“องค์หญิงน้อยขอรับ แป้งชาดของท่าน”
เถ้าแก่ส่งของในมือให้อย่างนอบน้อม ของที่องค์หญิงน้อยใช้นั้นไม่เพียงคุณภาพดี แม้แต่บรรจุภัณฑ์ยังต้องวิจิตรงดงาม ไม่ว่าจะเป็นสินค้าหรือกล่องใส่สินค้า ล้วนแต่ดีกว่าของที่อวี๋หวั่น
องค์หญิงน้อยรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก
เมื่อเถ้าแก่เห็นว่านางพอใจแล้ว จึงลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก องค์หญิงน้อยผูู้นี้เอาใจยากเหลือเกิน ผมหงอกของเขาโดนนางถอนไปแทบหมดแล้ว ทว่าเรื่องนี้ได้เจรจาซื้อขายกันไปแล้ว หากเป็นไปได้ ภายภาคหน้าเขาก็ไม่คิดจะทำการค้ากับองค์หญิงน้อยผู้นี้อีก
“ระวังหน่อย! อย่าใช้มือสกปรกของเจ้ามาจับแป้งชาด!”
ขณะที่เถ้าแก่กำลังจะปิดฝากล่อง มือของเขาเกือบสัมผัสโดนแป้งชาด และถูกสายตาอันเฉียบแหลมขององค์หญิงน้อยเห็นเข้าพอดี นางจึงบริภาษเขาไปยกหนึ่ง
เถ้าแก่รีบตอบว่า “ขอรับๆๆ ข้าน้อยจะระวังไม่ให้โดนแป้งชาดขององค์หญิงเป็นอันขาด”
“หึ!” องค์หญิงน้อยหยิบกล่องมา โยนตั๋วแลกเงินให้ แล้วเดินออกไปโดยไม่หันหลังกลับมา
หัวใจของเถ้าแก่ซึ่งก่อนหน้านี้ร่วงลงไปถึงตาตุ่ม บัดนี้ได้กลับมาอยู่ที่เดิมแล้ว เขาหันไปมองร้านของตนเอง ยกมือขึ้นทาบอกเบาๆ พลางกล่าวว่า “กว่าจะรอดมาได้ ไม่ง่ายเลยจริงๆ…”
องค์หญิงน้อยไม่รู้ว่าตนทำเอาคนใจหายใจคว่ำ นางถือกล่องแป้งชาดออกมา แล้วขึ้นไปนั่งบนรถม้า
งานเลี้ยงจัดขึ้นในตอนเย็น บัดนี้ยังเช้าอยู่ นางจึงกลับจวนเสียก่อน และตรงไปหามารดาซึ่งนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
ดวงตาของนางเป็นประกาย นางเดินเข้าไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เอนกายหาประมุขหญิง “ท่านแม่!”
ประมุขหญิงมองนางผ่านกระจก รอยยิ้มของนางเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน “เจ้าโตแล้ว ยังติดแม่เหมือนเด็ก ไม่อายบ้างหรือ?”
“ไม่อาย~” องค์หญิงน้อยหยอกเย้า
ประมุขหญิงหลุดหัวเราะ ยกมือขึ้นจับใบหน้าของบุตรสาวซึ่งกำลังเกาะไหล่ของนาง “ไม่เห็นเจ้าตั้งแต่เช้า ออกไปเที่ยวเล่นที่ไหนมาหรือ?”
คุณหนูทั่วไปไม่อาจมีอิสระเสรีในชีวิตมากถึงเพียงนี้ ประมุขหญิงเอาใจนาง องค์ประมุขก็ตามใจนาง องค์หญิงน้อยจึงเติบโตมามีนิสัยชอบออกไปเที่ยวเล่นเฉกเช่นบุรุษ
องค์หญิงน้อยยืดอก เดินไปยังเบื้องหน้าของประมุขหญิง จากนั้นจึงนำกล่องที่ซ่อนเอาไว้ด้านหลังออกมา นางเบ้ปากเล็กน้อย “ท่านแม่ใส่ความข้าแล้วนะเจ้าคะ ข้าไม่ได้ไปเที่ยวเล่น ข้าจองของขวัญมาให้ท่านแม่ต่างหาก เมื่อครู่เพิ่งไปรับมา”
ประมุขหญิงเลิกคิ้ว “เด็กคนนี้ อยากออกไปเที่ยวมากกว่ากระมัง”
องค์หญิงน้อยกอดแขนประมุขหญิง “เปล่านะเจ้าคะ! หากไม่ใช่เพราะไปซื้อแป้งชาดให้ท่านแม่ ข้าก็ไม่ได้ย่างกรายออกจากประตูวังเลยแม้แต่น้อย! ข้าเป็นเด็กดีที่สุดแล้ว!”
