Immortal and Martial Dual Cultivation – ตอนที่ 66 แคมป์ไฟ

“ทักษะต่อสู้ทลายจันทรา!”

กิ้งก่าเพลิงกวาดหางไปทางเย่หมิงหลานอีกครั้งแต่เขากระโดดขึ้นไปบนอากาศและใช้ทักษะต่อสู้ระดับเหลืองทลายจันทราออกมา ด้วยเสียง ‘สวบ’ หางของกิ้งก่าเพลิงขาดออกเป็นสองท่อน

“ฟู่ว!”

กิ้งก่าเพลิงคำรามออกมาอย่างเจ็บปวดและลิ้นสีแดงยาวของมันก็เคลื่อนไหวราวกับผีมุ่งหน้ามาทางเย่หมิงหลาน เย่หมิงหลานไม่อาจหลบได้พ้นและถูกลิ้นสีแดงจับเข้าอีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตามในครั้งนี้เขาสงบนิ่ง

ในขณะที่กำลังถูกลากเข้าไปในปากของกิ้งก่าเพลิงดาบก็ตัดลิ้นของกิ้งก่าเพลิงเป็นสองส่วน หลังจากหย่หมิงหลานกลับลงมาบนพื้นได้เขาก็ถอยห่างออกมาอย่างรวดเร็ว

เปลวเพลิงสีม่วงที่แท้จริง ยิง!

เซียวเฉินเริ่มลงมือเปลวเพลิงสีม่วงหมุนวนตรงปลายนิ้วของเขา มีเสียงสายลมที่ถูกกรีดออกมาหลังจากที่เปลวเพลิงถูกยิงเข้าไปในปากของกิ้งก่าเพลิง

“บูม!”

เสียงระเบิดดังออกมาจากปากของมันที่แหลกไม่มีชิ้นดีแต่กิ้งก่าเพลิงก็ยังไม่ตายลง พลังฉีสีดำหมุนเวียนไปมาบริเวณบาดแผลก่อนที่หัวของมันจะฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตามเปลวเพลิงสีม่วงบนตัวของมันก็ไม่ยอมให้มันฟื้นตัวกลับมาโดยง่าย เพียงนึกคิดพลังปราณในร่างของเขาก็ถูดดึงออกไปอย่างมาก

เปลวเพลิงสีม่วงพุ่งออกมาจากร่างของกิ้งก่าเพลิง เปลวเพลิงสีม่วงและพลังฉีดำห้ำหันกันอย่างดุเดือดพร้อมกับกิ้งก่าเพลิงที่บิดตัวไปกับพื้นด้วยความเจ็บปวด

ทันใดนั้นพลังฉีสีดำก็พวยพุ่งออกมาบีบเปลวเพลิงสีม่วงของเซียวเฉินออกมาจากร่างของมัน บาดแผลของมันเริ่มรักษาตัวเองอีกครั้ง

อย่างไรก็ตามเซียวเฉินไม่ได้แปลกใจอะไร เขาเคยฆ่ากิ้งก่าเพลิงมาก่อนแล้วและพอจะมีความเข้าใจเกี่ยวกับมันบ้าง พลังฉีสีดำนั้นเป็นพลังฉีปีศาจที่ไหลออกมาจากโลกปีศาจมันทั้งแปลกประหลาดและน่าขนลุก

แม้ว่ากิ้งก่าเพลิงจะสลัดเปลวเพลิงสีม่วงออกไป กล้ามเนื้อและผิวหนังของมันที่กำลังฟื้นคืนกลับมาไม่ยืดหยุ่นเหมือนแต่เดิม มันสามารถเจาะทะลุได้อย่างง่ายดาย

“สยายปีกเชือดเฉือน”

กระบี่ที่เหนือกว่าของธรรมดาทั่วไปฟันลงไปที่หลังของกิ้งก่าเพลิงอย่างไร้ความปราณี ภายใต้แรงมหาศาลกิ้งก่าเพลิงถูกผ่าแยกเป็นสองซีก พลังฉีสีดำและโลหิตสีม่วงรั่วไหลออกมา

อย่างไรก็ตามร่างที่ถูกผ่าครึ่งนั้นก็เริ่มต่อติดกันมีเสียง “ซี่!ซี่!” พลังชีวิตของอสูรปีศาจตัวนี้มันสูงเกินไป

