ทลายขีดจำกัด
—
[จัดมันเลย ไรเอล! ]
พอได้ยินเสียงของรุ่นที่หนึ่ง ผมก็ยิ้มต่อหน้าขวานที่กำลังพุ่งเข้ามา
ถ้าชายร่างใหญ่มองหน้าผมอยู่ คงคิดว่าผมเป็นบ้าล่ะ…
แต่การต่อสู้นี้รู้ผลแล้ว
“ทลายขีดจำกัด”
ถ้าเต็มพิกัด คือสกิลที่เพิ่มความสามารถให้แบบอัตราคงที่
สกิลทลายขีดจำกัด ก็จะทำให้ก้าวข้ามขีดจำกัดของร่างกายตัวเองได้
แต่มันก็มีผลสะท้อนจากการใช้สกิลนี้อยู่ สกิลเต็มพิกัดจึงถูกใช้รักษาร่างกายไปพร้อมๆ กันด้วย
หลังจากเปิดใช้งานสกิล ผมก็รู้สึกถึงเวลารอบตัวที่ช้าลงมาก และประสาทสัมผัสของผมก็ดีขึ้น
ผมใช้มือซ้ายชักดาบสำรองขึ้นมา และปัดการโจมตีด้วยดาบทั้งสองเล่ม
เมื่อเหล็กปะทะกัน ประกายไฟก็พวยพุ่ง และแรงปะทะก็สะเทือนไปทั่วร่างกายของผม
ผมไม่สนใจผลกระทบนั้น และบิดตัวออกแรงเตะไปที่กระโหลกของเขา
“อะไร-”
เขาเซถอยลงไปคุกเข่า เพราถูกเตะเข้าที่หัว
“สกิลของเจ้าดีเป็นบ้า ข้าอิจฉาจริงๆ ”
ชายร่างใหญ่ใช้ขวานค้ำเพื่อยืนขึ้นมา
ผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะผลของสกิลอื่น หรือเขาแค่แข็งแกร่งกันแน่
เขายังคงเหวี่ยงขวานซ้ายทีขวาทีใส่ผมพร้อมกับคำรามเสียงดังไปด้วย
แต่มันไม่ใช่เสียงที่เอาไว้ข่มขวัญศัตรู
คงเพราะเขาเห็นผมเคลื่อนไหวแปลกไป และการโจมตีเผด็จศึกของตัวเองก็ไร้ผล
เขาเลยกระวนกระวาย
“แก ไอ้เจ้าสัตว์ประหลาด! ”
โหดร้ายจริงๆ ที่เรียกคนที่ตัวเองแพ้ว่าสัตว์ประหลาดเนี่ย ผมใช้ดาบคู่ปัดการโจมตีและเตะออกไปอีกรอบ
ดาบในมือผมเริ่มร้าว
คราวนี้ที่ท้อง
เขาเข่าทรุด และมองมาที่ผมด้วยใบหน้าเหลือจะเชื่อ
“ทำไมกัน? ข้ามีทั้งบัพความเร็วและพละกำลัง กับคนที่อ้อนแอ้นราวผู้หญิงเช่นเจ้า ทำไมกัน…”
เขามีพลังและผลของสกิลที่มากกว่าผมแน่ๆ
แต่ผมเร็วกว่า
แน่นอนว่าถ้าผมใส่พลังเวทเข้าไปเพิ่ม ก็จะเพิ่มพลังได้ตามที่ใจอยาก
และผมก็ผ่านการฝึกมาแล้ว เขาจึงไม่ได้เหนือกว่าผมมากนัก
พลังของเขามันก็แค่ของชั่วคราว และมีจุดอ่อนในด้านเทคนิคการต่อสู้
ผมใช้สกิลตรวจดูรอบๆ อีกครั้ง และพบว่าโจรทั้งหมดถูกจับกุมแล้ว
เหลือแค่ชายร่างใหญ่ตรงหน้า
พอผมเดินเข้าหา เขาก็ทิ้งขวานไปและยกมือยอมแพ้ แล้วก็ยื่นข้อเสนอให้ผม
“ด-เดี๋ยวก่อน! ข-ข้าชักจะถูกใจเจ้าแล้ว! ถ้ามีเจ้าอยู่ข้าก็จะทำความฝันนั้นให้เป็นจริงได้!
