นิ้วมืออันเย็นยะเยือกเกร็งไปหมด ริมฝีปากสั่นคลอนเล็กน้อย เธอเคยพยายามแล้วครั้นรักไม่ได้ หรือว่าต้องหลอกตนเองและผู้อื่นตลอดชาติงั้นหรือ
มือใหญ่ ๆ ที่กุมมือของเธออยู่จึงได้สั่นตามไปด้วย “คุณแลกเปลี่ยนกับเฉินเป่ยชวนเพื่อผมและลู่กรุ๊ป เฉี่ยนเฉียน คุณไม่ใช่ว่าไม่มีผมอยู่ในใจของคุณ”
เมื่อเขาทราบว่าการระงับเงินทุนนั้นได้ปลดแล้ว และทราบว่าหน่วยงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมอนุโลมให้เจรจาโครงการมิลเลนเนียมพาร์คกันได้อีกครั้ง เวลานั้นเขาไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น
ครั้นเมื่อได้รับรูปที่เฉินเป่ยชวนส่งมา เขาก็เข้าใจในทันที ช่วงเวลาชั่วพริบตานั้นเขามีความรู้สึกสับสนปนเปกันไปหมด ทั้งยินดีที่เขามีความสำคัญในใจเธอ ทั้งรู้สึกผิดที่เธอต้องเสียสละเพื่อตนเอง และสงสารในความเจ็บปวดที่เธอได้รับ
เฉี่ยนเฉียนของเขาสมควรที่จะได้รับความรักและการปกป้องดูแลจากเขาซึ่งเขาจะใช้ความอ่อนโยนทั้งชีวิตให้เธอ
เธอชักมือออกจากฝ่ามืออันสั่นเทาครั้นยังคงมีความอบอุ่นของเขาออกมา “ในใจฉันคุณเป็นเพื่อนคนหนึ่ง เป็นเพื่อนที่ฉันไม่อยากติดค้างอะไรด้วย ลู่ฉี ฉันไม่สามารถรักคุณได้ และยิ่งไม่อยากใช้ความรู้สึกที่ต้องการความอบอุ่นไปหลอกไปทำร้ายคุณ ฉันไม่สามารถที่จะคบกับคุณได้ บริหารลู่กรุ๊ปให้ดี ๆ ใช้ชีวิตที่สมควรมีของคุณให้ดี ๆ จากนี้ไป ฉันคิดว่าพวกเราไม่ต้องมาเจอหน้ากันอีกเลยจะดีกว่า”
ประโยคสุดท้าย เธอรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ครั้นกลับไร้ซึ่งหนทางถดถอย ครั้งนี้แม้เฉินเป่ยชวนปล่อยลู่ฉีและลู่กรุ๊ปไป ทว่ารูปนั้นก็คือคำตักเตือนและคำขู่ของเขา คำขู่ที่ว่าเธอกับลู่ฉีอย่าได้เป็นแม้แต่เพื่อนกัน
“เฉี่ยนเฉียน……”
“ฉันเสียใจมาก่อนแล้ว เพราะงั้นฉันรู้ว่าความรู้สึกเสียใจมันเจ็บปวดแค่ไหน ความเจ็บปวดแบบนี้คุณไม่ควรได้รับมัน เพราะงั้นได้โปรดอยู่ห่างจากฉันด้วยนะคะ”
เธอรักคนคนหนึ่ง จนทำให้ตัวเองเจ็บปวดอย่างถึงที่สุดจนไม่สามารถเจ็บเพิ่มได้อีกแล้ว เธอไม่อยากให้คนที่ตนเองรักไม่ได้มาเจ็บปวดเหมือนอย่างเธอ เจ็บปวดระยะสั้นจะดีกว่าเจ็บปวดระยะยาว วันนี้ตัดขาดจากเขาโดยสมบูรณ์ไปเลยก็ดีเหมือนกัน
เฉียวชูเฉี่ยนไม่ทราบว่าตนเองกลับมาบริษัทอย่างไร ครั้นเป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกถึงความรู้สึกที่ถูกล้วงจนว่างเปล่าจริง ๆ เธอสูญเสียศักดิ์ศรี สูญเสียเพื่อน อีกทั้งเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นจากผู้ชายที่เธอรักอย่างลึกซึ้งมาสิบปี
เฉินเป่ยชวน ทำไมต้องทำกับฉันอย่างนี้ด้วย ?
งานแต่งงานของเฉินเป่ยชวนและหลินเฟยเอ๋อร์เหลืออยู่เพียงวันสุดท้ายแล้ว กลุ่มผู้ดูผู้ชมในซั่นเป่ยต่างก็รู้สึกตื่นเต้นเสียยิ่งกว่างานแต่งงานของตนเองเสียอีก ดาราดังจะได้แต่งงานเข้าสู่ตระกูลเศรษฐีอย่างสำเร็จ อีกทั้งสถานที่จัดงานแต่งงานที่หรูหราเช่นนี้หาชมได้ยากจริง ๆ
เฉียวชูเฉี่ยนกลับรู้สึกสงบนิ่งอย่างผิดปกติ สงบนิ่งราวกับเป็นงานแต่งงานของคนที่ไม่เกี่ยวข้องกันอย่างไรอย่างนั้น
“เฉี่ยนเฉียน อยากดื่มนมก่อนนอนไหม จะได้นอนสบาย ๆ หน่อย ?”
เหยียนสือเซี่ยสอบถามอย่างระมัดระวัง ตั้งแต่ที่คืนนั้นที่เธอไม่กลับมา เฉี่ยนเฉียนก็สงบนิ่งจนเกินไป สงบนิ่งจนเธอรู้สึกไม่สบายใจ กลัวว่าเธอจะเป็นอะไรขึ้นมา
“ได้”
ได้ยินดังนั้นจึงได้ยื่นนมอุ่นหนึ่งแก้วให้เธอ “พวกเราไม่ได้ไปเที่ยวด้วยกันนานแล้วนะ พรุ่งนี้พาจิ่งเหยียนไปเที่ยวที่ชานเมืองสักสองวันดีไหม ?”
วันพรุ่งนี้เฉินเป่ยชวนและหลินเฟยเอ๋อร์ก็จะจัดงานแต่งงานกันแล้ว แม้บนใบหน้าของเฉี่ยนเฉียนจะไม่แสดงออกมา ครั้นในใจของเธอจะต้องทุกข์ทรมานมากเป็นแน่
“ไม่ต้องหรอก จิ่งเหยียนจะขาดโรงเรียนบ่อย ๆ ไม่ได้”
ช่วงนี้เป็นการลงโทษจากการทะเลาะเบาะแว้งของโรงเรียน และต้องหลบหลีกจากสื่อที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านอีก จึงทำให้การบ้านของจิ่งเหยียนถดถอยลงเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้ เธอไม่สามารถให้ลูกของตนเองบ่มเพาะความเคยชินที่ไม่ดีเช่นนี้ได้
“ถ้างั้นพรุ่งนี้เธออยากจะพักผ่อนอยู่ที่บ้านสักวันไหม ?”
เหยียนสือเซี่ยยังคงรู้สึกเป็นห่วงอยู่เล็กน้อย วันพรุ่งนี้สื่อจะต้องไปเข้าร่วมงานแต่งงานกันหมด ครั้นหลังจากที่ผ่านงานแต่งงานไปแล้วเกรงว่าคงกลับมารุมล้อมเฉี่ยนเฉียนเป็นแน่
“ฉันสบายดี ไม่ต้องพักผ่อนหรอก”
ทั้งที่ใต้กรอบตามีความดำคล้ำอย่างเห็นได้ชัด ครั้นเธอกลับปฏิเสธคำแนะนำเช่นนี้ออกมา การหลบคงหลบได้เพียงช่วงเวลาหนึ่งทว่าท้ายที่สุดก็หลบไม่พ้นอยู่ดี
“ถ้างั้นฉันจะลางานมาอยู่เป็นเพื่อนเธอนะ” เหยียนสือเซี่ยจับมือของเธอ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยความจริงจัง
มุมริมฝีปากของเฉียวชูเฉี่ยนฉีกยิ้มขอบคุณขึ้นมา ความเจ็บปวดในหัวใจกลายเป็นความสงบแล้ว ครั้นมีบางคราก็ยังคงต้องการดูดซับความอบอุ่นจากผู้อื่นมาอยู่ดี