บทส่งท้าย
—-
[ถึงเวลาพบกันแบบไม่มีไรเอลครั้งแรกแล้ว~]
รุ่นที่สี่ส่งสัญญานอย่างเนือยๆ เพื่อเริ่มการประชุมเมื่อทุกคนมารวมตัวกัน
ปกติพวกเขาไม่ค่อยประชุมแบบนี้บ่อยนัก
แต่พวกเขาก็ตัดสินใจมาพบกันโดยที่ไม่มีไรเอลเพื่อคุยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปจากนี้
[เอาล่ะ เราพักเรื่องหนูโนแวมเอาไว้ก่อน แล้วมาคุยเรื่องที่ไรเอลจะทำต่อจากนี้]
คำพูดของรุ่นที่สี่โดยรุ่นที่สามขัด
[เรื่องไรเอลก็ช่างมันไปด้วยก็ได้นี่? เพราะตัวไรเอลเองก็ไม่เห็นจะอยากทำอะไรเป็นพิเศษเลย]
รุ่นที่หกเห็นด้วย แต่ก็แอบหวังอยู่
[ก็ใช่ แต่สำหรับข้าแล้ว ก็อยากให้เขามุ่งหาความสำเร็จในตระกูลวอลท์นะ]
รุ่นที่เจ็ดพนักหน้า
เป็นธรรมดาที่ความเห็นของงรุ่นที่หกกับรุ่นที่เจ็ดจะไปทางเดียวกันเสมอ
โดยยึดติดกับผลประโยชน์ของดินแดนเป็นหลัก
[ุถ้าเซเลสเป็นผู้สืบทอดก็หมายความว่าจะมีลูกเขยจากตระกูลอื่นเข้ามาน่ะสิ ทุกคนที่นี่ย่อมรับไม่ได้อยู่แล้ว]
รุ่นที่หนึ่งแคะจมูก
[ก็ไม่เชิงนะ]
รุ่นที่สอง สี่ หก และเจ็ด จ้องไปทางเขา
[การที่ถูกใครก็ไม่รู้มาขโมยดินแดนทั้งหมดไป เจ้าไม่รู้สึกโกรธบ้างรึไง!? ]
รุ่นที่เจ็ดไม่พอใจ และรุ่นที่สามก็กุมขมับขณะพูดไปด้วย
[ลองนึกถึงเหตุผลที่เขาสร้างตระกูลขึ้นมาสิ ถึงจะไม่อยากยอมรับแต่เขาก็ทำเป้าหมายตัวเองสำเร็จไปแล้ว ฉะนั้นข้าเดาว่าเขาไม่สนหรอก]
รุ่นที่หนึ่งปฎิเสธ
[เจ้าโง่! ข้าเองก็เจอเรื่องลำบากเหมือนกันนะ ไม่เหมือนยุคของพวกเจ้า ข้าทำมันจนเลือดสาดน้ำตากระเซ็นด้วยซ้ำ
ข้าเองก็มีสิ่งที่คิดไว้อยู่! แต่พอมองไปที่ไรเอล เจ้าก็รู้ว่า…]
รุ่นที่สองเสริมขึ้นอย่างเงียบๆ
[น้ำตาที่ว่ามาจากตอนที่รักแรกของเจ้าไปแต่งงานกับคนอื่นล่ะสิไม่ว่า]
รุ่นที่หนึ่งสำลักไปสักพักก่อนจะพูดต่อ
[ถึงข้าจะบอกว่าเขาอ่อนแอ แต่ไรเอลก็มีความสามารถอยู่ไม่น้อย และทั้งๆ ที่พยายามมามากขนาดนั้น ข้าเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขายังดูยิ่งเง่าอยู่]
รุ่นที่ห้าซึ่งไม่ค่อยสนใจการประชุมนี้ตอบด้วยคำที่เฉียบขาด
[หลังจากที่เขาถูกคนรอบข้างรังเกียจในช่วงอายุ 10 ปี ไรเอลน่าจะไม่ได้รับการฝึกฝนอย่างที่ควรจะเป็นแบบที่พวกเราเคยทำๆ กันมา และการฝึกด้วยตัวเองก็ย่อมได้ผลที่ไม่ดีด้วย
