ตอนที่ 91 ซู่เสี่ยวเสี่ยว
ข้าต้องเดินไปหาเพราะเจ้าเรียก?เจ้าคิดว่าข้าเป็นตัวอะไรกัน? เซียวเฉินคิดเย็นชาในใจ
เซียวเฉินไม่อยากที่จะไปสนใจแต่เมื่อเห็นว่าคนรับใช้คนนั้นยังไม่ได้จากไปเขาก็ถามขึ้น “ใครเป็นคนให้เจ้าส่งข้อความนี้มา?”
คนรับใช้ตอบตรงไปตรงมา “นายน้อยหนึ่งแห่งตระกูลเจียง นายน้อยเจียงหมิงเหิงกล่าวว่าเขาอยากจะเชิญท่านไปดื่มสักเล็กน้อยและแนะนำเพื่อนของเขา”
เซียวเฉินหยิบแก้วขึ้นมากระดกรวดเดียวหมด เขาพูดอย่างไม่แยแส “ไปบอกให้มันเดินมาเอง บอกตามตรงข้าไม่ได้รู้จักเขาด้วยซ้ำ”
คนรับใช้สีหน้ากลายเป็นน่าเกลียดอับจนหนทางไม่รู้จะทำเช่นไร หากเขานำข้อความไปส่งเช่นนี้เกรงว่าจะต้องมีคนเดือดใส่เขาเป็นแน่ นอกจากนั้นคนเหล่านี้ยังเป็นพวกที่ไม่ควรไปยั่วยุ
เจ้าอ้วนจินหัวเราะ “ตั้งแต่เมื่อไหรที่คนของศาลาหลับไหลไร้ซึ่งความกล้า? แค่ทำตามที่พี่น้องบอกแล้วเอาข้อความไปส่งซะ”
ตั้งแต่ที่เจ้าอ้วนจินพูดออกมาคนรับใช้ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากทำตามที่เขาบอก
เจ้าอ้วนนี้ตั้งใจจริง เห็นชัดว่าเขาช่วยปลุกระดมความขัดแย้งระหว่างเขากับคนพวกนั้น,เซียวเฉินคิดในใจ อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้ไปใส่ใจในเมื่อเจียงหมิงเหิงไม่ได้เคารพเขา ก็ไม่มีความจำเป็นที่เซียยวเฉินจะต้องลดตัวไปทำตาม
เจ้าอ้วนจินยกแก้วขึ้นมาอวยให้เซียวเฉิน “พี่น้องเซียวเจ้าช่างกล้าหาญ เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนพวกนั้นเป็นใคร?”
เซียวเฉินพูดอย่างไม่แยแส “บอกข้าสิ”
เจ้าอ้วนจินยกแก้วของเขาขึ้นและจากนั้นก็ชี้ไปที่หนึ่งในกลุ่มนั้น “นั้นตวนมู่ฉิงตระกูลของนางเป็นตระกูลชั้นสูงแห่งแขวนซื่อซุ่ย พวกเขาเป็นหนึ่งในสามขุมพลังของเขตตงหมิงและสืบสายเลือดพรสวรรค์โดยกำเนิด จิตวิญญาณยุทธที่สืบทอดกันมาตามสายเลือดของพวกเขาคือฟีนิคซ์เหมันต์ ที่สืบทอดกันมากว่าพันปี”
“ชายที่นั่งอยู่ทางขวามือของนางคือฮวาหยุ่นเฟย ตระกูลฮวาก็เป็นหนึ่งในตระกูลชั้นสูงของเขตตงหมิงเช่นกัน จิตวิญญาณยุทธประจำตระกูลของพวกเขาคือธาราศักดิ์สิทธิ์ อย่างไรก็ตามจิตวิญญาณยุทธของเขาได้เปลี่ยนรูปไปแล้ว ธาราศักดิ์สิทธิ์เปลี่ยนไปเป็นธาราโลหิต”
“คนสุดท้ายนี้ยิ่งน่ากลัวเขาคือศิษย์คนล่าสุดของนิกายดาบเงาหมอกฉูเฉาหยุ่น ฮ่ะฮ่ะ! ข้าคงไม่ต้องเล่าถึงนิกายดาบเงาหมอกหรอกนะ พวกเขาอยู่มานานกว่าพวกแดนศักดิ์สิทธิ์เสียอีก”
“ถึงอย่างนั้นที่น่ากลัวที่สุดก็ยังไม่ใช่คนพวกนี้ กลับกันมันเป็นเจ้าเจียงหมิงเหิงเขามาจากตระกูลไป๋ ตระกูลที่ทรงพลังที่สุดในเมืองไป๋สุ่ยแห่งนี้ อย่างที่พวกเขาว่ากันว่ารับมือกับราชาดีกว่าปีศาจผู้น้อย เจ้าไม่ไว้หน้าเขาต่อหน้าคนพวกนั้น แล้วด้วยลักษณะนิสัยของเขาแล้ว…ฮ่ะฮ่ะ!”
