ตอนที่ 30 อสูรหมีจันทร์โลหิต
พื้นที่ตรงตีนเขาชีเจี่ยวนั้นคึกคักอย่างที่เคยเป็น เซียวเฉินเดินตามฝูงคนและตรงไปที่ภูเขาอย่างไม่รีบร้อน แต่เขาไม่เหมือนกับคนอื่นรอบๆ เขานั้นไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าผ่านทาง ทหารยามที่ทางเข้าจำเขาได้และยืนตัวแข็งนิ่งเงียบ สถานการณ์นั้นเปลี่ยนไปแล้วและในตอนนี้เซียวเฉินไม่ได้ถูกจดจำในฐานะขยะอีกต่อไป เป็นธรรมดาที่ไม่มีใครเข้าไปเยาะเย้ยเขา ไม่แม้แต่จะกล้าคิด
หลังจากเดินมาได้ครึ่งวันและผ่านทางเข้ามา ทิวทัศน์อันงดงามและภูเขาชีเจี่ยวอันกว้างใหญ่ก็ปรากฎเบื้องหน้าของเขา ผู้บ่มเพาะพลังที่เข้ามาที่ภูเขาชีเจี่ยวแห่งนี้มักจะเข้ามาเพื่อเก็บสมุนไพรหรือล่าสัตว์อสูรวิญญาณ ทุกๆคนมีจุดมุ่งหมายของตัวเองดังนั้นพวกเขาจึงแยกย้ายกันอย่างรวดเร็วเพื่อไปทำธุระของพวกเขา
เดินทางต่อไปเรื่อยๆ ตอนนี้ไม่มีใครเดินอยู่ในเส้นทางเดียวกับเซียวเฉินแล้ว เดินตามเส้นทางที่เขาเคยมาในอดีต เซียวเฉินก็พบสถานที่ที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณอย่างรวดเร็ว
เมื่อเทียบกับครั้งก่อนที่เขามาที่นี่ สัมผัสของเซียวเฉินนั้นเฉียบคมขึ้นมาก ก่อนที่เขาจะเข้าใกล้พื้นที่นี้ เขาสามารถสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของสัตว์อสูรวิญญาณได้
เซียวเฉินผิดหวังเล็กน้อยในใจ เขาคิดว่าจะได้พบกับอวี่หลันที่นี่ เช่นนั้นเขาจะได้ไม่ต้องลงมือออกแรงเอง
“ปัง!ปัง!”
สัตว์อสูรวิญญาณหมีสีดำตัวโตกว่า 2 เมตร กระโจนออกมาอย่างดุดันปรากฎในสายตาของเซียวเฉิน ดวงตาสีแดงเลือดของมันมองตรงมาที่เขาพร้อมกับคำรามอย่างดุร้ายพุ่งตรงใส่เขา
อสูรหมีจันทร์โลหิต มันมีความแข็งแกร่งเท่ากับสัตว์อสูรวิญญาณระดับ 2 เปรียบได้เท่ากับผู้บ่มเพาะพลังระดับขอบเขตจอมยุทธฝึกหัดขั้นสูง มันเป็นเจ้าของพื้นที่แห่งนี้!
เห็นได้ชัดจากท่าทางของมันว่ามันไม่อาจจะไปล้อเล่นกับเซียวเฉินได้และมันแค่อยากจะไล่เขาออกไปเท่านั้น หากมันไล่เขาออกไปได้ มันจะสามารถหลีกเลี่ยงการต่อสู้ที่อันตราย
ช่างน่าเสียดายที่เซียวเฉินนั้นต้องการพื้นที่นี้ เหมืนว่าจะไม่ใช้สิ่งที่อสูรหมีจันทร์โลหิตจะไม่เห็นด้วยกับเขาสักเท่าไหร
“ชิ้ง!”