ทั้งสองลงมือโจมตีมันอย่างไม่หยุดยั้ง อวัยวะภายในของมันได้รับความเสียหายจากสายฟ้าของเซียวเฉินในตอนแรกจากนั้นลิ้นของมันก็ถูกตัดโดยเย่หมิงหลาน นอกจากนั้นมันยังถูกย่างด้วยเปลวเพลิงอัสนีม่วงที่แท้จริงของเซียวเฉิน

ในตอนนี้มันจ่ายพลังออกไปมากแล้ว ภายใต้การโจมตีอันหนักหน่วงของทั้งสองคนกว่าสิบนาทีในที่สุดมันก็ตายลง

พื้นดินถูกคลุมไปด้วยชิ้นส่วนของกิ้งก่าเพลิงแต่ละชิ้นปลดปล่อยพลังฉีออกมาและมันดูแปลกประหลาดอย่างไม่น่าเชื่อ เซียวเฉินไม่อาจไปใส่ใจกับพวกมันได้หมด หลังจากที่เขานำแก่นกลางปีศาจออกมาจากหัวของมันเขาก็ใช้เปลวเพลิงเล็กน้อยเผาที่เหลือทั้งหมด ไม่ทิ้งเศษอะไรไว้แม้แต่น้อย

“เซียวเฉิน ขอบคุณมาก” เย่หมิงหลานมองไปที่เซียวเฉินและกล่าวออกมาอย่างจริงใจ เขาไม่ใช่คนโง่ ในที่สุดเขาก็เข้าใจจุดประสงค์ที่เซียวเฉินลากเขาออกมา

เซียวเฉินยิ้มอย่างเฉยเมย “เรื่องเล็กน้อย ตั้งแต่ที่พวกเราเข้ามาด้วยกันเราก็เป็นพวกเดียวกัน นอกจากนี้ข้าสัญญาไว้กับผู้อาวุโสหนึ่งว่าข้าจะพาทุกคนกลับไปแบบเป็นๆ”

“ข้าจะยกความชอบเรื่องแก่นกลางปีศาจก้อนนี้ให้เจ้า ไปกันเถอะ พวกเรายังต้องสำรวจพื้นที่ทางนี้ไปอีก 500 เมตร”

เย่หมิงหลานเป็นสุขในใจ สำหรับศิษย์นอกเช่นเขาที่ใช้แซ่ต่างจากคนอื่น หากเขาสร้างความดีความชอบให้กับตระกูลเซียวได้ เขาก็จะได้รับอนุญาตให้ใช้แซ่เซียว เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาก็จะกลายเป็นศิษย์สายในของตระกูลเซียวอย่างแท้จริง

ไม่ต้องสงสัยว่าการทดสอบครั้งนี้เป็นโอกาสอันดีของเขา เซียวเฉินก็เหมือนกับแมวมองสำหรับพวกเขาที่จะมาจัดลำดับของพวกเขาในการทดสอบครั้งนี้

พวกเขาทั้งสองเดินต่อไปอีก 500 เมตรและค้นพบว่านอกจากกิ้งก่าเพลิงแล้วยังมีอสูรปีศาจเสือดาวและงูหางแดงที่อยู่ในเส้นทางของพวกเขา อสูรปีศาจทั้งสองชนิดนี้ พวกเขาฆ่าไปตัวละหนึ่ง จากนั้นเขาก็รวบรวมจุดอ่อนของพวกมันไว้รวมถึงข้อมูลสำคัญอื่นๆ

พวกเขาทั้งสองยังคงเดินสำรวจไปอีกสามทิศทาง พวกเขาจะสำรวจความแตกต่างของอสูรปีศาจแต่ละชนิด พวกเขาพบว่าทางด้านเหนือและทางตะวันออกของของค่ายพักนั้นค่อนข้างอันตรายและกำหนดไว้เป็นพื้นที่อันตรายที่จะไม่เข้าไป

เป็นเพราะมีอสูรปีศาจระดับ 3 ซ่อนตัวอยู่หรืออาจจะจะมีถึงระดับ 4 เป็นสิ่งที่ไม่อาจจะไปต่อกรด้วยความแข็งแกร่งในตอนนี้ หากเดินเข้าไปก็เหมือนเดินเข้าไปตาย

