เมื่อได้ยินคำพูดของแอ่งน้ำสีดำ ใบหน้าหนึ่งผุดขึ้นในหัวไคลน์
ชายชราในชุดคลุมสีขาวซีด แซมด้วยแถบด้ายทองเหลือง ผมสีขาวโพลน หวีอย่างประณีต ดวงตาสีเทาเขียวน่าประทับใจ
ชายคนดังกล่าวอ้างตัวว่าเป็นนักบวชแห่งโบสถ์ปัญญาความรู้ รับผิดชอบเขตไบลัมตะวันตก มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเมซันเญส
ย้อนกลับไปในตอนนั้น มันต้องการพบดอนดันเตสด้วยเหตุผลที่ว่า ในอนาคตตนจะเผชิญปัญหายุ่งยาก และคนที่ตนพบปะในช่วงเวลาดังกล่าวคือผู้ที่ช่วยแก้ปัญหา
ไคลน์ไตร่ตรองสักพัก
“ลูก้าบรูว์สเตอร์?”
“ใช่… ผมเอง คุณยังจำได้!” ตามจุดต่างๆ บนชั้นหนังสือมายา แอ่งเงาดำเหลวรีบขานตอบ
แค่คราวนี้เสียงพูดมิได้สอดประสาน แต่เป็นการดังเหลื่อมกันและก้องกังวานไม่รู้จบ ไคลน์ซึ่งอยู่เบื้องหลังหุ่นเชิดจึงเกิดอาการหูอื้อพร้อมกับวิงเวียนศีรษะ
เสียงของเขาไม่ปรกติ เจ้าของเสียงเสี่ยงต่อภาวะคลุ้มคลั่งหรือไม่ก็ถูกกัดกร่อนทางจิต… ลำพังการมีอยู่ของชั้นหนังสือมายาคือเครื่องพิสูจน์… ขณะกระแสความคิดมากมายแล่นเข้ามาในหัวไคลน์ มันได้ยินเสียงเงาสีดำที่บ้างขดตัว บ้างยืดออก:
“ต้องขออภัยด้วย ผมตื่นเต้นเกินไป ยากจะควบคุมตัวเอง”
ไคลน์ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในเงามืดนอกคฤหาสน์ บังคับให้หุ่นเชิดโจนาส·โคลเกอร์พูด
“เกิดอะไรขึ้นกับคุณ ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้?”
เงาดำถอนหายใจพร้อมเพรียง:
“ผู้ตัดสินแห่งกองทัพเฟเนพ็อต เบลลาคอส และอาร์ชบิชอปแห่งโบสถ์พระแม่ธรณี ร่วมมือกันบุกโจมตีที่นี่โดยมีเป้าหมายหลักคือผม… ผมไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเผยร่างสัตว์ในตำนานเพื่อให้พวกเขาล่าถอยชั่วคราว… ถ้าคุณมาที่นี่โดยไม่สังเกตเห็นสิ่งใด แปลว่าคุณคงเดินทางด้วยพลังเทเลพอร์ต… คุณเองก็เป็นครึ่งเทพ คงทราบว่าเมื่อเผยร่างสัตว์ในตำนาน ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะกลับไปเป็นปรกติ… ในตอนนั้น ผมมีแนวโน้มที่จะเสียสติและใกล้คลุ้มคลั่ง แต่โชคดีที่เคยเป็น ‘ผู้ชี้นำศาสตร์ลับ’ มาก่อน จึงมีลูกไม้พิสดารแต่เปี่ยมประสิทธิภาพ ในช่วงเวลาวิกฤติ ผมผนึกตัวเองสำเร็จและตกอยู่ในสภาพปัจจุบัน… เฮ้อ… ภาวะเช่นนี้คงอยู่ได้ไม่นาน ความบ้าคลั่งยังคงกัดเซาะจิตใจอย่างต่อเนื่อง ผมติดต่อกับท่านพระคุณเจ้าไปแล้ว อีกไม่นานจะมีกำลังเสริมส่งมา แต่ผมไม่มั่นใจว่าตัวเองจะอดทนจนถึงตอนนั้นไหม… ผมได้แต่นึกสงสัยว่า เหตุการณ์ปัจจุบันจะใช่ ‘สถานการณ์ที่ยากลำบาก’ ซึ่งเคยตัวเองทำนายเอาไว้หรือไม่ และกังวลว่าบุคคลที่จะช่วยแก้ปัญหา จะปรากฏตัวขึ้นไหม… โชคดีที่คุณมา นั่นคือข้อพิสูจน์ว่าคำทำนายของผมแม่นยำและตีความได้อย่างไร้ที่ติ สภาพจิตใจของผมจึงดีขึ้นมาก…”
เป็นครึ่งเทพที่หมกมุ่นกับการทำนายความสำเร็จสินะ… ถ้าเราหันหลังกลับ จิตใจของเขาจะแตกสลายและคลุ้มคลั่งทันที… ไคลน์เริ่มไตร่ตรองข้อมูลที่ลูก้า·บรูว์สเตอร์มอบให้
กองทัพเฟเนพ็อตและโบสถ์พระแม่ธรณีกำลังเคลื่อนไหว!