ทำให้เขาดูเหมือนจะไม่ได้รับการสอนเรื่องที่จำเป็นมาเลย แต่…เฮ้ย ระบบการศึกษามันเปลี่ยนไปจากยุคของข้ารึ? ]
รุ่นที่ห้ามองไปทางรุ่นที่หกและเจ็ด
หลังจากได้เป็นวิสเคานต์ รุ่นที่ห้าก็พยายามอย่างมากเพื่อให้รุ่นที่หกและเจ็ดได้สืบทอดตำแหน่งต่อไป
[บางเรื่องถูกเอาออกไปน่ะ เพื่อให้หลานเหลนข้าได้ใช้ชีวิตอย่างเคานต์ข้าจึงเห็นเรื่องการปกครองสำคัญกว่าภูมิปัญญาการรบ อีกอย่าง เวลาการเรียนก็ไม่พอด้วย]
รุ่นที่หกตอบ ซึ่งรุ่นที่เจ็ดก็เห็นด้วย
พอในยุคของรุ่นที่ห้าที่ขึ้นเป็นเคานต์ ตระกูลวอลท์ก็เติบใหญ่ขึ้นมากเกินไปจนเรื่องที่มองว่าไม่จำเป็นถูกถอดออกไปจากแผนการเรียน
โดยอิงตามตำแหน่งขุนนางที่สูงขึ้น
[ในยุคของพวกข้าที่ตระกูลสงบสุข และมั่นคงแล้ว ข้าจึงสอนหลานโดยเน้นเรื่องวิธีบริหารดินแดนมากกว่า]
รุ่นที่หนึ่งและสอง ประหลาดใจเมื่อได้ยินแบบนั้น
[อย่างกับขุนนางแหนะ]
[ในยุคของพวกข้า สิ่งที่จำเป็นมันคือเรื่องภาคสนามกับการล่ามอนสเตอร์ และการรับมือกับศัตรูเสียมากกว่า]
รุ่นที่ห้าถอนหายใจ
[ก็เขา ’เป็น’ ขุนนางไง แล้วแน่ใจนะ ว่าพวกเจ้าจะหยุดอนาคตของไรเอลไว้เพียงเท่านี้? ทั้งๆ ที่เราสร้างความสำเร็จให้เขาได้แล้วน่ะ? ]
รุ่นที่สองเอียงหัว
[สร้างความสำเร็จ? การทำลายกองโจรก็สร้างเรื่องให้ชาวบ้านนินทา
ส่วนเรื่องบ้านเกิด ไรเอลก็พยายามสร้างเรื่องดึงดูดความสนใจพวกเขาแต่ไร้ผลไปแล้วไง]
สิ่งที่น่ากลัวคือการที่ไม่รู้ว่าฝั่งนั้นจะทำอะไร
ด้วยเครือข่ายของตระกูลวอลท์ ต่อให้ไม่ต้องออกสืบเลย ข่าวเรื่องไรเอลก็จะไปเข้าหูพวกเขาอยู่ดี
ถึงจะถูกไล่ออกมาแล้ว แต่ก็ยังเป็นลูกชาย
ถ้าพวกเขาเจอการเคลื่อนไหวที่น่าสงสัย ย่อมส่งคนมาตามเก็บ
และด้วยไรเอลในปัจจุบัน การสู้ตัวต่อตัวกับศัตรูที่มีสกิลยังถือเป็นเรื่องยากอยู่
เพื่อให้พวกเขาวางใจ จึงเป็นเหตุผลที่ไรเอลต้องแสดงเป็นไอ้ง่าวที่เหมาะสมกับการถูกเนรเทศออกมา
แน่นอนว่าการทำให้ตระกูลวอลท์เสียชื่อ ก็อาจเป็นเหตุผลให้พวกเขาส่งนักฆ่ามา
แต่การฆ่าไรเอลไปตั้งแต่แรกก็ย่อมดีกว่า
ไม่รู้ว่าเป็นสัตว์ประหลาดที่ชื่อเซเลสคอยเปลี่ยนกระบวนการคิดพื้นฐานของพวกเขาไป
หรือพวกเขาแค่ไม่สนใจเฉยๆ กันแน่…
ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลใด การกระทำของพวกเขาต่อจากนี้ไปย่อมตัดสินให้เรื่องมันชัดเจนขึ้น คือสิ่งที่เหล่าบรรรพบุรุษสรุปออกมาได้
รุ่นที่หกยิ้มให้กับรุ่นที่สอง
[ถึงจะเป็นในเดลลีน แต่การที่ไรเอลเข้าทำลายกองโจรก็เป็นเรื่องจริง
เราสามารถใช้ชื่อเสียงนี้ยังไงก็ได้…เหมือนตอนที่ข้าใช้มันกับเบื้องหลังของตระกูลวอลท์ และก็ถูกหลานชายเกลียดขี้หน้าเอาน่ะ]
รุ่นที่เจ็ดเข้าลูบหลังปลอบรุ่นที่หกที่กำลังไหล่ตก
รุ่นที่สามยิ้มพูด
[อย่าไปจริงจังกับเรื่องนินทานัก ที่เดลลีน เขาคือไอ้ขี้ขลาดที่ใช้พลังของเงินในการกวาดล้างโจรแบบขี่ช้างจับตั๊กแตน
แต่ทุกคนก็ยังยอมรับว่าไรเอลเป็นคนปราบโจรอยู่ดีนี่นา ในเมื่อไม่มีใครถามว่าพวกโจรถูกกวาดล้างยังไง ก็อย่าเพิ่งไปบอกพวกเขาก็พอแล้วล่ะ]
ทุกคนพยักหน้า
พอเสียชีวิตในสนามรบ ประชาชนทั่วไปก็รู้จักรุ่นที่สามในฐานะแม่ทัพผู้เที่ยงธรรมอันเลื่องชื่อ ในการช่วยเหลือกองทัพที่กำลังถอยไปพื้นที่ปลอดภัยจนสำเร็จ
ทั้งๆ ที่เขาดูไม่ใช่คนแบบนั้นเลย
[พอเจ้าเป็นคนพูด ทุกคนก็ฟังกันหมดเลยนะ]
รุ่นที่สามยิ้มรับคำถากถางของรุ่นที่หนึ่ง
เขาพูดต่อถึงสถานการณ์ในอนาคตของไรเอล
[เราสามารถพูดได้ว่าตอนนี้ไรเอลประสบความสำเร็จในฐานะนักผจญภัยแล้ว มาพูดถึงเรื่องที่เขาจะกลับไปที่ตระกูลวอลท์กัน
เอาล่ะ ถึงจะเป็นความเชื่อส่วนบุคคล แต่เกี่ยวกับเรื่องสัตว์ประหลาดเซเลสที่รุ่นที่หนึ่งเคยพูดเอาไว้
ข้าว่ามันมีเค้าโครงความจริงอยู่นะ…]
พอได้ยินเรื่องนี้ ทุกคนก็เริ่มคิด
เพราะไรเอลเก่งกว่าที่พวกเขาคาดเอาไว้นั่นเอง
เพียงแค่ได้รับคำอธิบายกับฝึกฝนอีกนิดหน่อย ไรเอลก็สามารถใช้สกิลได้อย่างมีประสิทธิภาพภายในไม่กี่วัน
แม้จะยังไม่เชี่ยวชาญ แต่ก็เรียกได้ว่าน่าทึ่งแล้ว
รุ่นที่หนึ่งวางท่า
[ก็ข้าบอกไปแล้วนี่!? และเดี๋ยว ถ้าเธออยู่ในระดับที่ไรเอลเอาชนะไม่ได้เลยแบบนี้ เซเลสก็ถือว่าอันตรายพอตัวเลยนะ]
ความอันตรายของเซเลสเกินคาดของทุกคนไปแล้ว
ในการต่อสู้ครั้งแรกของไรเอลกับก็อบลินก็ดี ถึงจะไม่ไ้ด้ตัวคนเดียว แต่ไรเอลก็ไม่มีล่กให้เห็น
แม้กระทั่งตอนสู้กับหัวหน้าโจรก็ด้วย ที่ไรเอลไม่ตื่นตระหนกเลย
ถึงจะขาดประสบการณ์ และมีปัญหาด้านพลังกายพลังเวท แต่ความสามารถโดยรวมของเขาก็ถือว่าสูงมาก