ชักกระบี่เงาพระจันทร์ออกมา พลังงานในอาวุธวิญญาณเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณต่อสู้มังกรฟ้าในร่างของเซียวเฉินอย่างรวดเร็ว เขาเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วและถีบตัวเองออกจากพื้นพุ่งเข้าใส่หมีจันทร์โลหิต ทักษะอัสนีม่วงศักดิ์สิทธิ์หมุนเวียนอย่างรวดเร็วกลายเป็นกระแสพลังไหลออกมารอบตัวกระบี่และหมอกภายในป่าก็เป็นเหมือนตัวนำกระแสไฟฟ้าส่งเสียงหึ่มอย่างต่อเนื่อง
บริเวณรอบตัวของเซียวเฉินมีประกายฟ้าระเบิดออกมาอย่างต่อเนื่องเป็นวงกว้าง ประกายรอบๆทำให้ตัวเขาดูคล้ายกับประจุก้อนสายฟ้า เขาดูแข็งแกร่งและทรงพลังอย่างไม่มีใครเปรียบเทียบ
อสูรหมีจันทร์โลหิตที่เป็นใหญ่ในพื้นที่แถบนี้ ไม่ม่ความคิดที่จะหนีจากการต่อสู้ มันระเบิดเสียงคำรามออกมาพร้อมกับนัยตาสีแดงที่ปลดปล่อยความกระหายเลือดออกมา มันกระทืบพื้นอย่างรุนแรงส่งตัวมันพุ่งเข้าใส่เซียวเฉิน ร่างอันใหญ่ยักษ์ของมันเร็วได้อย่างเหลือเชื่อ
“ปัง!ฮ่ะ!”
พวกเขาทั้งสองพุ่งเข้าใส่กัน ปะทะกันอย่างรุนแรงกลางอากาศ การปะทะกันอย่างรุนแรงสร้างคลื่นกระแทกดุเดือดออกมา เมื่อต้นไม้ที่อยู่รอบๆปะทะเข้ากับคลื่นกระแทกอย่างรุนแรงทำให้ใบของมันหลุดร่วงออกมาปลิวว่อนไปในอากาศราวกับหิมะ
ขาหน้าของอสูรหมีจันทร์โลหิตจับเข้าที่กระบี่เงาพระจันทร์ของเซียวเฉินอย่างแน่นหนา ด้วยพลังจากจิตวิญญาณต่อสู้มังกรฟ้าในร่างของเซียวเฉิน เซียวเฉินสามารถต่อสู้ได้อย่างสูสีกับอสูรหมีจันทร์โลหิตที่เปรียบได้กับระดับขอบเขตจอมยุทธฝึกหัดขั้นสูง
ช่างน่าเสียงดายที่กระบี่เงาพระจันทร์น่าจะดึงพลังจากจิตวิญญาณต่อสู้มังกรฟ้าออกมาใช้ได้มากกว่านี้ถ้าหากมันเป็นอาวุธวิญญาณระดับสูง พลังของมันน่าจะตัดหัวสัตว์อสูรวิญญาณตัวนี้ได้อย่างง่ายดาย
อย่างไรก็ตามกับอสูรหมีจันทร์โลหิตที่ใช้ได้เพียงแค่พลังดุร้าย เซียวเฉินยังคงมีทักษะอัสนีม่วงศักดิ์สิทธิ์ ในชั่ววินาทีที่ปะทะกันกลางอากาศ กระแสพลังงานไฟฟ้าบนกระบี่เงาพระจันทร์ไหลผ่านไปยังอุ้งเท้าหน้าของอสูรหมีจันทร์โลหิตเข้าไปในร่างของมัน อสูรหมีจันทร์โลหิตชักกระตุกและล้มลงและส่งเสียงร้องออกมาสั้นๆ
เซียวเฉินฟันสามครั้งอย่างรวดเร็วไปในอากาศ ด้วยพลังของมังกรฟ้า แทนที่เขาจะร่วงลงพื้นเขากลับลอยสูงขึ้นไปอีก จากนั้นเขาก็ตีลังกากลางอากาศร่อนลงบนกิ่งไม้หนาทึบ
เขาเก็บกระบี่เข้าฝักและมุ่งความสนใจไปที่อสูรหมีจันทร์โลหิตที่ชักดิ้นชักงออยู่บนพื้น เพียงนึกคิด เมฆก้อนนึงข้างๆมังกรฟ้าก็กลายเป็นสายพลังปราณจำนวนมหาศาลไหลมาที่มือซ้ายของเซียวเฉิน
ด้วยการสะบัดนิ้วของเขา เขาส่งเปลวเพลิงสีม่วงมุ่งตรงไปยังอสูรหมีจันทร์โลหิตราวกับลูกศรที่ถูกปล่อยออกมาจากคันธนู ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวนี้ ผลาญพลังปราณของเซียวเฉินไปจำนวนมากในครั้งเดียว มันพุ่งไปในอากาศและลุกติดร่างของอสูรหมีจันทร์โลหิต
“ฟู่!”
แสงสีแดงปรากฎขึ้นมาหุ้มบนร่างของอสูรหมีจันทร์โลหิต หลังจากนั้นไม่นานทั่วทั้งร่างของอสูรหมีจันทร์โลหิตก็เต็มไปด้วยไฟ เปลี่ยนมันให้กลายเป็นอสูรหมีเพลิงม่วง ภายใต้กองไฟอสูรหมีจันทร์โลหิตร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
เมื่อเซียวเฉินมองดูฉากนี้จากบนยอดต้นไม้ เขาส่ายหัวอย่างไม่พอใจนัก แม้ว่าเปลวเพลิงอัสนีม่วงที่แท้จริงจะมีพลังกดข่ม แต่เมื่อมันเผชิญกับนักบ่มเพาะพลังหรือสัตว์อสูรวิญญาณที่ระดับสูงและมีความต้านท้าน มันก็ยากที่จะเจาะทะลุโล่พลังปราณเพื่อเข้าไปทำลายร่างกายของพวกมัน
เมื่อเปลวเพลิงอัสนีม่วงที่แท้จริงผลาญพลังปราณจนหมดมันก็จะดับลง หลังจากนั้นมันก็ทำอะไรใครไม่ได้อีก
ดังเช่นตอนนี้ แม้ว่าอสูรหมีจันทร์โลหิตจะดูเหมือนอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ มันก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรร้ายแรง สิ่งที่กำลังไหม้อยู่นั้นคือพลังปราณที่หุ้มร่างของมันอยู่ มันไม่ได้ไหม้ร่างจริงๆของมัน มิเช่นนั้นมันกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว
อย่างไรก็ตามเจ้าหมีนั้นก็คาดไม่ถึงสถานการณ์นี้
ไม่เพียงแต่มันต้องผลาญพลังปราณไปมากเพื่อรับมือกับเพลิงสีม่วง อุณหภูมิของไฟนั้นก็มิอาจจะทนได้
เปลวเพลิงสีม่วงไหม้อยู่กว่านาทีก่อนที่จะดับลง ในขณะนี้ขนของอสูรหมีจันทร์โลหิตกลายเป็นสีดำสนิท มีควันสีดำลอยออกมาจากปากและจมูกของมัน ตอนนี้มันดูราวกับถ่านก้อนใหญ่ทำให้ความน่ากลัวของมันลดลงกว่าแต่ก่อน
เซียวเฉินผู้รอโอกาสอยู่กระโดดลงจากต้นไม้ ชักกระบี่ออกมาฟันลงไปที่มัน อสูรหมีจันทร์โลหิตคำรามออกมาอย่างเกรี๊ยวกราดและปล่อยอุ้งตีนของมันไปทางเซียนเฉิน แรงสะท้อนหนักหน่วงตีกลับออกมาจากตัวกระบี่ เซียวเฉินถอยออกมาหลีกเลี่ยงการปะทะเข้ากับพลังของมันตรงๆ
อสูรหมีจันทร์โลหิตกลายเป็นบ้าคลั่งพร้อมกับปล่อยอุ้งมือของมันใส่เขาซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่ละอุ้งมือของมันหนักหน่วงขึ้นกว่าครั้งก่อน เซียวเฉินเห็นได้ชัดว่าเจ้าอสูรหมีจันทร์โลหิตไม่สามารถรักษาความเยือกเย็นไว้ได้อีกแล้ว การจูโจมอย่างไม่ยั่งคิดและไม่มีทางจบสิ้น เขามันไปเรื่อยๆเหมือนกับจูงงัว
เซียวเฉินกวัดแกว่งกระบี่ของเขาเบี่ยงการโจมตีไปเรื่อยๆ ไม่ปะทะเข้าโดยตรง หลังจานั้นนไม่นานอสูรหมีจันทรโลหิตก็แสดงความเหนื่อยล้าออกมา รอยยิ้มปรากฎขึ้นบนใบหน้าของเฉียวเฉินพร้อมกับมือซ้ายที่เคลื่อนไหวท่าเดียวกับที่เขาทำเมื่อสร้างเปลวเพลิงอัสนีม่วงที่แท้จริง ดูเหมือนเขาจะยิงมันออกไปอีกครั้ง
อสูรหมีโลหิตแสดงอาการตกใจออกมา มันยืนอยู่บนพื้นอย่างมั่นคงด้วยสี่เท้าและถอยกลับไปสองสามก้าว ชั้นพลังปราณสีแดงเลือดห่อหุ้มร่างของอสูรหมีโลหิตไว้โดยไม่มีช่องว่างแม้แต่น้อย
ดูเหมือนเจ้าหมีจะกลัวเปลวเพลิงอัสนีม่วงที่แท้จริงเข้าไส้ เซียวเฉินปล่อยฝ่ามือเปล่าออกไป ยิ้มในใจ ชั้นพลังปราณสีแดงนี้น่าจะเป็นทักษะป้องกันที่เจ้าอสูรหมีจันทร์โลหิตใช้เมื่อกี้
มองดูสายตาเยาะเย้ยของเซียวเฉินเจ้าอสูรหมีจันทร์โลหิตก็แค้นจนแทบขาดสติ ตาของมันแดงก่ำยิ่งกว่าเดิมพร้อมกับกระทืบพื้นซ้ำๆอย่างดุร้าย ส่งเสียงคำรามแห่งความโกรธออกมา
ก็มีดีแค่ขู่ เซียวเฉินมองไปที่มันด้วยความดูถูก ขี้เกียจจะเล่นต่อแล้ว
ตาย! สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์!
เซียวเฉินตะโกนออกมาพร้อมกับเส้นสายฟ้าที่ออกมาจากร่างของเขา ทักษะต่อสู้ระดับเหลืองขั้นสูง สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ สายฟ้าพุ่งทะลุผ่านอากาศราวกับลูกศรที่ส่งออกมาจากหน้าไม้ เกราะป้องกันสีแดงของอสูรหมีจันทรโลหกิตตอนนี้เกิดรูขึ้น
เปลวเพลิงอัสนีม่วงศักดิ์สิทธิ์!
เมฆขาวที่ลอยอยู่รอบตัวของมังกรฟ้ากลายเป็นโปร่งใส่ นั้นบอกให้รู้ว่าเขาใช้เมฆไปแล้วหนึ่งในสามก้อน หมายความว่าเซียวเฉินนั้นใช้พลังปราณออกไปหนึ่งในสามแล้ว
เปลวเพลิงสีม่วงพุ่งเข้าไปในรูในทันที พุ่งผ่านรูเข้าไปในร่างของอสูรหมีจันทร์โลหิต เปลวเพลิงสีม่วงกำลังเผาร่างของมัน รูสีดำขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วจนในที่สุดก็ทั่วทั้งร่างของมัน
อสูรหมีจันทร์โลหิตส่งเสียงร้องแห่งความทรมานออกมาอย่างต่อเนื่อง มันวิ่งไปรอบๆด้วยความพยายามที่จะสลัดไฟออกไป อย่างไรก็ตามไม่ว่ามันจะทำอะไรก็ไร้ประโยชน์
หลังจากนั้นไม่นานทั้งตัวมันก็มีเพียงแต่กระดูกที่ยังคงมีสภาพสมบูรณ์ พร้อมขี้เถ้ากองหนึ่ง
หากคนที่ขึ้นมาล่าสัตว์อสูรเข้ามาเห็นสิ่งนี้ คงต้องเผลอร้องด่าแม่ออกมา อสูรหมีจันทร์โลหิตนั้นถือได้ว่าเป็นของทำกำไรได้มากที่สุดในเขตรอบนอกของภูเขาชีเจี่ยว อุ้งตีน ถุงน้ำดี หัวใจและผิวหนังล้วนแต่มีมูลค่าสูง ยิ่งถ้าพวกเขาได้แก่นวิญญาณของมันมา ก็เหมือนกับโชคก้อนโตหล่นทับ หายากที่จะมีใครเผาอสูรหมีจันทร์โลหิตจนถึงกระดูกเพียงนี้
มองดูกองกระดูกที่อยู่บนพื้น เซียวเฉินนั้นไม่รู้สึกเสียดายแม้แต่น้อย เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อล่าสัตว์อสูรวิญญาณ ถ้าเขาอยากได้เงิน เขาสกัดเม็ดยาไปขายก็ได้ ไม่ต้องเสียเวลาล่าสัตว์อสูรวิญญาณเก็บชิ้นส่วนไปขาย
มองหากิ่งไม้ที่แข็งแรง เซียวเฉินแขวนโครงกระดูกของอสูรหมีโลหิตไว้ นี้เป็นเครื่องหมายเตือนสำหรับทั้งสัตว์อสูรวิญญาณและผู้บ่มเพาะพลังคนอื่นๆ ที่ไม่อยากมาวิ่งใส่ปัญหา
หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อย เซียวเฉินหยิบเม็ดยาอดอาหารออกมาและกลืนมันลงไป เขาหมุนเวียนพลังเพื่อเร่งดูดซับยาก่อนที่จะหยิบเม็ดยาบำรุงลมปราณและกลืนมันเข้าไปด้วย
นั่งลงในท่าขัดสมาธิ เขาเริ่มหมุนเวียนทักษะบ่มเพาะพลังอัสนีม่วงศักดิ์สิทธิ์ จมลงไปในจิตใต้สำนึก เซียวเฉินสัมผัสได้ถึงผลจากเม็ดยาบำรุงลมปราณได้อย่างชัดเจน พลังวิญญาณที่ถูกดูดซับเข้ามาในร่างกายของเขานั้นหนาแน่นขึ้น สิ่งนี้จะช่วยเพิ่มความเร็วในการบ่มเพาะพลังได้อย่างมหาศาล
ทักษะอัสนีม่วงศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นเพียงแค่ทักษะบ่มเพาะพลัง ไม่เหมือนระดับขอบเขตของทักษะต่อสู้ มันไม่มีคอขวดในการทะลวงขึ้นสู่ชั้นต่อไป เมื่อเขาบ่มเพาะพลังจนถึงระดับหนึ่งเขาก็จะก้าวขึ้นสู้ชั้นต่อไปทันที นอกจากนี้ทักษะบ่มเพาะพลังอัสนีม่วงศักดิ์สิทธิ์ของเขานั้นอยู่เพียงชั้นหนึ่ง ต่อให้ไม่มีเม็ดยาบำรุงลมปราณเขาก็สามารถทะลวงขึ้นสู่ชั้น 2 ได้ภายในสองสามเดือน
อย่างไรก็ตาม เวลาสำหรับสัญญาประลองสิบปีกำลังใกล้เข้ามา เวลาที่เซียวเฉินมีนั้นจำกัด ถ้าเขาอยากจะชนะจางเหอด้วยการค่อยๆฝึก นั้นคงมีแต่คนโง่ที่คิดได้
นอกจากนั้นมันมีความแตกต่างของพลังอย่างมหาศาลระหว่างระดับขอบเขตเชี่ยวชาญยุทธขั้นกลางกับระดับขอบเขตจอมยุทธฝึกหัดขั้นต่ำ โดยเฉพาะความต่างแตกอันใหญ่หลวงระหว่างขอบเขตเชี่ยวชาญยุทธกับขอบเขตจอมยุทธฝึกหัด เมื่อคนคนหนึ่งก้าวเข้าสู่ระดับขอบเขตเชี่ยวชาญยุทธ คนคนนั้นสามารถปลดปล่อยพลังปราณออกสู่บรรยากาศได้ พลังปราณที่กักเก็บไว้ในร่างของพวกเขาจะมากกว่าและบริสุทธิ์กว่าของระดับจอมยุทธฝึกหัด
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความสามารถในการควบคุมจิตวิญญาณต่อสู้ของพวกเขา หลังจากก้าวเขาสู่ระดับขอบเขตนี้ จิตวิญญาณต่อสู่นั้นสามารถออกมาจากร่างได้ พวกเขาจะสามารถควบคุมจิตวิญญาณต่อสู้ได้อย่างอิสระ เหมือนกับที่เซียวอวี่หลันทำ ใช้จิตวิญญาณต่อสู้ออกมานอกร่างและจัดการระดับขอบเขตปรมจารย์ได้สำเร็จ
แม้ว่าจะใช้กลอุบายเช่นไร เมื่อระดับขอบเขตจอมยุทธฝึกหัดเผชิญหน้ากับระดับขอบเขตปรมจารย์ยุทธ ไม่ว่าพวกเขาจะทำเช่นไร พวกเขาก็ไม่สามารถฆ่าระดับขอบเขตปรมจารย์ได้
ภายในเวลาสี่เดือนนับจากนี้ ไม่ว่าเขาจะมีความสามารถมากเพียงใด เขาก็ไม่สามารถที่จะทะลวงขึ้นระดับขอบเขตเชี่ยวชาญยุทธได้ ดังนั้นสำหรับเซียวเฉินเพื่อที่จะล้มจางเหอให้ได้ เขาทำได้เพียงพึงทักษะอัสนีม่วงศักดิ์สิทธิ์ที่น่าอัศจรรย์นี้
เมื่อทักษะอัสนีม่วงศักดิ์ก้าวขึ้นสู่ชั้นที่ 2 มันจะช่วยเสริมพลังให้กับเขาได้อย่างก้าวกระโดด เขาจะได้รับสัมผัสพื้นฐานของผู้บ่มเพาะพลังอมตะ–สัมผัสวิญญาณ ด้วยสัมผัสวิญญาณ เขาสามารถร่ายคาถาที่เขียนไว้ในตำราบ่มเพาะพลังได้ และสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด เขาจะสามารถเขียนยันต์พลังและหลอมเครื่องสวมใส่
นี่เป็นสิ่งที่ระดับขอบเขตจอมยุทธฝึกหัดอย่างเซียวเฉินจะเอาชนะระดับขอบเขตเชี่ยวชาญยุทธอย่างจางเหอ!