หลิวหลีจากไปไม่นาน หลงจิ่งหลินและเอ๋าตงก็เจอหลี่หลินเข้า เพียงแต่หลงจิ่งหลินและเอ๋าตงกลับพบว่าหลุมศพของน้องสาวนั้นว่างเปล่า ยิ่งทำให้เขารู้สึกอัศจรรย์ใจอย่างมาก ทั้งยังได้ทราบว่าตนมีหลานสาวหนึ่งคนนามว่าหลิวหลี ได้เริ่มฝึกฝนบำเพ็ญเพียรแล้วและยังฝึกฝนวิชาได้ไม่เลวอีกด้วย ส่วนเรื่องทิศทางที่นางมุ่งไปนั้น หลี่หลินก็ไม่ทราบแน่ชัด
“อาตงเอ๋ย เจ้าว่าข้าควรจะไปตามเด็กสาวชื่อหลิวหลีคนนั้นแห่งหนใดดีเล่า” เมื่อได้รู้ว่าน้องสาวมีลูกอยู่หนึ่งคน หลงจิ่งหลินจึงตื่นเต้นมาก ยิ่งได้รู้ว่าเป็นเด็กสาวและมีคุณสมบัติแกนวิญญาณอัคคี เขาก็ยิ่งตื่นเต้นเข้าไปใหญ่ เพราะสมัยนี้ผู้มีคุณสมบัติเป็นแกนวิญญาณเดี่ยวธาตุอัคคีนั้นหายากมาก หากเป็นคนสกุลหลงก็นับว่าคุณสมบัติอันดีเลิศยิ่ง ต้องให้นังหนูทำพันธสัญญากับมังกรที่ดีสักตัวเฉกเช่นอาตงให้ได้
“สืบได้ความแล้วมิใช่หรือ ปัจจุบันนางเป็นศิษย์อยู่สำนักเมฆาคล้อย เจ้ายังกลัวจะหานางไม่พบอีกหรือ” เอ๋าตงกล่าว
“ก็จริง เด็กคนนี้จากไปแล้วก็คงกลับไปที่สำนัก ข้าต้องรีบตามไปไม่แน่อาจจะได้พบกัน” หลงจิ่งหลินตระหนักขึ้นได้ จากนั้นก็เร่งเอ๋าตงให้รีบเดินทาง
ขณะนี้หลิวหลีมาถึงสถานที่ที่ค้นพบพลังเซียนในตอนนั้นแล้วพลางถอนหายใจ เคราะห์ดีที่นางมีไข่มุกแหวกนที มิเช่นนั้นนางจะหาเจอได้อย่างไร นางสูดหายใจเข้าลึกถือไข่มุกแหวกนทีแล้วดำลงทะเลไป พอดิบพอดีกับที่หลงจิ่งหลินและเอ๋าตงผ่านมาละแวกนั้นพลันรู้สึกถึงคลื่นพลังเซียนเช่นกัน เพียงแต่เร่งรีบตามหาตัวหลานสาวมากเกินไป หลงจิ่งหลินจึงมิได้หยุดดู
ณ สำนักเมฆาคล้อย เสียงกึกก้องดั่งฟ้าร้องดังมาจากหอปรุงยา หงส์เหมันต์ตัวหนึ่งสยายปีกบิน ระลอกพลังเซียนกระเพื่อมขึ้นลงอย่างบ้าคลั่ง หนานกงเวิ่นเทียนครอบครองปราณอมตะที่คุ้นเคยได้สำเร็จ ส่วนภาพนิมิตถูกเสวียนหั่วและเสวียนหลิงร่วมมือกันอำพรางไว้อย่างรวดเร็ว
หนึ่งเดือนต่อมาหนานกงเวิ่นเทียนออกจากฌาน พลังบำเพ็ญเพียรบรรลุช่วงอมตะระยะต้นขั้นสุดยอด พลังบำเพ็ญเพียรของเขาเหนือกว่าในอดีตไปแล้วหนึ่งก้าว
“ไม่น่าเชื่อว่าเพียงห้าปีก็ออกจากฌานแล้ว เร็วกว่าที่ข้าคาดการณ์ไว้เสียอีก” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว
“ใช่ เป็นเพราะวิญญาณเทพเหมันต์ คุณสมบัติร่างกายของเจ้าจึงถูกบดบังไป เสริมกับกระดิ่งของนังหนู ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่มีช่วงพลังสูงส่งก็คงจะมองไม่ออก” เฟิงอิงเสวี่ยรู้สึกท้อแท้
“ถูกต้อง อิงเสวี่ย บางครั้งข้าก็คิดว่าตัวข้านั้นดวงแข็งพอสมควร และคำทำนายของหอเทียนจีเก๋อก็เชื่อถือได้อยู่เหมือนกัน ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กนั่นจะเป็นอย่างไรบ้าง” หนานกงเวิ่นเทียนนึกถึงเด็กน้อยที่แสนใจดี ใจก็อ่อนยวบลงมาไม่น้อย คิดๆแล้วเด็กนั่นก็อายุได้สิบแปดปีแล้ว คงจะโตเต็มวัยเป็นสาวแล้ว
“อะไรนะ เจ้าเด็กนั่นลงจากเขาไปครึ่งปีแล้วงั้นหรือ” หนานกงเวิ่นเทียนได้ยินมาว่าหลิวหลีออกจากฌานตั้งแต่ครึ่งปีก่อนแล้วลงเขาออกเดินทางเพื่อท่องโลกและรู้เรื่องเคล็ดวิชาพิลึกของนาง หลิวหนีนี่ช่างกล้าหาญเสียเหลือเกิน เคล็ดวิชาที่ผู้อาวุโสมากมายยังไม่กล้าจะลองแต่หลิวหลีกลับกล้าที่จะฝึกบำเพ็ญ
“ใช่แล้ว เห็นว่าไปแสวงโชค” เสวียนหั่วพูดอย่างปลงๆ นี่ก็ครึ่งปีแล้วยังไม่มีข่าวคราวเลย
“เรียนท่านอาจารย์ลุง เจ้าสำนักให้มาเชิญขอรับ” เวลานี้เสียงของจื่อซูดังลอยมา
“ศิษย์น้องเจ้าสำนักมีเรื่องอันใดรึ” ศิษย์น้องเจ้าสำนักเรียกหาเขา ช่างแปลกเสียจริง
“ท่านอาจารย์ลุง ด้านหน้ามีแขกมาสองท่านขอรับ เกี่ยวข้องกับท่านอาจารย์อา” จื่อซูกล่าวบอก
“เข้าใจแล้ว” เสวียนหั่วขมวดคิ้ว เกี่ยวข้องกับหลิวหลีหรือ
จื่อซูเห็นว่าอาจารย์ได้ทราบแล้วจึงเตรียมเดินจากไป
“ท่านลุงเสวียนหั่ว มีเรื่องอะไรหรือ” หนานกงเวิ่นเทียนเห็นเสวียนหั่วกำลังครุ่นคิดจึงเอ่ยถามออกไปอย่างอดไม่ไหว
“มีคนมาหาหลิวหลี ช่างเถอะ ข้าไปดูสักหน่อยแล้วกัน” เสวียนหั่วรู้สึกว่าต้องไปเจอสักหน่อย
“ผู้อาวุโสเสวียนหั่ว” หลงจิ่งหลินและเอ๋าตงลุกขึ้นพูดอย่างมีสัมมาคารวะ
“คนสกุลหลง เผ่ามังกรหรือ? ไม่ทราบพวกท่านมาหาข้าด้วยเรื่องอันใด” เสวียนหั่วเห็นผู้มาเยือนก็พลันเข้าใจอยู่บ้าง
“ขอรับ หลงจิ่งหลินแห่งสกุลหลง ท่านนี้คือเอ๋าตง คู่พันธสัญญาของข้า” หลงจิ่งหลินพยักหน้า
“ไม่ทราบท่านมาหาข้าด้วยเรื่องอันใด”
“ข้าไม่ปิดบังท่านแล้วกัน หลิวหลี ลูกศิษย์ท่านน่าจะเป็นหลานสาวของข้า” หลงจิ่งหลินพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย
“แน่ใจได้อย่างไร”
“เรื่องนี้ ว่ากันตามตรงข้าก็ยังไม่แน่ใจเต็มร้อยนัก คงจะดีกว่าหากท่านเรียกลูกศิษย์ของท่านออกมา หากข้าทั้งสองเป็นญาติกันจริง ปฏิกิริยาของสายเลือดจะต้องรุนแรงมากแน่นอน” หลงจิ่งหลินพูดในสิ่งที่ตนคิด
“อืม พูดตามความจริงข้าก็มั่นใจอยู่เก้าส่วนว่าศิษย์ข้าคือคนสกุลหลงของเจ้าจริง ๆ” เสวียนหั่วพูดอย่างไม่ปิดบังเช่นกัน
“ท่านพูดจริงหรือ” หลงจิ่งหลินประหลาดใจเล็กน้อย ไม่น่าเชื่อว่าจะรู้เรื่องมากกว่าเขาเสียอีก
“จริงสิ สิ่งที่คนสกุลหลงอย่างเจ้าภาคภูมิใจที่สุดคือการทำพันธสัญญากับเผ่ามังกร ศิษย์ของข้าก็ผูกพันธสัญญากับเผ่ามังกรเช่นกัน” เสวียนหั่วเอ่ยพลางพยักหน้า เสวียนอวี่ที่ทำตัวเป็นดอกไม้ริมกำแพงอยู่ตลอดก็ต้องประหลาดใจ โอ้โห…ภูมิหลังของศิษย์น้องนี้ไม่เบาเลยทีเดียว
“ท่านจะบอกว่า หลานสาวข้าทำพันธสัญญากับเผ่ามังกรหรือ?” ข่าวใหญ่ขนาดนี้ หลงจิ่งหลินสบตาเอ๋าตง ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าจะมีเผ่ามังกรเร่ร่อนอยู่ภายนอก?
“ใช่ ส่วนเรื่องคู่พันธสัญญาของนางคือใครนั้น ข้าไม่ขอพูดแล้วกัน ถึงอย่างไรพวกเจ้าก็คงได้พบกันไม่ช้าก็เร็ว ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดหลิวหลีถึงได้เร่ร่อนพเนจรในโลกมนุษย์ ข้าหารู้แน่ชัดไม่” เสวียนหั่วพยักหน้าแล้วกล่าว
“ไม่ทราบว่าตอนนี้หลานข้าอยู่แห่งหนใด ท่านผู้อาวุโส” นี่เป็นเรื่องที่หลงจิ่งหลินกังวล เพราะเมื่อเจอหน้ากันจะสามารถใช้สัมผัสทางสายโลหิตทดสอบดูก็รู้แล้ว
“ว่าตามความจริง เจ้าเด็กนั่นออกไปแสวงโชค ตอนนี้คงจะอยู่ที่โลกมนุษย์” เสวียนหัวคิดแล้วพูดออกไป
“โลกมนุษย์หรือ ข้าเพิ่งกลับมาจากโลกมนุษย์ นางยังไม่กลับมาหรอกหรือ” หลงจิ่งหลินประหลาดใจเล็กน้อย
“ตัดพันธะกรรมเสร็จแล้วขนาดนี้เลยหรือ แต่ทว่านางยังไม่ได้กลับมา น่าจะยังอยู่อยู่ในโลกมนุษย์” เสวียนหั่วว่า
“ยังอยู่โลกมนุษย์ อยู่ที่ไหนนะ?” หลงจิ่งหลินพึมพำเสียงเบา
“ข้าก็ไม่แน่ใจเรื่องนี้นัก” เสวียนหั่วไม่รู้จริงๆเพราะโลกมนุษย์มีพลังเซียนเบาบาง มีสิ่งใดคู่ควรให้นางอาวรณ์นะ
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโส หากพบตัวหลิวหลี สกุลหลงของข้าจะขอขอบคุณท่านอย่างสุดซึ้ง” หลงจิ่งหลินพูดด้วยท่าทีจริงจัง
“ช้าก่อน ข้าจะไปกับท่านด้วย” เสียงของหนานกงเวิ่นเทียนดังขึ้น
“ท่านคือ?” หลงจิ่งหลินจ้อง ท่านผู้นี้ช่างคุ้นหน้านัก
“ข้านามว่าเวิ่นเทียนของสกุลหนานกงแห่งเผ่าหงส์ คารวะผู้อาวุโสหลง” ผู้อาวุโสเอ๋า หนานกงเวิ่นเทียนคารวะอย่างนอบน้อม
“เด็กสกุลหนานกง เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร สกุลหนานกงในโลกอสูรเทพออกคำสั่งให้จับตัวเจ้า คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะอยู่ที่นี่” หลงจิ่งหลินมองผู้ถูกเลือกของสกุลหนานกงผู้นี้ น่าเสียดาย เรื่องราวทั้งหมดสกุลหนานกงได้ชี้แจงชัดเจน คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าเด็กคนนี้จะมีคุณสมบัติร่างกายที่หาได้ยากยิ่ง สกุลหนานกงต่างพากันตกใจ ไม่รู้ว่าเหตุใดข่าวถึงถูกแพร่ออกไปได้ ผู้คนจับจ้องเด็กคนนี้ราวกับเสือจะกินเหยื่ออย่างไม่ปิดบัง
“พ่อแม่ข้าลำบากหรือไม่?” หนางกงเวิ่นเทียนเห็นว่าคนสกุลหลงรับรู้จึงอดไม่ได้ถามออกไป
“ได้ยินว่าถูกจับขังไว้” หลงจิ่งหลินนึกถึงคำเล่าลือในโลกอสูรเทพ แต่เอ๊ะ…ดูแล้วไม่น่าจะใช่ เล่ากันมาผิดๆกันหรือเปล่า