มันก็ถึงตอนเย็นแล้วในตอนที่พวกเขาเสร็จภารกิจเดินสำรวจและกลับมาที่ค่ายพัก ในตอนนี้อุณภูมิภายในป่าทมิฬแปรปรวนมากขึ้น

“พวกเจ้ากลับมาแล้ว!” ผู้บ่มเพาะพลังของตระกูลเซียวที่เฝ้ายามอยู่พูดออกมาอย่างตื่นเต้นเมื่อเห็นทั้งสองคนกลับมาอย่างปลอดภัย

กองไฟถูกจุดขึ้นตรงกลางของค่ายพักและพวกคนที่เหลือก็มารวมตัวกันตรงนั้นเพื่ออบอุ่นร่างกายของตัวเอง แม้ว่าผู้บ่มเพาะพลังจะสามารถใช้พลังปราณเพื่อต้านทานความหนาวได้ แต่หากคิดจะใช้พลังปราณไปเป็นระยะเวลานานแล้วคิดผิดมหันต์

เซียวเฉินได้ยินเสียงใครบางคนโต้เถียงกันดังมาจากกองไฟก่อนที่เขาจะเข้ามาใกล้ เขาจึงรีบเร่งฝีเท้าขึ้นอย่างช่วยไม่ได้

“น้องเฉินในที่สุดเจ้าก็กลับมา! เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง?” เซียวอวี่หลันลุกขึ้นพร้อมกับถามด้วยความห่วงใย

“สถานการณ์ข้างนอกเป็นเช่นไรบ้าง? เล่าให้พวกเราฟัง”

“ใช่แล้ว! มีอสูรปีศาจเยอะไหม?” ทุกคนต่างแย่งกันพูดขึ้นมาอย่างกระตือรือล้น

เซียวเฉินยิ้มอย่างเฉยเมย “ไม่ต้องรีบร้อน ไว้เดียวเย่หมิงหลานจะเล่ารายละเอียดให้พวกเจ้าฟังทีหลัง ข้าได้ยินพวกเจ้าโต้เถียงกันมันมีเรื่องอะไร?”

นักบ่มเพาะพลังหญิงคนหนึ่งพูดขึ้นมา “พวกเขาบอกว่าทุกคนควรจะมารวมกันอยู่ในกระท่อมหลังเดียวในคืนนี้ พวกเราไม่เห็นด้วย”

เซียวเฉินมองตามนิ้วที่นางชี้ไปเห็นได้ชัดว่านางพูดถึงใคร ในการทดสอบครั้งนี้มีทั้งหมดสิบคน หากรวมตัวเขาด้วยจะมีผู้ชายทั้งหมดหกคนและผู้หญิงสี่คน พวกที่เห็นด้วยแน่นอนว่าเป็นฝั่งชาย พวกที่ไม่เห็นด้วยเป็นฝั่งหญิง

เซียวอวี่หลันอธิบายขึ้น “กระท่อมทั้งสามหลังนั้นหลังหนึ่งเป็นที่เก็บของ ที่เหลืออีกสองเป็นห้องนอนและห้องอาหาร”

“นายน้อยสองอย่างที่ท่านเห็นมีกระท่อมให้ใช้เพียงหลังเดียว หากพวกเราไม่นอนรวมกันแล้วพวกเราจะไปนอนที่ไหน? ยิ่งกว่านั้นเตียงนอนยังแยกออกจากกัน แล้วมีอะไรให้กลัวอีก? ที่สำคัญที่สุดคือพวกเราล้วนบริสุทธิ์ใจ” นักบ่มเพาะพลังชายคนหนึ่งยิ้มพร้อมกับพูดขึ้น

“แน่นอน พวกเราล้วนบริสุทธิ์ใจ จิตใจของพวกผู้หญิงต่างหากที่คิดสกปรก คิดว่าเราเป็นตัวอะไร?”

