ตอนที่ 59 อาวุธปีศาจเงาจันทร์
“เมื่อเจ้าเสนออาวุธวิญญาระดับลึกซึ้งขั้นสูงให้ข้า ข้าก็จะขอรับไว้ด้วยความเต็มใจ” จางเหอกล่าวอย่างหยิ่งยโสพร้อมกับสายตาที่จับจ้องไปที่กระบี่เงาจันทร์ที่ปักลงบนหินด้วยความตื่นเต้น
เซียวเฉินผายมือและเรียกกระบี่เงาจันทร์บินกลับมาที่มือของเขา เขาพูดขึ้น “ข้าต้องการเดิมพันกับอาบอริยะเงาของเจ้า”
จางเหอสีหน้าเปลี่ยน ดาบอริยะเงาเล่มนี้นั้นเป็นอาวุธวิญญาณระดับลึกซึ้งเช่นเดียวกัน เมื่อเขาได้ก้าวขึ้นมาระดับขอบเขตเชี่ยวชาญยุทธตระกูลได้มอบดาบเล่มนี้ให้กับเขา เขาไม่คาดคิดว่าเซียวเฉินต้องอยากจะฉวยเอามันไป
มันมีคุณค่าทางจิตใจ มรดกเล่มนี้ของตระกูลจางมันไม่ใช่อาวุธวิญญาณทั่วไป กว่าร้อยปีที่ผ่านมามีคนมากมายที่อยากจะได้มันไปครอบครองแต่พวกเขาก็ต้องผิดหวังไป
จางเหอยิ้มอย่างเย็นชา “ช่างกล้า! พอคิดว่าเจ้าอยากจะได้ดาบอริยะเงาของข้า เจ้าคิดว่าจะได้หายใจอยู่ตอนที่ถือมัน?”
“เจ้าหมอนี่มันต้องเสียสติไปแล้ว หลังจากที่
ล้มจางวูลงกู้ศักดิ์ศรีของเขาคืนมาได้ พอคิดว่าเขายังจะไปท้าทายจางเหอต่อ”
“ขอบเขตพลังของพวกเขาต่างกันถึงหนึ่งระดับ ความต่างระดับนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะเอาอะไรมาอุดช่องว่างได้ ต่อให้เขามีอาวุธวิญญาณระดับลึกซึ้งขั้นสูงอยู่ในมือก็ตาม”
“ทักษะต่อสู้ระดับสวรรค์? มันจะเป็นไปได้ไหม? นิกายดาบเงาหมอกยังมีเพียงแค่ทักษะต่อสู้ระดับสวรรค์ขั้นต่ำเก็บไว้เป็นมรดกของพวกเขา ตระกูลเซียวจะไปหามันมาจากไหน?”
“ต่อให้เขามีแต่ด้วยระดับขอบเขตพลังของเขาหากเขาใช้มัน มันอาจจะจบที่เป็นการฆ่าตัวตาย”
ทั้งสองคนที่ยืนบนสนามประลองไม่ได้สนใจเสียงถกเถียงกันรอบข้าง พวกเขาตรงไปที่เจ้าของลานประลองก่อนที่จะทำข้อตกลงและเริ่มการประลอง
ฐานะของพวกเขาทั้งสองค่อนข้างพิเศษ นอกจากนี้ยังมีเรื่องบาดหมางกัน เจ้าของลานประลองเกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์เลวร้ายขึ้นดังนั้นเขายืนขึ้นก่อนจะกล่าวว่า “ข้าจะย้ำอีกครั้งเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งประกาศยอมแพ้ขอให้อีกฝ่ายหยุดมือลงทันทีมิเช่นนั้นข้าจะจัดการด้วยตัวเอง”