ให้ข้าเป็นลูกน้องเจ้าเถอะ? หรือจะให้พวกข้าเป็นทหารให้ก็ได้ ข้ายอมทำทุกอย่างเลย”
จู่ๆ เขาก็เปลี่ยนเป็นคนละคน และแสดงท่าทียอมแพ้
ขวานที่เขาทิ้งไปก็อยู่นอกระยะหยิบจับของเขาด้วย
แต่รุ่นที่หนึ่งก็พูดขึ้นก่อน
[เฮ้ย ไอ้นี่มันเจ้าเล่ห์วุ้ย มันคงแสดงประจบแบบนี้บ่อยๆ แหง…]
ชายร่างใหญ่คงสังเกตว่าผมละสายตาไปครู่นึง เขาจังควักมีดที่ซ่อนไว้ออกมาและตั้งท่าใช้สกิล
อัญมณีในมือซ้ายของเขาส่องแสง
และเขาก็ยิ้มแสยะมาทางผม
“ควายเผือกเอ้ย! ”
[…คนพวกนี้มันซ่อนอาวุธกันอันสองอันเป็นปกติน่ะ]
รุ่นที่ห้าพูดอย่างเบื่อหน่าย
[ถ้าเจ้าพูดเร็วๆ กว่านี้หน่อยจะตายหรือไงห้ะ? ]
[เจ้าโง่หรือไง? ไรเอลมีเวลาเหลือเฟืออยู่แล้ว]
ขณะที่ฟังพวกเขาคุยกัน ผมก็ออกลูกเตะไปแล้ว
เพราะถูกผมเตะเสยคาง สกิลที่เขาใช้จึงพลาดเป้าไป
เมื่อผมไปรอบๆ ก็พบว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางนักผจญภัย
ดูจากสีหน้าของพวกเขา คงคิดว่าผมจะเสร็จการโจมตีทีเผลอเมื่อกี้แหง
ผมคิดว่าระวังตัวเองพอแล้ว แต่ที่จริงมันก็ยังไม่พอล่ะนะ
‘เราถูกช่วยไว้จากสกิลของรุ่นที่หนึ่ง และตัวสกิลทลายขีดจำกัดเองก็พิเศษมาก’
ถึงจะมีเงื่อนไข และใช้ต่อเนื่องไม่ได้ แต่สกิลทั้งหมดก็ล้วนมีประโยชน์
ผมปลดสกิลแล้วมองไปยังชายที่หมดสภาพตรงหน้า
[ไรเอล ข้าว่าก่อนอื่นเจ้าจัดการเรื่องของในมือซ้ายก่อนดีกว่านะ…]
ตามคำของรุ่นที่ห้า ผมเดินเข้าไปกระชากผ้าที่พันมือซ้ายของชายร่างใหญ่และดึงอัญมณีออกมา
อัญมณีแปล่งประกายสีแดง
‘รู้สึกเหมือนอัญมณีอันนี้จะเจ๋งกว่ายังไงไม่รู้สิ’
ผมมองเทียบกับอัญมณีที่ตัวเองห้อยอยู่บนอก
อัญมณีขี้บ่น และทำให้ผมใช้สกิลได้ลำบากขึ้น
ในขณะที่อัญมณีสีแดงไม่เรื่องมาก สอนวิธีใช้ และอนุญาตให้ใครก็ได้ใช้สกิลได้อย่างอิสระ
ถ้าถามว่าผมจะเลือกอัญมณีเม็ดไหน ก็คงสีแดงล่ะนะ
[…มันเจ็บจี๊ดนะเฮ้ย]
รุ่นที่หนึ่งคงเดาได้ว่าผมคิดอะไรอยู่จึงพูดออกมา
โนแวมกับคุณล็อคเวิดวิ่งมาทางผม
ส่วนหัวหน้าโจรก็ถูกมัดโดยนักผจญภัย
“ท่านไรเอล…เป็นการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมมากเลยค่ะ”
โนแวมยิ้มอย่างมีความสุขทั้งน้ำตา
คุณล็อคเวิดมองผมอย่างกระวนกระวาย
เธอเหมือนต้องการจะพูดบางอย่าง และมองอัญมณีในมือผม แต่เพราะเธอไม่ได้ทำอะไรเลยจึงไม่กล้าพูดออกมา
‘เธอเป็คนงุ่มง่ามสินะ’
ผมได้ยินเสียงจากนักผจญภัยรอบๆ
“ไอ้หยางานเข้าแล้ว”
“เลือดทะลักออกมาเลย เป็นเพราะผลสะท้อนของสกิลงั้นเหรอ? ”
“ถ้ายังไม่ตายก็ไม่เป็นไรหรอก เฮ้ย มายกเขาไปเร็ว”
ผมเห็นเลือดไหลออกมาจากร่างกายของหัวหน้าโจร และนักผจญภัยก็ใช้ยารักษาแผลของเขา
‘อืม ถ้าเขาตายมันจะแย่เอานะ’
ร่างกายของเขาคงรับภาระจากการใช้สกิลต่อเนื่องไม่ไหว
‘มองไปก็เข้าใจ นั่นเป็นเหตุผลที่บรรพบุรุษถึงจำกัดการใช้สกิลของเราสินะ’
ผมเตือนตัวเองในเรื่องนี้เมื่อมองไปยังร่างของเขา
คุณล็อคเวิดเอ่ยออกมา
“อ-เอ่อ…”
เธอมองสลับระหว่างผมกับอัญมณีด้วยสีหน้าที่ลำบากใจมาก
โนแวมพูดขึ้น
“ท่านไรเอล ถึงเวลาทำตามเป้าหมายแล้วค่ะ”
ผมยื่นอัญมณีให้กับเธอ ถึงผมกะจะโยนไปในตอนแรก แต่พอมาคิดดูมันเป็นมรดกอันล้ำค่าของตระกูลเธอนี่นะ
เธอหน้าแดงแจ๋ และคงจะอยากกล่าวขอบคุณ
“เอ่อ อืม ฉันแทบไม่ได้ทำอะไรเลย แต่…”
ขณะที่เธอกำลังพูดไม่ออก โนแวมก็พูดกับเธออย่างอ่อนโยน
“รับไปเถอะค่ะ ท่านไรเอลตั้งใจไว้อยู่แล้ว ใช่ไหมคะ? ”
เธอหัวเราะและหันมาทางนี้ ผมหลบตาเกาแก้มอย่างเขินๆ
“เอาเถอะ ข้าจะพูดยังไงดี…ข้าได้ทำตามที่ต้องการแล้ว ฉะนั้นรับไปสิ ที่สำคัญ…”
“ข-ขอบคุณนะ…”
คุณล็อคเวิดพยายามพูดขอบคุณ แต่เไม่เต็มเสียงเท่าไหร่
นักผจญภัยคนนึงเดินมาทางพวกเรา
“โทษทีนะ แต่มันเป็นงานน่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ พวกเราต่างหากที่เป็นฝ่ายที่ถูกช่วยไว้”
เขาถอดหมวก
ใบหน้าคมคายตาคม และบรรยากาศของเขาบ่งบอกว่าเป็นคนจริงจัง
นอกจากนักล่าค่าหัวแล้ว เขายังเป็นนักผจญภัยที่สนิทกับขุนนางอีกด้วย
ทั้งความสามารถและบุคลิก เขาถือเป็นนักผจญภัยที่พึ่งพาได้
แต่เขาไม่ได้มาจากเดลลีนนะ
เขาเป็นนักผจญภัยที่คุณเซลฟี่ติดต่อให้
ทำให้ผมต้องยืนยันกับคุณฮาวกิ้นที่กลิด์ก่อนว่าจะเป็นปัญหาหรือเปล่า
ซึ่งคุณฮาวกิ้นก็ตอบกลับมาว่าผมห้ามเปิดเผยเรื่องนี้ด้วยสีหน้าลำบากใจล่ะ
ถ้าเขาบอกแบบนั้นก็แสดงว่าได้ใช่มั้ยล่ะ? ที่ผมกังวลจริงๆ คือพวกเขาจะยอมมาช่วยเรารึเปล่าต่างหาก
‘คุณเซลฟี่คงจะอยากช่วยคุณล็อคเวิดจริงๆ และเธอคงขอความช่วยเหลือจากพวกเขาอย่างเต็มที่ เราคิดถูกสินะ’
นักผจญภัยทำสีหน้าผ่อนคลาย
“ช่วยได้มากเลย แบบนี้พวกโจรก็จะได้ถูกลงโทษในดินแดนของพวกข้า เจ้าเมืองน่าจะพอใจไม่น้อย”
ใช่แล้ว พวกเขามากจากต่างเมืองที่พวกโจรได้ไปอาละวาดไว้ นักผจญภัยมากฝีมือเหล่านี้จึงมาเข้าร่วมการปรายโจรกับเราด้วย
“พวกข้าก็ต้องการค้นหาของที่ถูกพวกโจรเอาไปในกองสมบัติของพวกมันเช่นกัน ขอโทษที่เร่งนะ แต่ข้าอยากให้เจ้ามาเป็นพยานด้วย”
ผมพยักหน้า
[ใช่ ใช่ เวลานี้แหละที่เจ้าต้องเร็ว เพราะงานยังไม่จบ ต้องไปอธิบายกับนักผจญภัยที่มาจากเดลลีนด้วย
ไหนจะบางคนที่อาจหน้ามือเป็นหน้าเท้าเพราะโลภกองสมบัติก็ได้นะ]
รุ่นที่สามพูดอย่างร่างเริง
ผมขอให้เขาอธิบายเรื่องที่ผมต้องรู้
[การพึ่งพานักผจญภัย…]
รุ่นที่เจ็ดคงไม่ได้ให้นักผจญช่วยเท่าไหร่ในยุคของเขา
รุ่นที่สามตอบด้วยเสียงเหนื่อย
[ข้าก็มีนักผจญภัยอยู่สองสามคนที่สนิทด้วย…ไม่ใช่ว่าข้าไม่เข้าใจเจ้านะ แต่คนพวกนี้ก็มีด้านที่ดีและแย่]
พวกเรามีคนพอเหลือเฟือ
“อย่างขวานอันนั้นมันคือของที่เจ้าเมืองหญิงเตรียมไว้ให้บุตร เครือญาติของนางต่างตามหามัน
ข้ารู้ว่าเจ้ามีสิทธิ์ และพวกเขาน่าจะจ่ายให้เยอะพอดู”
ผมมองขวานของหัวหน้าโจร
มันของชั้นยอดแน่ๆ
แต่ผมไม่ต้องการมันเลยปล่อยให้เขาจัดการ
“ข้าไม่ว่าอะไรหรอก เอาตามราคาที่พวกเขาเสนอก็ได้ ไปยืนยันกันเลยมั้ยครับ? ”
“เข้าใจก็ดีแล้ว แต่เจ้าแน่ใจ? พวกเขาจะบอกประมาณว่ามันเป็นมรดกตกทอดบลาๆ เอานะ? มันยังเพิ่มราคาได้อีกหน่อยด้วย”
ผมมองไปที่คุณล็อคเวิด เธอสะดุ้งเล็กน้อย
“…ข้าไม่มีอารมณ์น่ะครับ”
‘เราได้สิ่งที่ต้องการแล้ว ไม่จำเป็นต้องโลภเพิ่มอีก”
“ก็ได้ งั้นทางนี้ พวกเรายังไม่ได้ยุ่งกับสมบัติในเหมือง เดี๋ยวข้าจะแวะไปบอกเรื่องขวานกับนายจ้างด้วย พวกเขาต้องยินดีแน่”
“ถ้างั้น..เอาตามที่คุณว่าเลยครับ”
ผมไม่พูดมากไปจะะดีกว่าสินะ? ผมจึงปล่อยให้ทุกอย่างให้เป็นไปตามความปรารถนาดีของเขา
ผมตามนักผจญภัยเข้าไปในเหมือง
โนแวมตามผมมา ส่วนคุณล็อคเวิดก็มองมาทางผมจนละสายตา
เธอยังคงไม่แน่ใจว่าตัวเองจะพูดอะไร เพราะความโล่ใจ
[ดี ดีจริงๆ ข้าทวงคืนอัญมณีกลับมาให้ลูกหลานของคุณอลิสได้แล้ว…บ้าจริง น้ำตามันไหล]
เสียงเหมือนรุ่นที่หนึ่งกำลังร้องไห้
รุ่นที่สองไม่พลาดโอกาสนี้
[เขาว่ากันว่าตาลุงร้องไห้มันไม่น่าดู เจ้าว่ามันจริงอย่างที่ข้าคิดมั้ย ท่านผู้ก่อตั้ง? ]
[ไอ้สารเลว! มาพูดอะไรตอนคนกำลังอินห๊ะ!? ไปให้พ้นเลย! ]
[ก็พวกเราออกไปไหนไม่ได้ไงโว้ย! เมื่อไหร่จะจำห๊าไอ้คนเถื่อน!? ]
มันเป็นเรื่องปกติของพวกเขา แต่…
‘เฮ้ย หยุด! ข้าเพิ่งเหนื่อยหลังสู้มา…อา วิงเวียนคล้ายจะเป็นลม..’
พอผมเซนิดหน่อย โนแวมก็เข้ามาพยุงทันที
“ท่านไรเอลคะ!? ”
“เฮ้ย ไม่เป็นไรนะ? เจ้าออกแรงมาหนัก จะพักสักหน่อย…”
“ม-ไม่…ข้าแค่มึนนิดหน่อยเอง”
‘พวกคุณจำหน่อยสิเฮ้ย! ’
สุดท้ายพวกเขาก็เถียงกันไม่หยุด
นี่คือเรื่องปกติของผม แต่ชักจะเริ่มเกลียดมันซะแล้วสิ
.
