าเขาจะอยู่ที่นี้ต่อไปอีกได้ไม่นานแล้ว
มองดูร่างมนุษย์ที่กำลังเข้ามาใกล้เซียวเฉินค่อยๆขยับเข้าไปที่มุมของกำแพงติดกับประตู เขาปกปิดกระแสพลังของเขาอย่ามิดชิดและกระบี่เงาจันทร์สีดำที่ไม่อาจมองเห็นได้ในความมืดถูกดึงออกมา
“กง!”
ร่างนั้นกระโดดจากหลังคาลงมาอย่างมั่นคงลงจอดบนกำแพงลานของเซียวเฉินเขาก็ไม่ได้รีบร้อนเข้ามาแต่อย่างใดและส่องสายตาเข้ามา
เขารู้สึกแปลกประหลาดเขาไม่สามารถจับสัมผัสถึงคนที่อยู่ในลานบ้านได้เลย เขาพึมพำกับตัวเอง “เป็นไปได้ว่าได้ข้อมูลมาผิด? ไม่,เป็นไปไม่ได้ เจ้าเด็กนั้นอาจจะยังไม่กลับเข้ามา ข้าจะลงไปซ่อนตัว”
“ชักกระบี่ฟัน!”
ทันทีที่เขากระโดดลงมาประกายสายฟ้าก็ตัดผ่านความมืดของค่ำคืน แสงกระบี่วูบผ่านไปอย่างรวดเร็วและสง่างาม ก่อนที่ชายคนนั้นจะได้ตั้งตัวเขาก็ถูกผ่าเป็นสองท่อน
กระบี่นี่ช่างรวดเร็วอย่างเหลือเชื่อและมันตัดผ่านร่างมนุษย์ไปโดยที่ไม่ได้แยกออกเป็นสองท่อนกลางอากาศทันที,เขาสัมผัสถึงความเจ็บปวดไม่ได้แม้แต่น้อย