เจ้าของลานประลองแห่งนี้อาจจะแลดูธรรมดาสามัญแต่ในเมืองม่อเหอแห่งนี้ถ้าใครสักคนกล้าที่จะเปิดลานประลองอย่างน้อยเขาก็ต้องอยู่ระดับขอบเขตปรมจารย์ยุทธมิเช่นนั้นมันจะง่ายดายเกินไปที่จะมีใครสักคนมาล้มเจ้าลานประลองและลานประลองนั้นก็ไม่ควรจะมีอยู่อีกต่อไป
พวกเขาทั้งสองไม่ได้ไปสนใจคำของเจ้าลานประลองมากนัก พวกเขาไม่ได้โง่พอที่จะลงมือฆ่าอีกฝ่าย มิเช่นนั้นมันจะเป็นการเปิดศึกระหว่างทั้งสองตระกูล มากที่สุดที่พวกเขาอาจจะทำก็คือทำให้การบ่มเพาะพลังของอีกฝ่ายกลายเป็นพิการไป
ในลานประลองพวกเขาทั้งสองแยกไปอยู่กันคนละมุมจ้องมองซึ้งกันและกันปลดปล่อยรังสีฆ่าฟันออกมา พวกเขากำลังรอโอกาสที่จะลงมือ
กระแสพลังของพวกเขาปะทะกันในอากาศ แม้พวกเขาจะยังไม่ได้เคลื่อนไหวแต่การต่อสู้ประมือก็ได้เริ่มขึ้นไปนานแล้ว สิ่งที่ทำให้จางเหอต้องเหงื่อตกก็คือกระแสพลังของเซียวเฉินไม่ได้ด้อยไปกว่าของเขา เขาไม่อาจกดดันเซียวเฉินด้วยกระแสพลังของเขาได้
ฝูงชนด้านล่างก็พบว่ามันน่าแปลกด้วยระดับพลังของเซียวเฉินเขากลับต่อต้านจางเหอได้ บางทีการประลองนี่อาจจะไม่ได้เป็นการไล่ต้อนอยู่ฝ่ายเดียวอีกต่อไปแล้ว
“ก่อนหน้านี้เซียวเจี้ยนผู้อยู่ระดับขอบเขตเชี่ยวชาญยุทธขั้นต่ำยังแตะข้าไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บ เจ้าคิดว่าระดับขอบเขตจอมยุทธฝึกหัดขั้นกลางเช่นเจ้าจะมีโอกาส?” เมื่อเห็นว่ากระแสพลังของเขาไม่อาจกดดันเซียวเฉินได้ เขาพยายามใช้คำพูดยั่วยุเซียวเฉินแทน
เซียวเฉินไม่ใช่พวกสติขาดง่ายเหมือนกับเซียวเจี้ยนเขารู้ว่าจางเหอพยายามจะทำอะไร เขายั่วยุกลับ “ตอนที่ข้าอยู่ระดับขอบเขตจอมยุทธฝึกหัดขั้นต่ำข้าทำเจ้ากระอักเลือดมาแล้ว ในตอนนี้อยู่ระดับขอบเขตจอมยุทธฝึกหัดขั้นกลาง คงไม่ยากเกินมือข้าที่จะส่งเจ้าลงหลุม”
จางเหอยิ้มอย่างไม่แยแส “คิดว่าเจ้าเป็นใครกัน? เป็นหนึ่งในลูกหลานของแดนศักดิ์สิทธิ์? สามารถท้าทายกฎธรรมชาติก้าวข้ามขอบเขตพลัง? ดาบฟ้าครามของข้าออกมาแล้ว เจ้ายังคงเชื่อความเจ้ามีความสำคัญ?”
“ข้าอาจจะหรือไม่มีความสำคัญเดียวเจ้าก็ได้รู้หลังจากจบการประลอง” เซียวเฉินพูดอย่างเย็นชา เขาตัดสินใจลงมือก่อน
ท้ายที่สุดขอบเขตพลังของเขาก็ต่างกันถึงหนึ่งระดับ หากพวกเขายังพ่นคำถ้อยขยะใส่กันไม่เลิกเช่นนี้มันอาจจะทำให้เขาเผลอเปิดช่องว่างออกมาก่อน เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาอาจจะตายได้ในกระบวณท่าเดียว
อัสนีหลบเลี่ยง!