“เหอะๆ เจ้าหนุ่มสกุลหลงเอ้ย เจ้าเด็กนี่เป็นบุตรเขยในอนาคตของสกุลหลงท่าน นังหนูของพวกท่านเป็นร่างวิญญาณอัคคี ร่างเพลิงสุริยาซึ่งเข้ากับร่างวิญญาณเหมันต์ ร่างเหมันต์จันทราของเด็กคนนี้ได้พอดิบพอดี” เสวียนหั่วเอ่ยปาก
หลงจิ่งหลินพูดไม่ออก คิดไม่ถึงว่าคุณสมบัติร่างกายของหลานสาวคนดีจะเป็นเช่นนี้ ภายหน้ายิ่งเห็นหน้าหนานกงเวิ่นเทียนก็ยิ่งสบายใจ ก็ถือว่าพอทู่ซี้ให้คู่ควรกับหลานสาวของพวกเขาได้อยู่บ้าง
“ท่านผู้อาวุโส ข้ายังกลับไปโลกอสูรเทพไม่ได้ ผู้อาวุโสได้โปรดช่วยพ่อแม่ข้าทีเถิด เวิ่นเทียนจะไม่ลืมบุญคุณเลย” หนานกงเวิ่นเทียนพูดด้วยท่าทีจริงจัง
“ได้ เห็นแก่หลานสาวของข้า ข้าจะช่วยเจ้า” เฮ้อ เขยในอนาคต คิดไม่ถึงว่าหลานสาวได้เลือกแล้ว
“ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโส”
“ใช่สิ ข้าต้องไปตามหาหลานสาวในโลกมนุษย์ เหตุใดเจ้าถึงอยากไปด้วย” หลงจิ่งหลินแสร้งทำเป็นเอ่ยถามด้วยความมึนงง
“เรียนท่านผู้อาวุโสตามตรง หลิวหลีมีบุญคุณต่อข้ามาก ข้าต้องไปตามหานาง” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าวอย่างเปิดเผย แท้จริงแล้วในใจหาได้คิดเช่นนั้น เขาแค่อยากเจอนังหนูคนกล้าแต่ใจอ่อนคนนั้นต่างหาก
……………………………………………………
แม่ครัวยอดเซียน – ตอนที่ 35 จิ่งหลินสกุลหลง
Posted by ? Views, Released on October 6, 2021
, แม่ครัวยอดเซียน
นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค-ฝึกเซียนที่นางเอกทำอาหารเก่งมาก อ่านไปหิวไปแน่นอน!
นางย้อนเวลามาอยู่ในร่างของ ‘หลี่หลิวหลี’ ลูกนอกสมรสของตระกูลเศรษฐี และมีชะตาแห่งเซียน!
หลังจากจากเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตนเพื่อเป็นเซียน นางก็ได้หินเหล็กชิ้นหนึ่งมาโดยบังเอิญ
จึงต้องตามรวบรวมเพลิงอัคคีทั้ง 9 เพื่อสร้างมิติของตนเอง
แถมงูตัวสีแดงที่เก็บกลับมายังเป็นถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างมังกรโลหิต!
เท่านั้นยังไม่พอ เด็กน้อยที่เก็บ(?)ได้ดันเป็นชายหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งแห่งโลกเซียน!!
เส้นทางการเป็นเซียนของหลิวหลีช่างดูรุ่งโรจน์และราบรื่น ทว่า…
นางใฝ่ฝันมาตั้งแต่ชาติที่แล้วว่าอยากเป็นแม่ครัว
ดังนั้น นางจึงไม่แยแสว่าที่แห่งนี้คือโลกแห่งเซียน
ฝึกตนแล้วอย่างไร? บำเพ็ญเพียรแล้วอย่างไร? เป็นเซียนแล้วเป็นแม่ครัวด้วยไม่ได้รึ?
แม้จะต้องบำเพ็ญเพียรวิถีเซียน แต่วิถีแม่ครัวนางก็จะไม่ละทิ้งเด็ดขาด!