“ปีนี้ข้าอายุได้สิบแปดแต่ยังไม่ได้แปดเปื้อนด้วยซ้ำ ข้ายังไม่เคยช่วยตัวเองด้วย”

“ก็ใช่นะสิ พวกเจ้าทั้งหมดยังบริสุทธิ์ เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมมันอันตรายยิ่งกว่าเดิม พวกเจ้าที่เก็บกดมาหลายปี ใครจะรู้ได้ว่าพวกเจ้าจะห้ามใจตัวเองได้ ” นักบ่มเพาะพลังหญิงผู้หนึ่งพูดออกมาอย่างไม่เกรงกลัว

เซียวเฉินจำนางได้ นางชื่อว่าเซียวหลิงเอ๋อ เป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของผู้อาวุโสสอง นางเป็นหญิงงามอันดับต้นๆของตระกูลเซียวแต่ โดยปกตินางจะเป็นตัวแสบและก่อปัญหาไปทั่ว

“ข้าอดทนมาได้กว่า 18 ปี อีกสองสามวันทำไมจะไม่ได้? เซียวหลิงเอ๋อจะดูถูกพวกเราเกินไปแล้ว เจ้าทำให้ความบริสุทธิ์ของพวกเราแปดเปื้อน”

“หยุด! ” เซียวเฉินที่เห็นว่าบทสทนามันจะเริ่มไหลไปเรื่อยไม่มีวันจบสิ้นก็ตะโกนออกมาเสียงดังเพื่อหยุดมันก่อนที่จะสายไป หันหน้าไปหาเซียวเจี้ยน เขาถามขึ้น “เซียวเจี้ยนเจ้าคิดเช่นไร?”

ตั้งแต่ที่เซียวเจี้ยนได้พ่ายแพ้ให้แก่จางเหอ เขาดูราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เขาไม่ได้ถือตัวสูงส่งเหมือนแต่ก่อนและเริ่มพูดน้อยลง

มองดูเซียวเฉินจ้องมองมาทางเขา เซียวเจี้ยนก็ยืนแข็งไปพักนึงก่อนที่จะตอบ “ข้าคิดว่าอยู่รวมกันมันจะเป็นการดีที่สุด”

“นายน้อยหนึ่งฉลาดหลักแหลม” บางคนพูดตามขึ้นมาทันที

เซียวเจี้ยนยิ้มอย่างไม่แยแส “มีกระท่อมไม้เพียงหลังเดียวที่มีเตียงนอนและพื้นที่เพียงพอ หากพวกเราอยากจะนอนแยกกันพวกเราก็ต้องย้ายของออกมาจากห้องเก็บของ แต่หากพวกเราทำเช่นนั้นในตอนที่พวกเรานำซากและชิ้นส่วนของอสูรปีศาจกลับมามันจะไม่มีที่เอาไว้เก็บพวกมัน”

“พวกเจ้าทั้งหมดดูเหมือนจะลืมเรื่องสำคัญที่สุดไปแล้ว จำได้ไหมที่พวกเรามาพบกับศพของระดับขอบเขตปรมจารย์ที่นี่? ที่นี่มันอันตราย…อันตรายมาก เป็นการดีที่สุดหากพวกเราจะอยู่รวมกันไว้เพื่อค่อยดูแลกัน” เซียวเจี้ยนแสดงออกอย่างเคร่องเครียดในขณะที่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด

คำพูดของเซียวเจี้ยนนั้นสมเหตุสมผล สถานที่นี้มันไม่น่าไว้ใจ เซียวเฉินหันไปมองหน้าเซียวอวี่หลันและพูดขึ้น “พี่สาวอวี่หลัน เจ้าละคิดว่าไง?”

กองไฟสีแดงที่ฉายแสงลงบนใบหน้าขาวนวลของเซียวอวี่หลันทำให้ดูน่าเย้ายวนอย่างไม่น่าเชื่อ หลังจากที่เซียวเฉินหันไปมองรวมกับว่าเขาถูกดูดจมลงไปและรีบรวบรวมสติของเขากลับมา

รู้สึกได้ถึงสายตาของเซียวเฉิน เซียวอวี่หลันยิ้มอย่างขี้เล่นทำให้นางดูงดงามขึ้นไปอีก ศิษย์ตระกูลเซียวสองสามคนถึงกับนิ่งอึ้ง

“ข้าก็เห็นด้วยกับเซียวเจี้ยนแต่ก็คงต้องใช้ม่านกั้นกลางระหว่างห้อง ถึงอย่างไรมันก็อึดอัดสำหรับผู้หญิงที่จะต้องอยู่ร่วมกับผู้ชาย”