และตระกูลวอลท์ที่ว่า ก็มีสัตว์ประหลาดที่ไรเอลเอาชนะไม่ได้อยู่
[ดินแดนของเราก็เรื่องนึง แต่ประเทศนี้กำลังจะเข้าสู่ความวุ่นวายแน่ๆ ไม่มีใครเดาความคิดไอ้สัตว์ประหลาดนั่นได้หรอก
เพราะแบบนี้ไง พวกหมาแก่ที่หลงตัวเองในยุคของข้าถึงถูกสอยร่วงไปแล้วนับไม่ถ้วนน่ะ]
{สัตว์ประหลาดเซเลส}
กลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ไม่คาดคิดสำหรับเหล่าบรรพบุรุษไป
จากตอนแรกที่พวกเขาคิดว่าปัญหาอยู่ที่ตัวไรเอล แต่เมื่อพิจารณาถึงการถูกเลือกปฎิบัติจากครอบครัวแล้ว
ก็กลายเป็นว่าเขาอาจจะไม่ได้รับการศึกษาที่เหมาะสมแทน
เมื่อถูกเปรียบเทียบกับตัวตนที่ต่างกันเกินไป ก็ไม่แปลกที่บุคคลิกของเขาจะงี่เง่าแบบนั้น
การที่สามารถทนต่อความกดดันนั้นมาได้ตลอด 5 ปี ก็ถือว่าควรค่าแก่พิจารณาแล้ว
แต่กับไรเอลที่ความสามารถระดับนี้
กลับไม่อยู่ในปลายสายตาของเซเลสเลยด้วยซ้ำ
เหล่าบรรพบุรุษไม่มีทางเลือกนอกจากจะยอมรับตัวตนที่รุ่นที่หนึ่งเรียกว่าสัตว์ประหลาดนี้
[พลังอันท่วมท้น และที่มองข้ามไม่ได้คือบุคลิกที่เห็นแก่ตัว ถือว่าลำบากเลยล่ะ]
รุ่นที่หกเห็นด้วยกับความเห็นของรุ่นที่ห้า
[ถ้าเซเลสเกิดบ้าขึ้นมาเมื่อไหร่ตระกูลอาจจะล่มสลายไปเลยก็ได้ พอคิดแบบนี้แล้ว การที่ไรเอลถูกไล่ออกมาก็ถือเป็นโชคดีนะ
อย่างน้อยสายเลือดก็ยังสืบต่อไปได้ล่ะ]
รุ่นที่ห้าเห็นชอบ
[ใช่ ถ้าเขากลายเป็นนักผจญภัยจนสร้างตัวได้ แล้วไปสร้างหมู่บ้านใหม่อีกรอบดีไหม?
ตอนนี้พวกเราก็ทิ้งประเทศบานซิมไปก่อน หนูโนแวมกับหนูอาเรียก็อยู่กับเขาด้วย เราพาพวกเขาไปเจออันตรายไม่ได้หรอก…]
แต่อารมณ์ของพวกเขากลับไม่ยอมรับเท่าไหร่
บรรพบุรุษทุกคนในที่นี้ต้องการทำอะไรบางอย่างกับมัน
[ทางที่ไรเอลเลือกเดินคือสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่หนูโนแวมก็ทำให้ข้าสงสัยนิดหน่อยนะ]
รุ่นที่สองเนือยกับสิ่งที่รุ่นที่สามพูดออกมา
[เจ้ายังติดใจเรื่องนั้นอีกเหรอ? เด็กดีที่ไหนจะคิดลับหลังไม่ดีกัน? เธอเป็นสาวบริสุทธิ์ที่เชื่อคำโกหกของไรเอลอย่างจริงจังเชียวนะ! ]
รุ่นที่สามเนือยบ้าง
แต่รุ่นที่ห้ากลับเห็นด้วย
[ต่อให้เธอวางอุบายอะไรไว้ เธอก็ไม่มีทางทำร้ายไรเอลหรอก ปล่อยไปก็ได้นี่?
ถ้าเธอจะทำจริงคงไม่ตามรับใช้ไรเอลมาไกลจนขนาดนี้แน่ ในทางกลับกัน…พวกเราจะไล่อาเรียออกไปหรือเปล่าล่ะ? ]
ทุกคนทำหน้าบอกไม่ถูกกับสิ่งที่รุ่นที่ห้ากล่าวออกมา
พ่อของเธอติดต่อกับโจรและจบลงด้วยการเป็นทาสในเหมืองเพื่อชดใช้ ซ้ำยังเสียทุกอย่างกระทั่งบ้านก็ไม่มีอยู่
รุ่นที่หนึ่งแสดงสีหน้าซับซ้อน
[การที่ได้เห็นลูกหลานแต่งงานกับคนที่เหมือนรักแรกของตัวเองมันแปลกชะมัด]
รุ่นเจ็ดพูด
[ก็เพราะเจ้าขอให้ไรเอลไปทำเรื่องไม่เข้าเรื่องไง! ถ้าเจ้าให้ความร่วมมือตั้งแต่แรก พวกเราก็ไม่ต้องกังวลกับอะไรแปลกๆแบบนี้แล้ว]
รุ่นที่สี่พายเรือกลับเข้าฝั่งอีกครั้ง
[ถ้าอย่างนั้น จนกว่าไรเอลจะตัดสินใจสิ่งที่เขาจะทำในอนาคต วันนี้ก็พอแค่นี้ก่อน ขอบคุณที่เหนื่อยนะ’
.
.
.
พอเหลืออยู่คนเดียวในห้องประชุม รุ่นที่หนึ่งก็มือกอดอกนั่งไขว่ห้างพาดขาบนโต๊ะ
เขากำลังคิดเรื่องของไรเอลอยู่
[ถ้ามองแค่ขีดจำกัดของพรสวรรค์เพียวๆ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาเหนือกว่าพวกเราทั้งหมดน่ะ]
เกณฑ์ในการหาเจ้าสาวที่ทุกคนเอาแต่หัวเราะเยาะรุ่นที่หนึ่งในงานปาร์ตี้
บางที…สิ่งนั้นแหละที่คอยบ่มเพาะสายเลือดของตระกูลวอลท์มาตลอด
ไรเอลในปัจจุบันยังขาดประสบการณ์อยู่ก็จริง แต่เขาก็ถือว่ามีพรสวรรค์และศักยภาพที่เหนือกว่าใครในเหล่าบรรพบุรุษทั้งหมด
[…แบบนี้ เขาคงจะเหนือกว่ายุคทองของข้าไปอย่างง่ายดายเลยล่ะ]
เขาพึมพำ ดีดตัวขึ้น แล้วก็ตกลงบนพื้น
[ดี ดี ดี ด้วยพวกเราทั้งเจ็ดในอัญมณี และความสามารถของตัวเขาเอง ไรเอลจะไปได้ไกลขนาดไหนกันนะ…
ถ้าจะมีใครสักคนที่จะหยุดเซเลสได้ ก็ต้องเป็นเขานี่ล่ะ]
รุ่นที่หนึ่ง บราซิล วอทล์ เดินตรงไปที่ห้อง พร้อมรอยยิ้มที่ค่อยๆ ปรากฎขึ้นบนใบหน้า
[เอาล่ะ ถึงเวลาที่ข้าจะช่วยเหลือเขาอย่างจริงจังแล้ว วันที่ไรเอลจะเรียนวิธีใช้ขั้นที่สามของสกิลก็ใกล้เข้ามาทุกที
ข้าต้องไปซ้อมสักหน่อย…มันอาจจะใช้เวลาไม่เยอะก็ได้นะ]
เขาเปิดประตู เดินเข้าไปในห้อง
[และการสอนของข้าอีกไม่นานก็คงจะจบลง…]
ประตูปิดลงอย่างช้าๆ
ไม่มีใครเหลืออยู่ในห้องประชุมอีก
—-
ลืมลงรูป อาเรีย ล็อคเวิด