*** รับมือกับราชาดีกว่าปีศาจผู้น้อย น่าจะประมาณว่ารับมือกับคนตำแหน่งสูงง่ายกว่ารับมือกับขี้ข้าผู้ติดตาม (อันนี้ผมไม่แน่ใจนะครับผิดยังไงบอกได้)
ความหมายของเสียงหัวเราะทิ้งท้ายของจินต้าเป่านั้นชัดเจน เซียวเฉินไปเหยียบเท้าเจ้าขี้ข้านั้นเข้าแล้ว อย่างไรก็ตามเขามีฝีมือพอที่จะปกป้องตัวเองและไม่ได้เกรงกลัวแม้แต่น้อย
เขาเพียงแต่สงสัยในใจเล็กน้อย ทำไมผู้เยาว์ของสามขุมอำนาจของเขตตงหมิงถึงมารวมตัวกันที่เมืองไป๋สุ่ย? เซียวเฉินถามขึ้น “เจ้าน่าจะรู้ว่าทำไมคนพวกนี้ถึงมารวมตัวกันที่นี่, ใช่หรือไม่?”
เจ้าอ้วนจินถือพัดและทำเป็นเหมือนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขายิ้มขึ้น “บอกเจ้าไปก็อาจจะไม่ได้ประโยชน์ นอกจากเจียงหมิงเหิงแล้วที่เหลือทุกคนได้ทะลวงระดับขอบเขตเชี่ยวชาญยุทธขึ้นไปสู่ระดับปรมจารย์เรียบร้อยแล้ว ด้วยระดับพลังของเจ้าในตอนนี้เจ้าไม่รู้จะเป็นการดีกว่า”
เจ้าอ้วนจินหยุดพูดเห็นได้ชัดว่าเขาพยายามจะให้เซียวเฉินซักถามเขาต่อแล้วก็แกล้งทำเป็นไม่มีทางเลือกนอกจากเล่าให้เขาฟัง เขาอยากให้เซียวเฉินรู้สึกติดหนี้เขา
แม้ว่าเซียวเฉินจะอยากรู้แต่ก็ยังไม่ถึงจุดที่เขาจะต้องยอมจ่ายอะไร นอกจากนั้นเห็นได้ชัดว่าเจ้าอ้วนนี่ก็ไม่ใช่คนธรรมดา เมื่อคิดถึงแผนที่เขาบอกให้เซียวเฉินฟังเมื่อก่อนหน้านี้เซียวเฉินรู้สึกว่าจะเป็นการดีกว่าที่จะไม่ไปคลุกคลีกับเขามากเกินไป ใครจะรู้?เขาอาจจะถูกฆ่าตายเพราะเจ้าอ้วนนี่โดยที่เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
เมื่อเห็นว่าเสี่ยวไป๋กินจนอิ่มแล้วเขาก็ยิ้มบางเบาในใจและเตรียมตัวที่จะจากไป
“พี่น้อง เจ้ากล้ากล่าวชื่อของเจ้าออกมาหรือไม่?” ขณะที่เซียวเฉินกำลังจะพูดอะไรออกมาเจียงหมิงเหิงก็นำผู้ติดตามสองคนเดินเข้ามาสีหน้าบึ้งตึง
เซียวเฉินมองผ่านไปข้างหลังของเขาและพบว่าคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเสร็จธุระกันหมดแล้ว ตวนมู่ฉิงและอีกสองคนได้จากไปเรียบร้อย เขาคิดเกี่ยวกับมันอยู่ครู่หนึ่งและคาดเดาเจตนาของเจียงหมิงเหิง
เมื่อคนพวกนั้นจากไปแล้วเจียงหมิงเหิงไม่จำเป็นต้องรักษาภาพลักษณ์ของเขาอีกต่อไป
เมื่อเห็นว่าเซียวเฉินยังไม่ตอบคำถามของเจียงหมิงเหิงผู้บ่มเพาะพลังด้านหลังของเขาก็ชี้หน้าเซียวเฉินและพูดขึ้น “ช่างหยิงยโส! เจ้าไม่ไว้หน้าของนายน้อยตอนที่เชิญเจ้าเข้าไปนั่งดื่ม เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร? กล้าดูหมิ่นตระกูลเจียงแห่งเมืองไป๋สุ่ย”
เซียวเฉินลุกขึ้นบีบกำปั้นของเขา,มันเรืองแสงสีม่วงออกมา โดยไม่พูดอะไรให้เสียเวลาเปลืองน้ำลายเขาต่อยไปที่หน้าอกของผู้บ่มเพาะพลังคนนั้น
แสงสีม่วงพุ่งออกมาอย่างดุเดือดและแรงมหาศาลผลักผู้ติดตามคนนั้นลอยไปข้างหลัง ผู้ติดตามคนนั้นพยายามใช้มือคว้าจับอะไรไว้แต่ก็ไม่อาจทำได้
“ปัง!”
ผู้ติดตามคนนั้นลอยไปลงที่โต๊ะตัวหนึ่งแตกเป็นสองท่อน อย่างไรก็ตามพลังของมันก็ไม่หมดแค่นั้นและผู้ติดตามคนนั้นก็ยังคงกลิ้งไปตามพื้นก่อนที่ในที่สุดจะชนเข้ากับกำแพง เขากระอักเลือดออกมาเต็มปากก่อนที่หมดสติไป
เซียวเฉินปัดฝุ่นออกจากมือและจ้องไปที่เจียงหมิงเหิง เขายิ้มอย่างไม่แยแส “ต้องขออภัย เจอหมาเห่าใส่ข้ามักจะลงมือแทนการใช้เหตุผล ให้ข้าได้ตอบเจ้าเดียวนี้ ชื่อของข้าคือเซียวเฉิน เซียวที่มีหัวเหมือนคำว่าต้นหญ้าและเฉินจากคำว่ารุ่งอรุณ”
*** 萧晨 เซียวเฉิน, 草 แปลว่าหญ้ามีหัวเหมือนคำว่าเซียวของเซียวเฉิน, 早晨 แปลว่ารุ่งอรุณหรือในตอนเช้า
“ลาล่ะ!” เซียวเฉินกระโดดลงไปที่ราวบันไดชั้นสี่หลังจากที่พูดจบ เมื่อจิ้งจอกวิญญาณที่อยู่บนโต๊ะเห็นว่าเซียวเฉินจากไปมันก็รีบกระโดดตามหลังเขา
เมื่อเซียวเฉินเห็นว่าเสี่ยวไป่กระโดดตามเขามาเขาก็ตกใจ เขารีบหันตัวกลางอากาศและรับตัวจิ้งจิกวิญญาณเข้ามากอดไว้ เขาดุมัน “เห็นข้าโดดเจ้าก็โดดตาม… เจ้าไม่กลัวตกลงไปตาย?”
เซียวเฉินอุ่มจิ้งจอกวิญญาณและสูดหัวใจเข้าลึกก่อนที่จะกระโดดขึ้นไปในอากาศลงจอดบนหลังคาบ้านหลังหนึ่ง ระยะทางที่เข้ากระโดดลงมาสูงประมาณหนึ่งร้อยเมตรได้ ในเวลาไม่นานเข้าก็หายตัวลับตาคนไป
“พี่น้องเซียวเจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยว่าเอาด้วยกับแผนของข้าหรือไม่?!” เจ้าอ้วนจินวิ่งไปทางบันไดและตะโกนไปที่เซียวเฉินที่วิ่งไปไกลแล้ว
เจียงหมิงเหิงปล่อยกำปั้นออกมาทุบโต๊ะที่เซียวเฉินเคยนั่งดื่มอยู่เมื่อครู่ โต๊ะแตกออกเป็นสี่ส่วนทันทีจานแก้วบนโต๊ะร่วงลงมาแตกเป็นเสี่ยงๆ
หลังจากแขกบนชั้นสี่เห้นว่าเกิดอะไรขึ้นพวกเขาก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะกินอีกต่อไปพวกเขาวางปึกเงินไว้ก่อนที่จะจากไป
เจียงหมิงเหิงยืนอยู่ที่เดิมสีหน้าซีดเทามองเซียวเฉินจากไปดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ เขาไม่เคยเห็นใครหยิ่งยโสได้เช่นนี้ในเมืองไป๋สุ่ยมาก่อน
กล้าทำร้ายคนของข้าต่อหน้าของข้าและยังประกาศชื่ออย่างใจเย็นก่อนที่จะเผ่นหายไปในทันที? คนที่อยู่บนชั้นสี่ล้วนเป็นคนมีหน้ามีตาของเมืองไป๋สุ่ย ในวันรุ่งขึ้นเขาจะต้องกลายเป็นตัวตลกของเมืองเป็นแน่
“นายน้อยหนึ่งท่านต้องแก้แค้นให้ข้า!” ผู้ติดตามที่ถูกซัดไปติดมุมลุกขึ้นมาอย่างมึนงงเขาไม่รู้สถานการณ์ในตอนนี้และเดินโซเซไปหาเจียงหมิงเหิง
“ปัง!”
เจียงหมิงเหิงตอนนี้กำลังโกรธจัดและยกเท้าขึ้นเตะเจ้าผู้ติดตามคนนั้นลอยไปไกล เขาดุด่าอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้าขยะ! เจ้าทำให้ข้าดูแย่”
เจียงหมิงเหิงหันตัวเตรียมจะจากไปในทันที เขาจะใช้เส้นสายทั้งหมดของตระกูลตามหาที่พักของเซียวเฉิน เขาอยากจะสับเซียวเฉินให้กลายเป็นหมื่นชิ้นในทันที
“นายน้อยเจียงโปรดรอก่อน ดูเหมือนท่านยังไม่ได้จ่ายเงิน” เจ้าอ้วนจินเดินมาขวางเจียงหมิงเหิงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
เจียงหมิงเหิงไม่อยากไปวอแวกับเขามากและเพียงแค่หยิบปึกเงินออกมาโยนลงพื้น เจ้าอ้วนจินรับมันอยากรวดเร็วและยิ้มขึ้น “นายน้อยเจียงดูเหมือนจะมีอะไรไม่ถูกต้อง มองดูสิ ท่านทำโต๊ะของข้าพังไปสองตัวแถมยังไล่แขกทั้งหมดในชั้นสี่ออกไป 3000 เหรียญเงินดูเหมือนจะไม่พอ!”
เจียงหมิงเหิงมองไปที่จินต้าเป่าอย่างหยามเหยียดพร้อมกับหยิบตั๋วเงินสีทองออกมาสองสามใบก่อนที่จะโยนลงพื้นอย่างเกรี้ยวกราดและเดินเหยียบมันก่อนที่จะจากไป “ไอ้อ้วน! แค่นี้พอหรือยัง?!”
จินต้าเป่าเห็นตั๋วเงินสีทองดวงตาก็ลุกวาว ดวงตาของเขาหรี่ลงก่อนที่จะพูดขึ้น “แค่นี้พียงพอแล้วนายน้อยเจียงสมกับเป็นนายน้อยเจียง ช่างเป็นคนใจกว้างแท้จริง! ข้าจะไม่ไล่ท่านออกไปอีก ท่านเชิญมาทุบโต๊ะของข้าได้ตามสบาย”
“อา! ปากมากจริงตัวข้า ข้าจะเริ่มพูดไม่หยุดตอนที่มีความสุข อย่าได้โกรธเคือง ข้าหมายถึงยินดีต้อนรับนายน้อยเจียงเสมอ”
จินต้าเป่าไม่ได้รังเกียจคำเยาะเย้ยของเจียงหมิงเหิงแม้แต่น้อย เขาเพียงคุกเข่าลงเก็บตั๋วเงินขึ้นมาทีละใบสีหน้าของเขาแสดงให้เห็นว่ายิ่งมัวเมาขึ้นเรื่อยๆ
“นายน้อยให้ข้าจัดการเอง งานน่าอายเช่นนี้ไม่เหมาะสมกับสถานะของท่าน” คนรับใช้ของศาลาหลับไหลพูดขึ้นหลังจากที่ไม่อาจทนดูได้อีกต่อไป
จินต้าเป่าผลักคนรับใช้ออกไปด้านข้าง “ไปยืนอยู่ด้านข้าง ไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังเพลิดเพลิน? ไม่ใช้ทุกคนที่จะมีเจ้าโง่โยนเงินหมื่นเหรียญมาให้เพื่อโต๊ะสองตัวเหมือนกับข้า ฮ่ะฮ่ะ!”
เสียงพิณบนชั้นสี่หยุดลงไปตอนไหนก็ไม่มีใครทราบ จากด้านหลังของจอภาพเด็กสาวในชุดสีชมพูเดินถือพิณออกมาอย่างสบายๆ
นางเป็นหญิงงามผมของนางถูกม้วนเป็นมวยอยู่บนศีรษะปักยึดไว้ด้วยปิ่นผิวของนางขาวนวลราวกับหิมะและดูบอบบางราวกับว่าเพียงลมพัดผ่านก็แตกสลาย สิ่งเหล่านั้นทำให้นางดูสดใสและบริสุทธิ์ อย่างไรก็ตามเมื่อนางเดินเข้ามาอย่างเอื่อยเฉื่อยปรากฎเป็นท่าทางขี้เล่นอย่างเป็นธรรมชาติ มันช่างมีเสน่ห์ทำให้นางดูอ่อนโยน,งมงาม,และยั่วยวน
เมื่อจินต้าเป่าเห็นหญิงสาวเขาก็หยุดเก็บเงิน เขากระโดดเข้ามาทันที หากเซียวเฉินยังอยู่แน่นอนเขาจะต้องเห็นเป็นหมูผู้เร่าร้อนตัวเดิม
“แม่นางเสี่ยวเสี่ยว ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะอยู่ที่นี่ด้วย ต้าเป่าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน!” ร่างของเจ้าอ้วนจินเคลื่อนที่เข้ามาอย่างรวดเร็วราวกับบินมา เขาอ้าแขนตรงไปหาหญิงสาว หากเซียวเฉินยังอยู่ตรงนี้เขาต้องละอายแทนบุรุษทุกคนบนโลก
“แตร๊ง!”