หลังจากที่พวกเขาประนีประนอมกันได้เสียที เซียวเฉินก็เรียกเย่หมิงหลานเข้ามาอธิบายสถานการณ์ด้านนอกรวมถึงอธิบายถึงจุดอ่อนของเหล่าอสูรปีศาจ

เมื่อเย่หมิงหลานอธิบายจบ เซียวเฉินก็พูดขึ้น “ข้าตัดสินใจว่าพรุ้งนี้จะแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งไปทางใต้อีกกลุ่มหนึ่งไปทางตะวันตก ข้าจะรับผิดชอบกลุ่มทางใต้ เซียวเจี้ยนรับผิดชอบกลุ่มทางตะวันตกและเย่หมิงหลานก็จะไปกับกลุ่มนี้ด้วย”

ไม่มีใครคัดค้าน หลังจากพูดคุยอะไรกันอีกเล็กน้อยเวียวเฉินก็จัดการสำหรับการเฝ้ายามกลางคืนและทุกคนก็แยกย้ายกันออกไป

หลังจากที่ทุกคนแยกย้ายออกไปแล้วเหลือเพียงเซียวเฉินและเซียวอวี่หลันที่ยังอยู่ที่กองไฟ ในตอนนี้ป่าทมิฬหนาวเหน็บอย่างไม่น่าเชื่อและในบางครั้งก็มีเสียงคำรามมาจากระยะไกล

หลังจากคนแยกย้ายกันไปความมีชีวิตชีวาก็หายไปด้วย สายลมหนาวเหน็บพัดผ่านมาพร้อมกับเสียงคำรามของอสูรปีศาจเป้นระยะ ของเหล่านี้ล้วนทำให้คนธรรมดาต้องหวาดกลัว

เซียวเฉินมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่ถูกต้นไม้เขียวชะอุ่มบังจนมิด คิดเพียงว่ามันอาจจะมีรูเล็กๆที่สามารถมองเห็นแสงดาวจางๆบนท้องฟ้า

ฉากนี้ทำให้เวียวเฉินนึกถึงตอนที่เขากำลังตั้งแคมป์ไฟทำกิจกรรมของมหาลัยในชีวิตก่อนของเขา มันช่างคล้ายกัน มีทั้งชายหญิงที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา

อย่างไรก็ตามมันไม่ได้มีอสูรปีศาจอยู่แถวนั้นและไม่ใช่สถานการณ์ที่ที่หากพวกเขาประมาทเพียงเล็กน้อย…ก็อาจจะถูกอสูรปีศาจจับกินได้

ทุกคนล้วนทราบว่าการทดสอบนั้นอันตราย อย่างไรก็ตามตั้งแต่สมันโบราณนักบ่มเพาะพลังต่างไม่ลังเลที่จะไล่ตามจุดสิ้นสุดของเส้นทางสายนี้

แต่มันจะมีระดับขอบเขตพรเจ้าอยู่บนโลกนี้จริงๆ? สายตาของเซียวเฉินจ้องมองไปที่คำคืนที่ไม่มีวันสิ้นสุดและมองไปยีงท้องฟ้าด้วยจิตใจว่างเปล่า

“น้องเฉินเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่?” เซียวอวี่หลัยเอ่ยขึ้นเบาๆข้างๆเขา แสงจากกองไฟทำให้ใบหน้าของนางดูเซ็กซี่สุดๆ

เซียวเฉินยิ้มอย่างเฉยเมย “ทุกคนล้วนขยันขันแข็ง มาเข้าร่วมในการทดสอบเสี่ยงตายนี้และมองหาเส้นทางแห่งการต่อสู้ อย่างไรก็ตามจุดสิ้นสุดของเส้นทางนี้จะได้กลายเป็นระดับขอบเขตพระเจ้า? แล้วระดับขอบเขตพระเจ้ามันมีอยู่จริง?”