เสียงสายฟ้าคำรามออกมาพร้อมกับเซียวเฉินที่ปรากฎตัวขึ้นด้านหลังของจางเหอ กระบี่เงาจันทร์ฟาดผ่านอากาศทิ้งเงาสีดำไว้ด้านหลังและฟันไปที่จางเหออย่างรวดเร็ว
ในทันทีที่เซียวเฉินหายตัวไปจางเหอก็รู้สึกได้ว่าบางอย่างผิดปกติ หลังจากที่ได้ยินเสียงสายฟ้าเขาก็รู้ได้ถึงตำแหน่งของเซียวเฉิน
เขาเปิดมือทั้งสองข้าง ย่อเข่าของเขาและกระโดดขึ้นมา เขาหายตัวไปจากพื้นทิ้งภาพเงาของวิหคขนาดใหญ่เอาไว้
“นี่เป็นทักษะที่ทำให้ผู้อาวุโสใหญ่แห่งนิกายดาบเงาหมอกโด่งดังขึ้นมา วิหคสวรรค์สยายปีก ตามข่าวลือผู้ที่ฝึกทักษะนี้จนสำเร็จขั้นสูงมันจะทำให้ผู้ใช้สามารถข้ามผ่านทะเลทั้งสี่ได้อย่างอิสระและบินไกลเป็นพันลี้ได้ในชั่วอึดใจ” ผู้รู้ด้านล่างลานประลองสาธยายออกมา
“เป็นเพราะทักษะเคลื่อนไหวเช่นนี้เองเซียวเจี้ยนถึงจับเขาไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บ ในตอนแรกข้าคิดว่าทักษะประหลาดที่เซียวเฉินใช้ออกมาจะแก้ปัญนี้ไปได้ ดูเหมือนมันจะไม่เป็นเช่นนั้น” บางคนถอยหายใจออกมา
จางเหอที่กระโดดขึ้นไปไม่ได้กลับลงมาบนพื้นอีก เขาเปลี่ยนมาอยู่ในท่าประหลาดราวกับเขาเป็นนกตัวใหญ่กำลังบินโฉบมาที่เซียวเฉิน
เซียวเฉินขมวดคิ้ว เขารู้สึกประหลาดในใจ เจ้าวิหคสวรรค์สยายปีกช่างทรงพลัง มันทำให้ผู้ใช้บินขึ้นไปได้ชั่วคราว ดูเหมือนคำเล่าลือจะเป็นจริง
“ปัง!”
ก่อนที่เขาจะคิดอะไรได้อีก จางเหอที่รวดเร็วจนน่ากลัว พวกเขาทั้งสองปะทะใส่กัน
ระดับขอบเขตพลังของเซียวเฉินนั้นด้อยกว่าจางเหอ แม้ว่าเขาจะสามารถพึ่งพลังของจิตวิญญาณยุทธมังกรฟ้ามาเสริมความแข็งแกร่งร่างกายของเขา เขาก็ยังไม่มีอาวุธวิญญาณที่ระดับสูงกว่านี้ เขาไม่สามารถดึงพลังของจิตวิญญาณยุทธมังกรฟ้ามาใช้ได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นในการแข่งขันกันด้านพลังเขาตกเป็นรองจางเหอ
นอกจากจางเหอมีกระบวณท่าวิหคสวรรค์สยายปีก ยังมีดาบของเขาที่บรรจุพลังที่แข็งแกร่งทัดเทียมกับระดับขอบเขตปรมจารย์ยุทธ
เมื่อดาบและกระบี่ปะทะกันมีพลังขนาดใหญ่ระเบิดออกมาจากดาบ มันทำให้เซียวเฉินไม่อาจต้านได้และลอยกลับหลังไป
อีกปัญหาหนึ่งก็คือพลังฉีของดาบฟ้าครามที่เข้ามาในร่างของเขาผ่านทางดาบ ดาบศักดิ์สิทธิ์ที่คงอยู่มาตั้งแต่โบราณกาลเปลี่ยนไปเป็นดาบพลังฉีและโจมตีเส้นลมปราณของเขา มันช่างดุร้าย
ในขณะที่เขาถอยกลับเซียวเฉินพยายามหาวิธีแก้ทางดาบพลังฉีอันน่ากลัวนี้ เมื่อเขาถูกต้อนมาถึงขอบสนามอีกเพียงก้าวเดียวก็จะแตะเส้นเขตลานประลอง และดาบพลังฉีก็กระจายออกไป