ไคลน์บังคับให้หุ่นเชิดโจนาส·โคลเกอร์หยิบเหรียญทอง ดีดขึ้นฟ้าและเหยียดแขนออกไปรับ
ตามความเข้าใจของชายหนุ่ม นักบวชของเจ็ดโบสถ์หลักจะยอมสละชีวิตเพื่อรักษาความมั่นคงของกฎระเบียบ รวมถึงการปกป้องเหล่าสาวก จากมุมมองดังกล่าว แปลว่าลูก้าบรูว์สเตอร์นั้นไม่ใช่ปีศาจหรือมารร้าย
เนื่องด้วยความประทับใจที่มีต่อพลเรือโทธารน้ำแข็งและนักสืบไอเซนการ์ด·สแตนธอน ไคลน์จึงไม่รังเกียจโบสถ์ปัญญาความรู้ และถ้าไม่นับเรื่องที่ชอบดูถูกคนโง่และคนไม่ชอบเรียนหนังสือ พฤติกรรมด้านอื่นของโบสถ์นับว่าค่อนข้างดี
นั่นคงเป็นสาเหตุที่พวกเขามิอาจพัฒนาและหรือเติบโตได้มากนัก ทำได้แค่แฝงตัวอยู่กับอาณาจักรเล็กไม่กี่แห่ง… ไคลน์ไม่มองผลการโยนเหรียญ เพียงรำพันในใจสองสามคำก่อนจะถาม
“แล้วผมจะช่วยคุณได้ยังไง?”
“…” เงาดำซึ่งมีท่าทีกระวนกระวาย เงียบไปสองสามวินาทีก่อนจะตอบ “ผมเองก็ไม่ทราบ…”
ไคลน์จ้องมองแอ่งเงาดำ แอ่งเงาดำจ้องมองไคลน์ และต่างคนต่างเงียบงันเป็นเวลานาน
ถ้าอย่างนั้น ทำไมนายไม่ลองมาเป็นหุ่นเชิดของฉันล่ะ? ผ่านไปเกือบสิบวินาที ไคลน์รำพันจิกกัดในใจ
ท่ามกลางกระแสความคิด ชายหนุ่มเริ่มคิดเกี่ยวกับวิธีช่วยให้ลูก้าบรูว์สเตอร์กลับจากร่างสัตว์ในตำนาน
ว่ากันตามตรง นอกจากความประทับใจที่มีต่อโบสถ์ปัญญาความรู้และลูก้าบรูว์สเตอร์แล้ว อีกหนึ่งเหตุผลที่ไคลน์อยากช่วยก็คือ มันเดาว่าตนจะได้รับการตอบแทนอย่างมากจากอีกฝ่าย
อันดับแรกใน การเดินทางของกรอซายมีร่องรอยของเทพปัญญาความรู้หลงเหลืออยู่ และเนื่องจากไคลน์ยังไม่ทราบเจตนาที่แท้จริงของเทพตนดังกล่าว การทำดีต่ออีกฝ่ายก่อน ก็อาจช่วยให้ได้รับสิ่งที่ดีตอบแทนกลับมา ประเด็นที่สอง ถ้าโรซายล์ฟื้นคืนชีพสำเร็จ ทัศนคติของเทพปัญญาความรู้คือสิ่งที่สำคัญมาก
พิจารณาจากน้ำเสียงและท่าทีของวิญญาณมารเทวทูตสีชาด ไคลน์พอจะเดาได้เบื้องต้นว่า เมื่อเทียบกับยุคสมัยที่สี่ ทัศนคติของเจ็ดเทพจารีตที่มีต่อจักรพรรดิมืดเปลี่ยนแปลงไปมาก การตอบสนองไม่รุนแรงและเกรี้ยวกราดเหมือนเมื่อก่อน มีแนวโน้มที่จะยอมรับมากขึ้น แม้จะไม่ใช่คนที่พวกท่านเลือกไว้ในใจ
ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว หากจักรพรรดิโรซายล์คืนชีพ มีเพียงสองคนที่จะคัดค้านคือสุริยันเจิดจรัสและจักรกลไอน้ำ เพราะย้อนกลับในตอนที่โรซายล์ร่วงหล่น เทพทั้งสองน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องไม่มากก็น้อย
อย่างไรก็ตาม การต่อต้านคงไม่รุนแรงมากนัก ตราบใดที่โรซายล์ไม่เสียสติและขจัดมลพิษในดวงวิญญาณได้หมดจด เทพทั้งสองก็พร้อมจะยอมรับ เนื่องจากไม่ได้เป็นศัตรูกันโดยธรรมชาติ
สำหรับความบาดหมางดั้งเดิม เมื่อพิจารณาจากมุมมองของเทพ นั่นไม่ใช่ปัญหาที่ร้ายแรงถึงขนาดยอมกันไม่ได้ แต่แน่นอน ทั้งหมดเป็นแค่การคาดเดาของไคลน์ด้วยมุมมองทางประวัติศาสตร์และศาสตร์เร้นลับ เพราะต้องไม่ลืมว่า ในยุคเริ่มต้นของจักรวรรดิโซโลมอน นอกจากเทพจักรกลไอน้ำซึ่งยังไม่ถือกำเนิด หกเทพจารีตต่างเคยเป็นศัตรูกันมาก่อน สร้างความบาดหมางต่อกันไม่น้อย ท้ายที่สุดต้องดึง ‘จักรพรรดิมืด’ มาช่วยสมานความสัมพันธ์ ส่งผลให้จับมือกันอย่างเหนียวแน่นจวบจนปัจจุบัน
แม้แต่เทพในเส้นทางใกล้เคียงก็ยังปรองดองได้ในระดับหนึ่ง ดังนั้น ขอเพียงโรซายล์คืนชีพสำเร็จ ความบาดหมางในอดีตกับสุริยันเจิดจรัสและจักรกลไอน้ำก็มีสิทธิ์ที่จะบรรเทาลง
แต่แน่นอน จากอุปนิสัยของโรซายล์ ชายคนนั้นต้องหาทางเอาคืนแน่ ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น… ขอเพียงโรซายล์คืนชีพโดยไม่เสียสติและไม่กลายเป็นพวกสุดโต่ง เขาจะอ่านสถานการณ์ออกและเรียนรู้ที่จะรอโอกาสอย่างอดทน…
ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว ไคลน์เชื่อว่าผู้ที่สามารถยับยั้งการคัดค้านของสุริยันเจิดจรัสและจักรกลไอน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือวายุสลาตันและปัญญาความรู้ซึ่งอยู่บนเส้นทางใกล้เคียง
อย่างไรก็ตาม เกรงว่าการกัดกร่อนจากอวกาศจะขจัดออกไปได้ไม่ง่ายนัก โรซายล์ที่คืนชีพอาจกลายเป็นเทพมารเต็มตัว… แต่ประเด็นดังกล่าวไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ในอนาคต เมื่อเราเข้าใจสถานการณ์ดีพอ มีข้อมูลมากพอ ถึงตอนนั้นค่อยตัดสินใจอย่างละเอียดว่าจะทำยังไงกับโรซายล์ ถ้าเห็นท่าไม่ดีก็แค่ยกเลิกแผนการคืนชีพ เรื่องนี้ทำได้ง่ายอยู่แล้ว… มนุษย์ไม่ควรหวาดระแวงกับทุกสิ่งที่มีโอกาสเกิดปัญหา ไม่อย่างนั้นก็ไม่เป็นอันทำอะไร ลำพังการยืนกลืนน้ำลายก็ทำให้เทพมารลงมาจุติได้…