เซียวอวี่หลันได้ยินดังนั้นนางส่ายหัวและถอนหายใจออกมา “แน่นอนทุกคนล้วนรู้ว่าจุดสิ้นสุดในเส้นทางแห่งการต่อสู้คือระดับขอบเขตพระเจ้า อย่างไรก็ตามในดินแดนหลายร้อยหลายพันลี้ในอาณาจักนต้าฉินแห่งนี้กับเหล่านักรบกว่าสิบล้านคน มีระดับขอบเขตราชันเพียงสิบคนเท่านั้นที่เป็นที่รู้จักกัน ยิ่งระดับขอบเขตมหาปราชญ์ก็ปรากฎออกมาครั้งสุดท้ายเมื่อ 500 ปีก่อน“

“ในความเห็นของข้า นอกจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ดั่งเดิมทั้งสาม ที่ที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดว่าจะมีระดับขอบเขตพระเจ้าคืออาณาจักรจิน” หลังจากอธิบายจบไปก่อนหน้านางก็พูดเพิ่มเดิม

ในทวีปเทียนวู่นอกจากอาณาจักรเล็กๆและแดนเถื่อนทั้งหลายแล้ว อาณาจักรฉิน,อาณาจักรชู,อาณาจักรถัง,อาณาจักรเซี่ยและอาณาจักรจินนั้นเป็นห้าอาณาจักรที่แข็งแกร่งที่สุด หนึ่งในนั้นอาณาจักรต้าฉินมีเส้นเลือดวิญญาณที่ใหญ่ที่สุดภายใต้สวรรค์ ดังนั้นความแข็งแกร่งจึงไม่ด้อยไปกว่าอาณาจักรอื่นรวมพลังกันสองอาณาจักร

เซียวอวี่หลันพูดไม่ผิดเกี่ยวกับสิ่งนี้ พื้นที่ที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณ พวกเขาจึงมีผู้เชี่ยวชาญเกิดขึ้นมาเยอะที่สุดในทวีป

ในตอนนั้นเองเสียงกรีดร้องโหยหวนดังมาจากทางตะวันออกของค่ายพัก เสียงนั้นรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดอย่างรุนแรงราวกับกำลังถูกลงทัณฑ์อย่างโหดเหี้ยม

เซียวเฉินลุกขึ้นและหยุดเซียวอวี่หลันที่กำลังลุกตามมา “อย่าเพิ่งไป ข้าจะไปดูก่อนว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้าไปส่งสัญญาณให้ผู้อาวุโสหนึ่งทิ้งเอาไว้”

เซียวอวี่หลันดูเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เซียวเฉินก็กล่าวออกมาอย่างเคร่งเครียด “เจ้ารู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่ภูเขาชีเจี่ยว ไม่สนว่าสถานการณ์จะอันตรายย่ำแย่ขนาดไหน ข้าขอรับรองว่ามันจะไม่มีปัญหาอะไร”

Immortal and Martial Dual Cultivation

Immortal and Martial Dual Cultivation

เซี่ยวเฉินได้ซื้อ ‘ตำราบ่มเพาะพลัง’ มาจากเถาเป่าพร้อมกับเม็ดยาเซียนที่จะทำให้เซี่ยวเฉินเข้าสู่โลกแห่งเซียนได้ ถึงกระนั้นเขาได้เขาได้ฝึกฝนตามตำรามากว่าสามปีแต่กลับไม่มีความคืบหน้าแม้แต่น้อย เขาจึงตัดสินใจที่จะกินเม็ดยาเซียนเข้าไปและมันทำให้เขาข้ามภพไปเกิดในร่างของเด็กหนุ่มที่มีชื่อเดียวกับเขา ไปสู่โลกทวีปเทียนหวู่ไปสู่โลกที่ถูกปกครองด้วยศิลปะการต่อสู้ไปสู่จุดเริ่มต้นใหม่ของเขา ผู้แต่ง : 月如火 Reach the peak of immortal cultivation and become able to run amok without fear! Use the power of martial arts to rule the world and defeat heroes! The weather changes at the whim and wave of a palm. He who cultivates both immortal techniques and martial arts, who could possibly defeat him! Xiao Chen is a shut-in who purchased a ‘Compendium of Cultivation’. Soon after, he crossed over into the Tianwu World, a world ruled by martial arts. He then refined pills, drew talismans, practiced formations, crafted weapons and cultivated the Azure Dragon Martial Soul that had not been seen for thousands of years. This is a story that tells of an exciting and magnificent legend!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset