“ศิษย์พี่ ท่านต้องไปหาข้าที่หุบเขาพันใบ ข้าก็พอจะมีหน้ามีตาที่นั่นบ้าง” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ได้” หลิวหลีพยักหน้าอย่างไม่ยี่หระ
“ข้าขอตัวล่ะ” ซ่างกวนอวี้พูดจบก็โยนกระบี่เวหาของเขาออกมาแล้วจากไป
หลิวหลีเห็นซ่างกวนอวี้เดินทางไปแล้ว นางจึงกลับมายังที่พักที่นางเช่าอยู่ในตอนแรก นางเอาแผ่นค่ายกลออกมาแล้วหยิบกล่องเล็กๆที่เจอในตอนนั้นออกมาเช่นกัน
“หลิวหลี ข้างในนั้นคือสิ่งใด?” เนื่องจากนางเคลื่อนไหวรวดเร็ว เอ๋าเลี่ยจึงมองไม่ชัดว่าของในนั้นคือสิ่งใด
“รอเดี๋ยว” หลิวหลีพูดจบก็หยิบแผนที่แผ่นหนึ่งออกมาและเอากระดาษที่อยู่ข้างในกล่องมาต่อเข้าด้วยกัน กลายเป็นแผนที่ที่สมบูรณ์ปรากฏแก่สายตาของหลิวหลี
“นี่ นี่มันที่ตั้งของเพลิงวิญญาณไม้” เอ๋าเลี่ยเอ่ยขึ้นมาอย่างตกตะลึง หาแผนที่ฉบับสมบูรณ์ได้เร็วขนาดนี้ได้อย่างไรกัน จะโชคดีเกินไปแล้ว แต่พอคิดๆดูแล้วว่า แนวเขตต้องห้ามที่ยาวเป็นพรวนนั่น ถ้าไม่ใช่เพราะจื่อฉีแทะกินพวกมันได้ล่ะก็คงจะหาของในนั้นไม่เจอ
“อืม นี่เป็นเพียงหนึ่งในนั้น เจ้าลองดูข้างในกล่องเล็กๆนี่สิ” นางยื่นให้เอ๋าเลี่ยดู
“หินเปลี่ยนสี!” น้ำเสียงของเอ๋าเลี่ยเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ของสิ่งนี้มาถึงมือเขาได้ช่างน่าตื่นเต้นเสียจริง
“ใช่แล้ว ที่จริงการได้แผนที่มาเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย เพราะข้าเห็นหินเปลี่ยนสีถึงได้รีบเก็บมันทันที หากแต่ว่าผลที่ได้กลับใช้ได้ทีเดียว อย่างน้อยข้าจะสามารถบรรลุช่วงอมตะได้แล้ว” หลิวหลีพูดพลางบีบมืออย่างดีใจ การเดินทางครั้งนี้ช่างคุ้มค่านัก
“เช่นนั้นแล้วเจ้าวางแผนจะทำอย่างไรต่อไป?”
“ก่อนอื่นเลยต้องเดินทางไปหัวเมืองที่ไม่ไกลจากที่นี่ ที่นั่นน่าจะมีสำนักสาขาของสำนักเมฆาคล้อย ไหว้วานพวกเขาให้ช่วยส่งตำราป้ายหยกกลับสำนัก”
“เจ้าไม่กลัวว่าพวกเขาจะขโมยหรือ?” เอ๋าเลียถาม ของสิ่งนี้เย้ายวนใจไม่น้อย
“ไม่กลัว ข้าจะใส่เพลิงอัสนีครามลงในถุงเก็บของ ถ้าไม่กลัวตายก็เปิดเลย ส่วนวิธีแก้ข้าค่อยบอกอาจารย์ที่หลัง” หลิวหลีพูดพลางลูบคาง เอ๋าเลี่ยถึงกับเหงื่อตก นังหนูช่างโหดเหี้ยมเสียจริง
“แล้วตำราป้ายหยกพวกนี้ก็ถูกทิ้งไว้ที่นี่แล้วสิ” เอ๋าเลี่ยเอ่ยขึ้นอย่างติดเสียดายอยู่บ้าง
“ไม่หรอก ข้ายังมีอีกชุด เจ้าซ่างกวนอวี้ห่วยมาก ตำราป้ายหยกพวกนี้ข้าคัดลอกสามวันก็เสร็จแล้ว” หลิวหลีพูดอย่างดูถูก เอ๋าเลี่ยอ้าปากค้างพูดไม่ออก ไม่ใช่ว่าทุกคนจะฝืนชะตาฟ้าเช่นเจ้าได้นะ นังหนู
หลิวหลีจึงเดินทางต่อไปที่หัวเมือง เมื่อพบสำนักสาขาของสำนักเมฆาคล้อย นางก็แสดงป้ายหยกแสดงสถานะของนาง และมอบถุงเก็บของให้คนดูแล และกำชับข้อควรระวัง และได้ทิ้งหินวิญญาณจำนวนหนึ่งไว้ให้ แล้วจึงเดินออกไปอย่างสบายใจ
สิบวันต่อมาเสวียนอวี่ก็ได้รับถุงเก็บของของหลิวหลี แล้วจึงส่งข่าวบอกศิษย์พี่ เมื่อทั้งสองคนเปิดออกจึงพบว่าข้างในมีตำราป้ายหยกมากมายก็พูดไม่ออก
“หลิวหลีไปปล้นสำนักไหนมาหรือ” หลังจากเสวี่ยนอวี่ดูเสร็จก็พูดได้เพียงเท่านี้
“เห็นบอกว่าเจอหลังจากถูกปล้น ใช่แล้ว นังหนูบอกว่าคนชื่อซ่างกวนอวี้คัดลอกไปชุดหนึ่ง” เสวียนหั่วคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น
“นายน้อยซ่างกวนอวี้แห่งหุบเขาพันใบ” เสวี่ยนอวี่รู้สึกว่าหลิวหลีเป็นผู้มีบุญมากแน่นอน
“อืม ตำราป้ายหยกพวกนี้ค่อนข้างมีประโยชน์กับผู้บำเพ็ญธาตุพฤกษา ส่วนผู้บำเพ็ญธาตุพฤกษาของสำนักเมฆาคล้อยเราก็ค่อนข้างอ่อนแอ ในตำราเหล่านี้มีเคล็ดวิชาที่ใช้ในการโจมตีของผู้บำเพ็ญเพียรธาตุพฤกษาไม่น้อยเลย เพื่อใช้ชดเชยในข้อบกพร่องของพวกเขา โชคดีจริง ๆ” เสวียนหั่วกล่าว
“ศิษย์พี่พูดถูก ศิษย์พี่ ท่านคิดว่าข้าควรจะให้รางวัลอะไรแก่หลิวหลีดี” เสวียนอวี่ขมวดคิ้วมุ่น ของที่นังหนูนำกลับดีเหลือเกิน เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรให้ของสะสมชิ้นใดของตนเองให้แก่นางบ้าง
“รอให้นางกลับมาแล้วค่อยว่ากันเถอะ” เสวียนหั่วพูดพลางลูบเครา
“แล้วทำไมนางถึงยังไม่กลับมา?” ของสำคัญแบบนี้เหตุใดนางจึงไม่นำกลับมาด้วยตนเอง
“ดูเหมือนว่านางจะไปเมืองต้าเยี่ยแล้ว” เสวียนหั่วพยายามคิด แต่ก็ไม่เข้าใจว่าที่นั่นมีอะไรดึงดูดนาง คงไม่ใช่เพลิงอัคคีหรอกนะ แต่พอลองคิดดูอีกครั้ง เพลิงอัคคีไม่ใช่ผักกาดขาวที่หาเจอได้ง่ายๆสักหน่อย เป็นไปได้อย่างไรกัน เสวียนหั่วไม่รู้เลยว่าความคิดของเขานั้นใกล้เคียงความจริงมาก
“เมืองต้าเยี่ยหรือ” เสวียนอวี่มทวนอีกรอบ
“นังหนู เจ้าแน่ใจหรือว่าอยู่ที่เมืองต้าเยี่ย” เอ๋าเลี่ยถามหลิวหลี
“ก็ตำแหน่งบนแผนที่อยู่ตรงตำแหน่งเมืองต้าเยี่ยเลย” หลิวหลีมองแผนที่แล้วเอ่ย
“เจ้าหนู เจ้าไม่คิดว่าจื่อฉีสะดุดตาไปหรือเปล่า” เขาใช้สายตาจริงจังมองนางที่กำลังอุ้มจื่อฉีอยู่
“จื่อฉีเจ้าแปลงร่างได้หรือไม่” สะดุดตาเกินไปจริงๆ หากถูกปล้นขึ้นมานางคงจะเอาชนะไม่ได้
จื่อฉีขยับตัวแปลงกายเป็นลูกแมวสีม่วง
“เปลี่ยนใหม่ได้ไหม พี่สาวไม่ชอบแมว “ใช่แล้ว หลิวหลีไม่ชอบแมว สุนัขก็ไม่ชอบ
“เปลี่ยนเป็นลูกจิ้งจอกแล้วกัน” หลิวหลีคิดสักครู่จึงเอ่ยออกมา สามารถเอามาพาดบนคอได้
จื่อฉีจึงยอมเปลี่ยนเป็นลูกจิ้งจอกแต่โดยดี
“เอ๋าเลี่ย จื่อฉีจะพูดได้เมื่อไหร่” หลิวหลีจิ้มท้องของจื่อฉีพลางพูดขึ้น
“คิดว่าใกล้แล้วล่ะ” เอ๋าเลี่ยคำนวณก่อนจะตอบ
“เจ้าต้องรีบหาเพลิงวิญญาณไม้ อาจารย์ของเจ้ารอเจ้าเข้าร่วมงานชุมนุมยาศักดิ์สิทธิ์เพื่อแสดงความสามารถอยู่นะ”
“เรื่องนี้ข้าเข้าใจ ข้าก็อยากจะค้นหาเพลิงวิญญาณไม้ให้พบเร็ว ๆ เพียงแต่รู้สึกว่าพลังบำเพ็ญเพียรของข้านั้นยังไม่แข็งแกร่งพอ หากผลีผลามดูดซึมเพลิงวิญญาณไม้เข้าไปอาจเกิดอันตรายได้” หลิวหลีเล่าความคิดของตนออกมา
“ก็ใช่ ไม่สู้เจ้าบำเพ็ญเพียรให้ช่วงพลังสูงขึ้นแล้วเราค่อยตามหาเพลิงวิญญาณไม้กัน” นั่นก็จริง หากพลังบำเพ็ญเพียรไม่สูงพอ แล้วดึงดันดูดซึมเพลิงอัคคีเข้าไปอาจทำให้เกิดอันตรายได้
“ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วเจ้าคิดจะทำเช่นไรต่อไป” เอ๋าเลี่ยถาม นังหนูไม่ใช่เด็กสาวเซ่อซ่าเหมือนก่อนอีกแล้ว นางรู้จักวางแผนมีหลักการมากขึ้นแล้ว
“เส้นทางไปเมืองต้าเยี่ยต้องผ่านหมู่บ้านเพลิงอัคคี ที่นั่นส่งผลดีต่ออสูรภูตอัคคีและผู้บำเพ็ญเพียรธาตุอัคคี ข้าอยากจะไปบำเพ็ญเพียรที่นั่นสักหน่อย ลูกแก้วเพลิงอัคคีของที่นั่นยังมีมูลค่ามากอีกด้วย” หลิวหลีบอกความตั้งใจ
“ไม่แน่เจ้าอาจจะได้เจอวิญญาณเทพอัคคี” เอ๋าเลี่ยพูดล้อเล่นออกมา
“เจ้าคิดว่าพวกสรรพวิญญาณในฟ้าดินกับเพลิงอัคคีเป็นผักกาดหรือ ที่ข้าจะหาเจอได้ง่ายๆ” หลิวหลีรู้สึกว่าทำไมคำพูดของเอ๋าเลี่ยฟังแล้วเหมือนว่าขอแค่เป็นสมบัตินางก็สามารถหาเจอได้ทั้งนั้น
“หมู่บ้านเพลิงอัคคีมีอัคคีอยู่ทุกที่ ไม่แน่อาจจะมีวิญญาณเทพอัคคีจริงๆ เจ้าอย่าลืมว่าเจ้าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรผู้ลึกซึ้งในวิถีธาตุอัคคี” เอ๋าเลี่ยเตือนขึ้นมา
“วิถีธาตุอัคคีใช้เช่นนี้ได้ด้วยหรือ?” หลิวหลีอดหวนคิดถึงในตอนแรกที่นางพินิจพิจารณาวิถีธาตุอัคคีในตอนนั้น แล้วยังมีวิญญาณเทพเหมันต์ที่โชคร้ายนั่น แล้วก็เสี่ยวเทียน เฮ้อ…ไม่รู้ว่าเสี่ยวเทียนจะพบสิ่งที่เขาต้องการหาหรือไม่นะ
“นังหนู เจ้ารู้น้อยเกินไปแล้ว เมื่อลึกซึ้งในวิถีธาตุอัคคีแล้วจะเท่ากับว่าเจ้าเป็นผู้นำของพลังเซียนอัคคีเลยนะ” เอ๋าเลี่ยหาคำมาอธิบาย
“มันเหมือนว่าข้าทำเรื่องยิ่งใหญ่โดยไม่รู้ตัวมากกว่า” หลิวหลีพูดด้วยท่าทีเคร่งขรึม น้ำเสียงได้ใจเล็กน้อย
“นังหนู ไม่แน่อาจจะหาเจอจริงๆก็ได้”
“เพราะได้หินนิลกาฬก้อนนั้นมา ข้าก็ไม่ได้คิดจะรวบรวมวิญญาณทั้ง 5 ธาตุเพื่อรวมเป็นมิติเล็กๆหรอกนะ” หลิวหลีบอกความตั้งใจเดิมของนางออกมา อย่างไรเสียสรรพสิ่งในธรรมชาติเหล่านี้จะเจอได้ง่ายๆที่ไหนกัน ผลคือตัวนางเองมีวารีและพฤกษาแล้ว คราวนี้อาจจะได้อัคคีมาด้วย
“นังหนู เอาตามเจ้าเลย ทุกอย่างล้วนเป็นไปได้ แม้ว่าเจ้าจะไม่ได้ร้องขอ แต่สิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องใช้ เจ้าจะได้มาเอง” เอ๋าเลี่ยครุ่นคิดสักพักจากนั้นจึงอธิบายออกมา
“ก็จริง ออกเดินทางไปหมู่บ้านเพลิงอัคคีกัน” หลิวหลียื่นมือออกไปอย่างองอาจ
แม่ครัวยอดเซียน – ตอนที่ 44 ออกเดินทางไปหมู่บ้านเพลิงอัคคี
Posted by ? Views, Released on October 6, 2021
, แม่ครัวยอดเซียน
นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค-ฝึกเซียนที่นางเอกทำอาหารเก่งมาก อ่านไปหิวไปแน่นอน!
นางย้อนเวลามาอยู่ในร่างของ ‘หลี่หลิวหลี’ ลูกนอกสมรสของตระกูลเศรษฐี และมีชะตาแห่งเซียน!
หลังจากจากเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตนเพื่อเป็นเซียน นางก็ได้หินเหล็กชิ้นหนึ่งมาโดยบังเอิญ
จึงต้องตามรวบรวมเพลิงอัคคีทั้ง 9 เพื่อสร้างมิติของตนเอง
แถมงูตัวสีแดงที่เก็บกลับมายังเป็นถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างมังกรโลหิต!
เท่านั้นยังไม่พอ เด็กน้อยที่เก็บ(?)ได้ดันเป็นชายหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งแห่งโลกเซียน!!
เส้นทางการเป็นเซียนของหลิวหลีช่างดูรุ่งโรจน์และราบรื่น ทว่า…
นางใฝ่ฝันมาตั้งแต่ชาติที่แล้วว่าอยากเป็นแม่ครัว
ดังนั้น นางจึงไม่แยแสว่าที่แห่งนี้คือโลกแห่งเซียน
ฝึกตนแล้วอย่างไร? บำเพ็ญเพียรแล้วอย่างไร? เป็นเซียนแล้วเป็นแม่ครัวด้วยไม่ได้รึ?
แม้จะต้องบำเพ็ญเพียรวิถีเซียน แต่วิถีแม่ครัวนางก็จะไม่ละทิ้งเด็ดขาด!