ในทำนองเดียวกัน สำหรับคำถามที่ว่า จะมีเทพตนใดคัดค้านการคืนชีพของโรซายล์บ้าง และคัดค้านรุนแรงมากแค่ไหน เรายังต้องรอข้อมูลประกอบในอนาคต จากนั้นค่อยตัดสินใจเลือกทางออกที่ทุกฝ่ายพึงพอใจ… สำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน หากต้องการยับยั้งจอร์จที่สาม แผนการทำลายพิธีกรรมในช่วงเวลาวิกฤตินั้นหวังผลได้มากที่สุด… ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์มองไปยังแอ่งเงาดำและกล่าวเชื่องช้า
“คุณทนได้อีกนานแค่ไหน?”
ลูก้าบรูว์สเตอร์ตรวจสอบสถานการณ์ก่อนจะตอบ
“เจ็ด… เจ็ดนาที”
คิดว่าจะเล่นมุก เจ็ด หก ห้า สี่ สาม เสียอีก… ไคลน์รำพันจิกกัด
“ผมจะพานักจิตบำบัดมาหา”
กล่าวจบ มันออกจากเงาดำในจุดที่ห่างจากคฤหาสน์เมซันเญสหลายร้อยเมตร ประกอบพิธีกรรมสังเวย ส่งยุบพองหิวโหยเข้าไปในมิติหมอก
จัดการเสร็จ ไคลน์นั่งลงบนเก้าอี้เดอะฟูล เสกเกอร์มันสแปร์โรว์และสวดวิงวอนเรียบง่าย
ปัจจุบันเป็นเวลาใกล้รุ่งสาง แต่ออเดรย์ที่ยุ่งอยู่กับงานการกุศลทั้งคืนยังไม่ได้นอน
รักษาครึ่งเทพที่มีภาวะเสี่ยงคลุ้มคลั่ง… เราจะได้รับคะแนนผลงานเป็นจำนวนมาก… ออเดรย์วางปากกาหมึกซึมในมือลง สวมเสื้อคลุมสีขาวที่มีลวดลายสีทอง
เฉกเช่นภารกิจก่อนหน้า เธอประกอบพิธีกรรมรับมอบเพื่อรับยุบพองหิวโหยและสวม ‘คำลวง’ ในรูปลักษณ์หน้ากาก และภายใต้ความคุ้มครองจากอ้อมกอดเทวทูต หญิงสาวเทเลพอร์ตไปยังคฤหาสน์เมซันเญสในไบลัมตะวันตกตามพิกัดที่เกอร์มันสแปร์โรว์ส่งมา
ข้อแตกต่างระหว่างคราวก่อนก็คือ เมื่อทราบว่าจะเผชิญหน้ากับครึ่งเทพ ออเดรย์ใช้คำลวงปรับเปลี่ยนสัดส่วนร่างกาย ออร่า และรูปลักษณ์ภายใต้หน้ากากเล็กน้อย
เพียงไม่นาน หญิงสาวได้พบกับเดอะเวิร์ลในร่างดอน·ดันเตส
“สำหรับครึ่งเทพตนดังกล่าว ปัจจุบันเขากลายเป็นแอ่งของหลวงสีดำ พยายามอย่าติดต่อกับกายปัญญาโดยตรง เพราะนั่นจะทำให้คุณได้รับภาวะเสี่ยงคลุ้มคลั่ง… หากพลังในปัจจุบันของคุณยังรักษาเขาไม่ได้ ผมจะให้ยืมตะกอนพลัง” ไคลน์มอบคำเตือน