ประมุขหญิงรู้สึกขบขันกับท่าทางของนาง
องค์หญิงน้อยยังคงหยอกล้อกับมารดาอีกครู่หนึ่ง จนนางกำนัลเข้ามาตาม ประมุขหญิงจึงให้นางรีบกลับไปแต่งตัว จะได้เข้าวังตรงเวลา
หลังจากที่องค์หญิงน้อยไปเปลี่ยนชุด ประมุขหญิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นางเปิดกล่องดู แล้วหยิบแป้งชาดสีที่เข้ากับนางมาใช้
ในส่วนที่นางมองไม่เห็น หนอนพิษตัวน้อยก็ค่อยๆ คืบคลานไปบนตัวของนาง
เป็นเพราะอยู่ใกล้ราชันสัตว์พิษมานาน ในตอนนี้หนอนพิษตัวน้อยจึงยังคงอ่อนแอ ไร้เรี่ยวแรงทำร้ายผู้ใด และด้วยเหตุผลนี้ ประมุขหญิงจึงยังไม่รู้สึกถึงความผิดปกติแม้แต่น้อย
ประมุขหญิงไม่รู้ว่าตนมีสัตว์พิษอยู่กับตัว นางลุกขึ้นและเดินไปยังห้องของราชบุตรเขย ในเมื่อเป็นวันเกิดของนาง เขาย่อมต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงในฐานะราชบุตรเขย
ทว่าตลอดทั้งช่วงบ่าย ราชบุตรเขยกลับเปลี่ยนชุดไปได้เพียงครึ่งเดียว เขายืนนิ่ง สายตาทอดมองไปยังท้องฟ้า ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
นางกำนัลไม่กล้ารบกวนเขา เมื่อเห็นประมุขหญิงเข้ามา จึงรีบโค้งกายคำนับ
ประมุขหญิงยกมือขึ้นบอกเป็นนัยว่าให้พวกนางถอยออกไปก่อน ส่วนนางก็เดินไปข้างกายราชบุตรเขยอย่างเงียบเชียบ แล้วกล่าวเสียงค่อยว่า “มองอะไรอยู่หรือ?”
“ท้องฟ้า” ราชบุตรเขยตอบ
ทุกครั้งที่ราชบุตรเขยถูกล้างความทรงจำ เขามักจะมึนงงอยู่หลายวัน ทว่ามิได้กินระยะเวลานานเท่าไร จึงทำให้ประมุขหญิงคิดไม่ตกขึ้นมาทันใด
นางพยายามระงับความรู้สึกแปลกประหลาดในจิตใจ พลางยกมือขึ้นมาจัดแจงเสื้อผ้าของราชบุตรเขย “ถึงเวลาแล้ว ควรเข้าวังได้แล้ว ข้าช่วยท่านเปลี่ยนเสื้อผ้าดีหรือไม่?”
“จื่อจวิน” ราชบุตรเขยมองนางด้วยสายตาซับซ้อน
ประมุขหญิงกะพริบตา แล้วยิ้มออกมา “มีอะไรหรือ?”
ราชบุตรเขยกดลงบนหน้าอก ณ ตำแหน่งของหัวใจ “ตรงนี้ของข้าว่างเปล่า”
ประมุขหญิงหลุบตา แล้วยิ้มออกมา จากนั้นก็เงยหน้าซึ่งเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน “รู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายไปหรือ?”
“อืม” ราชบุตรเขยพยักหน้า
ประมุขหญิงจับมือของเขา กล่าวว่า “ท่านนี่นะ คิดถึงฉงเอ๋อร์ใช่ไหม”
“ฉงเอ๋อร์?” ราชบุตรเขยพึมพำ
ประมุขหญิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้ว ฉงเอ๋อร์คนนี้จากไปครึ่งปีแล้ว หากไม่ได้เขียนจดหมายมาทุกเดือน ข้าก็คงคิดว่าเขาลืมท่านพ่อท่านแม่ไปแล้ว ฉงเอ๋อร์กำลังเดินทางมา ไม่นานก็คงได้พบหน้าท่านแล้ว”
“ข้าจำไม่ได้ว่าเขาหน้าตาเป็นอย่างไร” ราชบุตรเขยบอก
“ท่านไม่ได้เห็นภาพวาดของเขาแล้วหรอกหรือ? เป็นภาพที่ท่านวาดเอง” ประมุขหญิงถาม
“อืม” ราชบุตรเขยพยักหน้า ทว่าในใจยังคงรู้สึกแปลกประหลาดราวกับว่าเด็กที่อยู่ในภาพมิได้เหมาะสมกับชื่อฉงเอ๋อร์ ไฉนเขาจึงตั้งชื่อให้เด็กคนนี้ว่าฉงเอ๋อร์กันนะ? แต่ว่าเขาในวัยเยาว์นั้นแตกต่างกับตอนนี้ เขาจะไปเข้าใจการตัดสินใจของตนในตอนนั้นได้อย่างไร?
“เปลี่ยนเสื้อผ้าเถิด” ประมุขหญิงหยิบชุดมาให้เขา
ราชบุตรเขยยกแขนขึ้น สอดมือสวมเสื้อ
ครอบครัวของจวนประมุขหญิงต่างเข้าร่วมงาน ขณะเดียวกันงานเลี้ยงวันเกิดในจวนเห้อเหลียนก็กำลังเริ่มต้นขึ้น
นางหลี่จากจวนตะวันตกก็ได้รับคำเชิญ อย่างไรเสียพวกเขาก็อยู่ร่วมชายคาเดียวกัน วันเกิดของน้องสะใภ้ ต่อให้ไม่เชิญพวกเขา พวกเขาก็ย่อมต้องนำของขวัญมาให้อยู่ดี เห้อเหลียนเฟิงกลับค่ายทหารในซีเฉิงไปแล้ว ผู้ที่มาอวยพรก็คือนางหลี่และบุตรชายทั้งสอง
ในตอนนี้นางหลี่ไม่กล้าโอหังอีกต่อไป สามีจากไปแล้ว พ่อสามีก็ถูกส่งไปนอนรอความตายอยู่กลางท้องทุ่ง ทุกวันนี้นางจึงจำต้องประพฤติตนให้อยู่กับร่องกับรอยสักหน่อย
ส่วนสองพี่น้องเห้อเหลียนอวี่และเห้อเหลียนเฉิงนั้น อย่างไรเสียพวกเขาก็ยังเยาว์วัยนัก เมื่อถูกนางหลี่ลากตัวมาจวนตะวันออก พวกเขาย่อมไม่ยินดี บอกว่าองค์ประมุขทรงเชิญให้สกุลเห้อเหลียนไปเข้าร่วมงานแล้วแท้ๆ ไม่รู้ว่าท่านลุงใหญ่คิดอะไร จึงไม่ยอมไปงานเลี้ยงในวังหลวงแต่โดยดี กลับต้องมาฉลองงานเลี้ยงให้สตรีชนบท สตรีชนบทผู้นี้มีอะไรดี? ยิ่งใหญ่กว่าตี้จีองค์เล็กอย่างนั้นหรือ?
สามแม่ลูกนำของขวัญไปยังจวนตะวันออก
งานเลี้ยงจัดขึ้นในศาลาริมน้ำ บรรยากาศผ่อนคลาย ดวงจันทร์สวยสด กอปรกับมีการตั้งเวทีการแสดงกลางทะเลสาบ และเชิญคณะการแสดงที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวงมาแสดงและขับร้อง
คนในจวนตะวันออกทยอยกันเข้ามานั่ง นอกจากตำแหน่งเจ้าบ้านของจวนตะวันออกแล้ว ก็ยังมีชุยเฒ่าและอาม่า อาม่าไม่ค่อยได้ชมการแสดง มิสู้ชุยเฒ่าซึ่งชมการแสดงการละเล่นมามาก ชุยเฒ่าจึงเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบให้อาม่าฟังอย่างใจเย็น
เห้อเหลียนเป่ยหมิง เยี่ยนจิ่วเฉา และอวี๋หวั่นนั่งอยู่ด้านซ้ายมือของฮูหยินผู้เฒ่า ด้านขวามือคือนางเจียงและอวี๋เซ่าชิง เด็กๆ ทั้งสามนั่งไม่ติดและออกไปวิ่งเล่นแล้ว เสียงดนตรีก็ไม่อาจกลบเสียงหัวเราะของพวกเขาได้
นางหลี่รู้สึกราวกับตาพร่าไปชั่วขณะ
ที่นี่ยังเป็นจวนตะวันออกในความทรงจำอยู่หรือเปล่า?
นางแต่งเข้ามาในจวนตั้งนานหลายปี และเคยมาจวนตะวันออกตั้งไม่รู้กี่ครั้ง ที่นี่เงียบเหงาลงไปทุกครั้ง ตั้งแต่ที่นางถานและเห้อเหลียนเซิงถูกขับออกจากสกุล รอยยิ้มก็ไม่เคยปรากฏบนใบหน้าของเห้อเหลียนเป่ยหมิงอีกเลย ฮูหยินผู้เฒ่าก็สติวิปลาส ฝันร้ายและตื่นขึ้นกลางดึกอยู่เป็นนิจ
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่สกุลเห้อเหลียนมีชีวิตชีวาขึ้นมาเช่นนี้
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ…”
ฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะจนตัวโยน
จากมุมที่นางหลี่ยืนอยู่ไม่อาจมองเห็นว่าสิ่งใดทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกขบขัน จากนั้นนางก็เห็นว่าไม่ใช่ฮูหยินผู้เฒ่าเพียงคนเดียวที่หัวเราะ เห้อเหลียนเป่ยหมิงเองก็ยิ้มไม่หุบเช่นกัน
“ไม่ใช่แค่เด็กโง่ๆ สามคนหรอกหรือ? มีอะไรให้หัวเราะกัน?” เห้อเหลียนเฉิงพึมพำอย่างไม่สบอารมณ์
นางหลี่ได้สติกลับมา นางมองไปยังเด็กน้อยในศาลา พวกเขาเป็นเด็กน่ารักน่าเอ็นดูจริงๆ ทำให้จวนตะวันออกอยู่ๆ ก็ดูคึกคักขึ้นมาถนัดตา
นางหลี่ตั้งสติ แล้วพาลูกๆ นำของขวัญไปมอบให้นางเจียง
คนจากพื้นที่แร้นแค้นอย่างตำบลชิงเหอ เหตุใดจึงไม่มีกลิ่นอายของความเป็นคนบ้านนอกอยู่เลย? ในทางกลับกัน นางเจียงดูราวกับเป็นเทพเซียนเสียมากกว่า
นางหลี่ไม่กล้ามากความ เพียงแต่ลอบมองเพียงเล็กน้อย กระนั้นนางหลี่ก็ยังรู้สึกว่าแม้แต่ประมุขหญิงผู้เป็นรัชทายาทก็ไม่งามเท่าน้องสะใภ้คนนี้ แต่จะว่าไป นางรู้สึกคุ้นหน้าน้องสะใภ้เหลือเกิน…
นางหลี่มองไปยังอวี๋หวั่นซึ่งกำลังชมการแสดงอย่างตั้งใจ
อันที่จริง เมื่อเทียบกันแล้ว น้องสะใภ้กับหลานสะใภ้หน้าเหมือนกันราวกับเป็นแม่ลูกกันมากกว่าเสียอีก
ทว่านางหลี่ก็มิได้นำเรื่องนี้มาใส่ใจ สามีภรรยาอยู่ด้วยกันมานานย่อมคล้ายกันได้ นับประสาอะไรกับแม่สามีกับลูกสะใภ้
ว่ากันว่าโพธิสัตว์ดินเหนียวข้ามน้ำยังไม่อาจรักษาตนเองไว้ได้ นางหลี่ไม่กล้าเข้าไปแทรกแซงเรื่องของจวนตะวันออก นางไม่กล้าแม้แต่จะคิดด้วยซ้ำไป
นางตั้งใจมาอวยพรวันเกิดของนางเจียงด้วยความจริงใจ ฮูหยินผู้เฒ่าก็มิได้สร้างความลำบากใจให้นาง เรียกนางมานั่งด้วยกัน
จากนั้นทั้งสามก็มอบของขวัญให้นางเจียง
ฮูหยินผู้เฒ่าใจกว้างกว่าใคร ของขวัญที่นางมอบให้ถูกวางรวมกันไว้ ทำให้นางหลี่ถึงกับตะลึงลาน ไม่ใช่การฉลองวันเกิดเล็กๆ หรอกหรือ ฮููหยินผู้เฒ่าแทบจะขนของออกมาหมดห้อง ครั้นนางถานยังเป็นลูกสะใภ้ก็มิได้ฉลองเสียยิ่งใหญ่ถึงขนาดนี้นี่?
นางหลี่ไหนเลยจะรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่านึกสงสารที่ลูกชายคนเล็กและลูกสะใภ้ต้องระหกระเหินเผชิญความลำบากอยู่ข้างนอกนับสิบปี นางต้องการชดใช้ให้พวกเขา ตัวนางเองก็เป็นไม้ใกล้ฝั่ง ใครจะรู้ว่าจะอยู่ให้ความรักแก่พวกเขาได้อีกนานเท่าใด?
เห้อเหลียนเป่ยหมิงไม่ค่อยให้ของขวัญใคร และไม่รู้ว่าน้องสะใภ้ชอบสิ่งใดเป็นพิเศษ กระนั้นก็ได้ยินจากน้องชายว่าน้องสะใภ้เป็นคุณหนูจากตระกูลใหญ่ ปราดเปรื่องในศิลปะทั้งสี่แขนง เพราะฉะนั้นจึงมอบของล้ำค่าในห้องหนังสือซึ่งประกอบไปด้วยกระดาษ หมึก พู่กัน และแท่นฝนหมึกให้นาง
อวี๋เซ่าชิงให้หยกแกะสลักแก่นาง เป็นหยกที่เขาเลือกสรรด้วยตนเอง ใช้เวลาทำทั้งหมดหนึ่งเดือน ทำจนลืมวันลืมคืน จนในที่สุดก็ได้ออกมาเป็นหยกสลักเป็นรูปนางเจียง ดูงดงามราวกับมีชีวิตจริง
ผู้คนต่างตกละลึงกับรูปสลักอันวิจิตร พวกเขาต่างรู้สึกว่ารูปสลักพระโพธิสัตว์กวนอิมยังไม่อาจเทียบได้
อวี๋หวั่นจับแขนของสามีไว้ “ที่แท้ในสายตาของท่านพ่อ ท่านแม่ก็งดงามถึงเพียงนี้…”
พูดเร็วๆ ท่านบอกข้ามาว่าในสายตาท่านข้าก็สวยเหมือนกัน!
เยี่ยนจิ่วเฉาร้อง ‘อ้อ’ แล้วเอ่ยขึ้นว่า “แล้วทำไมเจ้าถึงอัปลักษณ์เพียงนี้ได้?”
อวี๋หวั่นผู้ซึ่งประหนึ่งถูกศรเกาทัณฑ์กระหน่ำยิงกลางใจ “…!!”
……
อวี๋หวั่นให้ของขวัญท่านแม่ของเธอ เป็นแป้งชาดซึ่งซื้อมาจากร้าน เดิมทีอวี๋หวั่นคิดว่าจะบอกว่าเป็นของที่เธอและเยี่ยนจิ่วเฉามอบให้ท่านแม่ ไหนเลยจะรู้ว่าเยี่ยนจิ่วเฉากลับเตรียมของขวัญมาเองโดยไม่บอกกล่าว
อวี๋หวั่นซึ่งตะลึงงันจนอ้าปากค้าง “…”
ผู้ชายคนนี้ไม่ได้อ่านหนังสือภาพของเด็กทั้งวันหรอกหรือ? ออกไปหาซื้อของขวัญให้ท่านแม่ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?!
และเมื่อเห็นว่าท่านแม่กอดของขวัญเอาไว้แน่นขนาดนั้น คล้ายกับว่าชอบมาก? ชอบมากกว่าแป้งชาดที่เธอให้ซะอีก!