เขาใช้ขาอีกกข้างผลักพื้นตีลังกาขึ้นไปในอากาศก่อนที่จะลงจอดภายในสนามประลองย่างงดงาม
ทุกคนโห่ร้องด้วยความประหลาดใจตอนแรกพวกเขาคิดว่าเซียวเฉินจะถูกผลักออกนอกสนามไปด้วยดาบของจางเหอ พวกเขาไม่คาดคิดว่าเซียวเฉินจะจะกลับเข้ามายืนบนเวทีได้
อย่างไรก็ตามหลายคนก็สงสัยว่าทำไมจางเหอไม่บุกต่อทั้งที่ชิงความได้เปรียบมาได้ขนาดนี้ เขาสามารถผลักเซียวเฉินให้ออกนอกเวทีไปได้ ฝูงคนด้านล่างกำลังถกเถียงกัน
ได้ยินเสียงฝูงชนที่ถกเถียงกันอยู่จางเหอไม่อาจอธิบายได้ถึงความยากลำบากของเขาได้ แม้ว่าดาบพลังฉีของเขาจะเข้าไปในร่างของเซียวเฉินได้ แต่ในตอนนั้นเองพลังสายฟ้าในกระบี่ของเซียวเฉินก็เข้ามาในร่างของเขาด้วยเช่นกัน
กระแสไฟฟ้าที่สร้างขึ้นมาโดยทักษะอัสนีม่วงศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ด้อยไปกว่าพลังฉีจากดาบศักดิ์สิทธิ์ของเขา หากเขาไม่สกัดมันออกไปมันจะสร้างความเสียหายและส่งผลต่อการประลองในครึ่งหลัง
“อีกที!”
หลังจากที่กระแสไฟฟ้ากระจายหายไปจางเหอก็ตะโกนขึ้น วิหคสวรรค์ข้างหลังเขาส่งเสียงร้องออกมา
ร่างของเขาพุ่งขึ้นไปในอากาศ ดาบแสงขนาดใหญ่กว่าสองเมตรปรากฎขึ้นที่ดาบของเขา ด้วยความเร็วระดับนี้ควบคู่กับกระแสพลังอันไร้ขอบเขตเขาพุ่งตรงไปหาเซียวเฉิน
“วิหคสวรรค์ส่งเสียงร้องออกมาแล้ว นี่เป็นชั้นที่สองของวิหคสวรรค์สยายปีก พอคิดว่าคนหนุ่มเช่นเขาสามารถฝึกฝนทักษะลับสุดยอดไปได้ถึงชั้นที่สองแล้ว”
“แน่นอน!ช่างน่ากลัว! ตามที่เล่าลือกันมาปราขญ์ดาบแห่งนิกายดาบเงาหมอกนั้นสามารถทำให้วิหคสวรรค์แผดเสียงร้องศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้ซึ่งสามารถทำลายหัวใจและปอดของคนอื่นได้โดยไม่ต้องลงมือเคลื่อนไหว”
“นอกจากนั้นจางเหอยังเรียกใช้พลังไร้ขอบเขตของดาบฟ้าคราม ดาบศักดิ์สิทธิ์จับคู่กับวิหคสวรรค์ ครั้งนี้เซียวเฉินไม่รอดเป็นแน่”
จางเหอที่เหี้ยมหาญ ฝูงชนโห่ร้องออกมาด้วยความประหลาดใจอีกครั้ง ด้วยพลังมหาศาลเช่นนี้ทุกคนเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่าเซียวเฉินหมดซึ่งทางชนะแล้ว
สีหน้าของเซียวเฉินกลายเป็นซีดขาวเมื่อเขาเห็นดาบที่กำลังพุ่งตรงมาทางเขา เขารู้ว่าเขาไม่อาจรับมือได้อีกต่อไป เขาจับกระบี่เงาจันทร์ขึ้นมาในมือและพลิกมันกลับ
กระบี่เงาจันทร์เริ่มหมุนวนอย่างรวดเร็ว มีกระแสพลังฉีพรุ่งพล่านห่อหุ้มมันอยู่ด้านนนอก นี่ทำให้ผู้คนที่อยู่โดยรอบตั้งสั่นสะเทือน
ประจุไฟฟ้าคล้ายกับสายอัสนีปรากฎขึ้นที่ตัวกระบี่ แม้ว่าในตอนนี้มันใกล้จะมืดแล้วท้องฟ้ายังสว่างขึ้นราวกับเป็นเวลากลางวัน
แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนตกใจยิ่งกว่าคือพลังฉีเดือดพล่านที่ออกมาจากตัวกระบี่ มันเหมือกับเสียงคำรามจากสัตว์อสูรอัสนีที่ดุร้ายคลุ้มคลั่งและมันรู้สึกเหมือนกับกองทัพอันเกรียงไกรกำลังเคลื่นตัวเข้ามา
“แย่แน่! แท้จริงแล้วอาวุธวิญญาณชิ้นนั้นมันฝังแก่นกลางปีศาจเอาไว้ มันน่าจะเป็นถึงอสูรปีศาจราชา ทุกคนถอยห่างออกมา! หากพลังฉีปีศาจรั่วไหลออกมานักบ่มเพาะพลังทั่วไปได้เลือดไหลจากทวารทั้งเจ็ดจนตายเป็นแน่”
“ช่างน่าหวาดกลัว! ในเมืองม่อเหอแห่งนี้มีอาวุธวิญญาณที่มาพร้อมแก่นกลางปีศาจปรากฎตัวขึ้นแล้ว”
ฝูงชนวิ่งหนีออกไปทั่วทุกทางอย่างหวาดกลัวแต่พวกเขาก็ไม่ได้ไปไกลเกินนัก พวกเขายังคงยืนอยู่ห่างๆมองไปที่การประลองอย่างตื่นเต้น
เหล่าผู้คนคิดว่าเพราะมีดาบฟ้าครามมันจะกลายเป็นการไล่ต้อนเพียงฝ่ายเดียวของจางเหอ พวกเขาไม่คาดคิดว่าเซียวเฉินนั้นจะมาพร้อมอาวุธปีศาจ เมืองม่อเหอไม่ได้มีการประลองอันน่าตื่นเต้นเร่าใจขนาดนี้มาพักใหญ่แล้วและพวกเขาไม่อาจจะพลาดที่จะรับชม
ทักษะเคลื่อนไหวแพร่วพราววิหคสวรรค์สยายปีกควบคู่กับดาบศักดิ์สิทธิ์โบราณฟ้าครามเข้าปะทะอย่างรุนแรงกับกระบี่เงาจันทร์ที่มีแก่นกลางปีศาจระดับ 6 วิหคอัสนี
“บูม!”
ดาบแสงปะทะเข้ากับกระบี่สายฟ้า เสียงดังสนั่นออกมาจากสนามประลองทำให้ฝูงชนโดยรอบแทบจะหูหนวก ช่างเป็นภาพที่น่ากลัวที่สุด
หยดเลือดไหลรินออกมาจากมุมปากของเซียวเฉิน เขาถอยกลับก้าวใหญ่ไปตามพื้นหิน หลุมลึกว่าหนึ่งเมตรถูกกวาดหายไป แสดงให้เห็นว่าเซียวเฉินต้องเจอกับความกดดันมากเพียงใด
จางเหอลอยกลับหลังไปในอากาศใช้ทักษะเคลื่อไหววิหคสวรรค์สยายปีก เขาลบล้างพลังที่ออกมาจากกระบี่เงาจันททร์
ร่างของจางเหอร่อนลงบนพื้นอย่างนุ่มนวล เสื้อผ้าและผมของเขาปลิวไปกับสายลม ด้วยใบหน้าหล่เหลาของเขาจางเหอช่างดูสง่างาม
ในครั้งนี้พวกเขาทั้งสองแยกกันออกไปยังไม่มีใครชิงความได้เปรียบ
จางเหอยังดูสงบนิ่งกำลังระงับพลังฉีและโลหิจที่เดือดพล่านของเขา เขาไม่ดูถูกคู่ต่อสู้คนนี้อีกต่อไป เขายิ้มขึ้นอย่างเฉยเมย “ข้าไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าเจ้าจะมีอาวุธปีศาจ แต่อาวุธล้ำค่าก็สมควรอยู่ในมือของผู้มีฝีมือ หากเจ้ามีดีเพียงเท่านี้ข้าก็ขออาวุธปีศาจชิ้นนั้นเถอะ!”
“ดาบอริยะเงา!”
จางเหอตะโกนเสียงดังและโยนดาบที่อยู่ในมือออกไป เงาจากดาบพุ่งทะลุฟ้า ดาบอริยะเงาที่ส่งต่อกันมาในตระกูลจางกว่าร้อยปีปรากฎอยู่ในมือของจางเหอ