ออเดรย์มิได้ขานตอบว่าเข้าใจแล้ว เธอมีความเป็นมืออาชีพสูงมากและทำเพียงฟังอย่างตั้งใจ
“ดิฉันจะลองดูก่อน”
เธอขยับเสื้อคลุมและเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว จากนั้นก็จ้องชั้นหนังสือมายาที่มีแอ่งของเหลวสีดำ
“โชคดีที่เขายังไม่คลุ้มคลั่งโดยสมบูรณ์” หลังจากตรวจสอบสองสามวินาที ออเดรย์กล่าวอย่างสุขุม
พร้อมกันกับคำพูดเปี่ยมความหมาย สายลม ‘ปลอบโยน’ ล่องหนพัดผ่านไปทางชั้นหนังสือ
แอ่งของเหลวสีดำยุบพองด้วยความถี่ต่ำลง คล้ายกับเริ่มบรรเทาความกังวล
ออเดรย์ใช้ปลอบโยนอีกสองสามหน จนกระทั่งสภาพจิตใจของลูก้าบรูว์สเตอร์กลับมามั่นคง เริ่มเปิดใจและให้ความร่วมมือกับออเดรย์
หญิงสาวใช้โอกาสดังกล่าวเพื่อเปิดประตูกายปัญญาของครึ่งเทพ แบ่งใช้ ‘ปลอบโยน’ หลายครั้งเพื่อขจัดการกัดกร่อน จากนั้นก็ใช้ ‘การชี้นำทางจิต’ เพื่อโน้มน้าวให้ลูก้าบรูว์สเตอร์เชื่อว่า หลังจากนี้ทุกสิ่งจะผ่านไปอย่างราบรื่น เพื่อให้อีกฝ่ายมีจิตใจเข้มแข็งพอสำหรับการสยบร่างสัตว์ในตำนานและกลับเป็นมนุษย์
เหตุผลที่ออเดรย์ต้องแบ่ง ‘ปลอบโยน’ ออกเป็นหลายครั้ง เพราะเผื่อไว้ในกรณีที่ว่า หากการกัดกร่อนทางจิตของลูก้าแว้งกลับมาเล่นงานตน ออเดรย์จะได้รีบถอยและรักษาตัวเองก่อน
ท้ายที่สุด หญิงสาวรักษาจนหายขาดพร้อมกับฝังการชี้นำ จากนั้นก็ก้าวถอยหลัง
“ท่านกลับไปเป็นมนุษย์ได้แล้ว”
ทันทีที่สิ้นเสียง ชั้นหนังสือมายาในห้องโถงพลันอันตรธานหาย แอ่งของเหลวสีดำไหลมารวมกันราวกับมีชีวิต บรรจงก่อตัวเป็นรูปร่างมนุษย์
สีดำเลือนหายไปในพริบตา เปลี่ยนกลับเป็นสีสันของลูก้าบรูว์สเตอร์ ครึ่งเทพเส้นทางนักอ่านถอนหายใจพร้อมกับยิ้ม
“ขอบคุณมาก… ในตอนที่ผมเห็นลำดับห้าของเส้นทางผู้ชมมาถึง นึกว่าตัวเองจะต้องกลายเป็นตะกอนพลังสำหรับสลับเส้นทางเสียแล้ว…”
ชายชราคนนี้พูดจาตรงไปตรงมาดี… ตรงจนเราตอบสนองไม่ถูก… ไคลน์หันไปมองจัสติส ออเดรย์ และพบว่าหญิงสาวกำลังปิดตาสนิท
เชี่ย… ไคลน์รีบหันไปพูดกับลูก้าบรูว์สเตอร์
“ลืมเรื่องนั้นไปก่อน… สิ่งที่คุณควรกังวลในตอนนี้คือเสื้อผ้า”
………………………………….