อวี๋หวั่นเบ้ปาก เธอไม่ได้เป็นลูกท่านแม่แล้วใช่ไหม…
นางเจียงรับของขวัญจากคนในครอบครัว ทั้งจากแม่สามี จากลูกๆ จากสามีและพี่ชายของสามี ทว่าไม่มีพ่อแม่ของนาง
เกิดมาก็ถูกทอดทิ้ง แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยได้รับคำอวยพรจากพ่อแม่อยู่แล้ว
ณ วังหลวงแห่งอาณาจักรหนานจ้าว งานเลี้ยงซึ่งจัดเพื่อประมุขหญิงก็เริ่มต้นขึ้นแล้ว หากว่ากันตามตรง งานนี้ก็นับว่าเป็นงานเลี้ยงซึ่งจัดเป็นการส่วนตัวในวัง เพียงแต่แขกเหรื่อที่มาล้วนมีแต่เชื้อพระวงศ์ แต่ละคนล้วนมีฐานะสูง งานเลี้ยงจัดอย่างยิ่งใหญ่ ลำพังพรมแดงสำหรับเข้างานก็ยาวถึงสามหลี่แล้ว
ในตำหนัก องค์ประมุขและฮองเฮาก็ได้พบกับธิดาผู้เป็นที่รัก
ประมุขหญิงสวมอาภรณ์ทางการสีเหลืองเดินเข้ามา ทุกย่างก้าวล้วนงามสง่า เป็นที่ดึงดูดสายตาของทุกคน ราวกับเป็นเฟิ่งหวงสยายปีกก็มิปาน
นางคุกเข่าเข้าไปกอดฮองเฮา นางไม่เพียงมีชาติกำเนิดสูงส่ง แต่ยังมีความงามที่ไม่เป็นรองผู้ใดในใต้หล้า สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าความสูงศักดิ์ก็คือ นางเกิดมาเป็นดาวนำโชคของอาณาจักร ตราบใดที่มีนางอยู่ หนานจ้าวก็มิจำเป็นต้องกังวลว่าจะอับโชค
องค์ประมุขและฮองเฮาต่างมองไปยังธิดาของตนด้วยสายตาเปี่ยมล้นไปด้วยความรัก
นานมากแล้วที่องค์ประมุขมิได้นึกถึงเด็กคนนั้นซึ่งถูกเขาทอดทิ้ง เด็กคนนั้นไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของเขากับฮองเฮา เดิมทีก็ไม่เอ็นดูนางอยู่แล้ว ยิ่งเกิดมาเป็นกาลกิณีให้แก่หนานจ้าวอีก เขาจึงทุ่มเทความรักทั้งหมดให้แก่ธิดาองค์เล็ก
นางเป็นธิดาที่เขาภาคภูมิใจ
ปรมาจารย์พิษก็ยังอวยพรแก่นาง มอบสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ให้นาง
ประมุขหญิงรัชทายาทเดินมาเบื้องหน้าบิดา แล้วถวายบังคมอย่างนอบน้อม
องค์ประมุขเข้าไปพยุงนางขึ้นมาด้วยความเอ็นดู และสวมมงกุฏหงส์[1]ซึ่งเลือกสรรกับฮองเฮาให้นาง นับว่าเป็นคำอวยพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดขององค์ประมุขและฮองเฮาแล้ว
เหล่าเชื้อพระวงศ์ต่างยืนขึ้น “ขอประมุขหญิงรัชทายาทจงมีอายุยืนหมื่นปีหมื่นหมื่นปี!”
ประมุขหญิงน้ำตารื้น ขณะที่นางกำลังจะเอ่ยปากนั้น ความเจ็บปวดก็แล่นปราดเข้าที่ศีรษะของนาง นางหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง แล้วจับมงกุฏหงส์เอาไว้
อาจเป็นเพราะแรงกดทับจากมงกุฏ ประมุขหญิงคิด อย่างไรเสียแม้ว่าทั้งใต้หล้ามีคนคิดปองร้ายนาง แต่เสด็จพ่อและเสด็จแม่ไม่มีทางทำเช่นนั้น มงกุฏหงส์เป็นสิ่งที่เสด็จพ่อและเสด็จแม่มอบให้ พวกท่านไม่มีทางลงมือกับนางอย่างแน่นอน
ประมุขหญิงเริ่มกล่าวขอบคุณ ฝูงชนต่างจับต้องตานางตาไม่กะพริบ นางคุ้นเคยกับบรรยากาศเช่นนี้ดี จึงปราศจากความวิตกแต่อย่างใด รอยยิ้มสง่างามประทับบนใบหน้าของนาง ทันทีที่เอ่ยปาก กลับมีเสียงร้องที่ไม่อาจควบคุมได้ดังขึ้นมาว่า “กะต๊ากกกก”
…………………………..
[1] มงกุฏหงส์ เป็นเครื่องประดับศีรษะของจักรพรรดินีหรือกษัตรีย์