สายของพิณในมือของเสี่ยวเสี่ยวดีดไปข้างหน้าเล็กน้อยซัดเข้าที่กรามล่างของเจ้าอ้วน เจ้าอ้วนจินทรุดลงกับพื้นมือกุมปากด้วยความเจ็บปวดทันที
เสี่ยวเสี่ยวกอดพิณของนางขณะที่มองไปที่เจ้าหมูบนพื้น ยิ้มอย่างเย็นชาพร้อมกับพูดขึ้น “เจ้าหมูจินเจ้าไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด ทำเหมือนเดิมทุกครั้ง”
เจ้าหมูจินยืนขึ้นอย่างร่าเริง น่าเสียดายที่กรามล่างของเขาปูดบวม ท่าทางสัปดนของเขาตอนนี้ดูน่าเกลียดยิ่งกว่าเดิมเมื่อเขายิ้มขึ้น
“ช่างโชคดีที่ฟันของข้าแข็งแรง มิเช่นนั้นถูกเจ้าดีดใส่ทุกครั้งฟันข้าคงร่วงหมดปาก” หลังจากที่เจ้าหมูจินลุกขึ้นมาได้เขาก็หัวเราะอย่างไร้ยางอาย
ขณะที่เขาพูดเขาก็เดินเข้ามาด้านข้างเสี่ยวเสี่ยวและวางมืออ้วนๆของเขาลงบนไหล่ของนาง เสี่ยวเสี่ยวยังมองไปที่ที่เจ้าหมูเพิ่งจะเดินมามันดูเหมือนว่านางไม่ได้สังเกตเห็นเจ้าหมูสักนิด
หัวใจของเจ้าอ้วนเต้นแรงขึ้นหลายเท่า เทพธิดามาอยู่ตรงหน้าของเขาและในที่สุดเขาก็ได้สัมผัสตัวนาง ไขมันหนาบนหน้าสั่นเทา
“ฮ่ะ!”
เสี่ยวเสี่ยวหันกลับในทันทีและพิณตัวเดิมก็หันไปที่หน้าของเจ้าหมู ลมแรงพัดเข้ามาอย่างโหดเหี้ยมซัดไปทางเขา เจ้าอ้วนสะดุ้งตกใจและรีบหลบเลี่ยงอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นว่าเสี่ยวเสี่ยวมองมาที่เขาอย่างโกรธจัดเจ้าอ้วนก็ยืนตรงยิ้มขึ้น “ข้าคุมตัวเองไม่ได้ ทุกครั้งที่ข้าได้เห็นเสี่ยวเสี่ยวมันก็เกิดแรงกระตุ้น มันเป็นธรรมชาติของบุรุษ แม่นางเสี่ยวเสี่ยวโปรดอย่าเก็บไปใส่ใจ”
แรงกระตุ้นบิดามันสิ จะมีใครบ้างที่ไร้ยางอายได้เช่นเจ้า? เสี่ยวเสี่ยวตะโกนดุด่าเจ้าหมูเป็นพันรอบในใจ อย่างไรก็ตามนางรู้ว่าเจ้าอ้วนหนังหนายิ่งดุด่าเท่าไหรมันก็ยิ่งชอบใจ ทางที่ดีที่สุดคือไม่ต้องไปสนใจมัน
เสี่ยวเสี่ยวมองหาโต๊ะสะอาดๆก่อนที่จะนั่งลง “เจ้าหมู ชายหนุ่มที่มากับเจ้าเมื่อครู่เกี่ยวข้องกับเจ้าเช่นไร?”
เมื่อเจ้าหมูได้ยินเช่นนั้นเขาก็นิ่งอึ้งประหลาดใจเป็นอย่างมาก เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อ “หรือว่าพี่ใหญ่จินของเจ้าคนเดียวไม่อาจทำให้เจ้าพอใจได้? เสี่ยวเสี่ยวความอยากของเจ้ามันจะมากเกินไปแล้ว”
“ผ่าง!”
เสี่ยวเสี่ยวไม่อาจต้านทานได้อีกต่อไปดังนั้นนางจึงตบไปที่พิณของนาง พิณลอยขึ้นไปบนอากาศและปลดปล่อยคลื่นพลังฉีซัดเข้าใส่เจ้าอ้วนอย่างไร้ความปราณี