.
.
บนรถเกวียนที่กำลังเดินทาง…
เหล่าโจรถูกขังอยู่ในกรงเหล็กบนรถแคบจำนวน 3 คัน
พวกเขาคงไม่คิดว่าจะถูกพาตัวออกจากเดลลีนไปยังดินแดนที่ตัวเองมีชื่อเสียกระฉ่อน
“บ้าเอ้ย พวกเรายังไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย! ”
“ใช่! พวกเรายังไม่เคยปล้นที่นี่เลยนะ! ”
“พอพ้นโทษแล้วจะออกไปปล้นกลับมาให้หมดเลยคอยดูเถอะ!
กลุ่มโจรพูดเอาแต่ใจออกมา ท่ามกลางรอยยิ้มของเหล่านักผจญภัย
แม้ไม่ได้ขบขันอะไรกับคำพูดของพวกโจร แต่พวกเขาคงจะรู้ว่าโจรพวกนี้ต้องไปเจออะไรแน่ๆ
ชายร่างใหญ่ที่เห็นดังนั้นก็ไม่สบายใจ
“เฮ้ย เจ้านักผจญภัยพวกนี้มาจากเดลลีนรึเปล่าวะ? ”
เขาถามลูกน้องคนหนึ่งที่แฝงเข้าไปหาข้อมูลในเดลลีน ขณะลูบคางที่ปวดร้าวจากลูกเตะของไรเอลไปด้วย
“ไม่เคยเห็นเลยครับ”
ชายร่างใหญ่หันไปมองรอบๆ
“…งั้นพวกเรากำลังจะไปไหน? มันเลยชายเขตของเดลลีนมาแล้วนี่ หมายความว่าไงกัน? ”
นักผจญภัยคนนึงที่กำลังขี่ม้าอยู่พอได้ยินที่หัวหน้าโจรพูดก็เข้ามาใกล้ซี่ลูกกรง
“พวกข้าบอกไปตอนไหนว่ามาจากเดลลีนน่ะ? พวกเจ้าจะได้รับบทลงโทษที่สาสมในดินแดนที่พวกเจ้าไปออกปล้นไว้ต่างหากล่ะ”
กองโจรทั้งหมดหน้าซีดทันที
อาณาจักรบานซิมเป็นประเทศที่ขุนนางและเจ้าเมืองเป็นใหญ่
ถึงจะเชื่อมต่อกัน แต่แต่ละเมืองก็จะมีนโยบายเป็นของตัวเอง
ทำให้เหล่าอาชญากรข้ามดินแดนมักจะถูกมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย
แต่ก็มีเหล่านักล่าค่าหัวที่คอยตามล่าคนเหล่านี้อยู่
“ม-หมายความว่าไงกัน!? พวกข้าอยู่ที่เดลลีนต่างหาก! แกไม่มีสิทธิ์มาพาไปไหนนะโว้ย! ”
พอเห็นหัวหน้าโจรร้อนรน พวกลูกน้องก็กระวนกระวายตามไปด้วย
นักผจญภัยคนเดิมฉีกยิ้มมากขึ้น
“พวกข้าแค่จับพวกเจ้าได้ในตอนที่พวกเจ้า ‘บังเอิญ’ ไล่ตามนักผจญภัยจากเดลลีน ข้ามเข้ามาในดินแดนของพวกข้าพอดีต่างหาก โชคไม่ดีเลยเนอะ
…ส่วนพวกข้าก็ติดหนี้คนพวกนั้นซะแล้วสิ”
นักผจญภัยแต่ละคนล้วนรับคำร้องมาหลากหลาย
ขอให้เอาทรัพย์สินที่ถูกขโมยไปกลับมาบ้าง ขอให้กำจัดศัตรูของครอบครัวบ้าง
พวกเขากวาดคำร้องพวกนั้นมารวดเดียว และรีบพุ่งเข้ามามีส่วนร่วมในภารกิจปราบโจรนี้
และผู้ที่ติดต่อกับนักผจญที่ขึ้นตรงกับเจ้าเมืองเหล่านั้นก็คือคุณเซลฟี่
“อ-อย่ามายุ่งกับข้านะ! ทำไมกัน!? เพราะพวกข้าเป็นโจรงั้นเรอะ? ทำไมไม่ไปล่าไอพวกที่มันตัวใหญ่กว่านี้วะ! ”
ตามที่ชายร่างใหญ่พูด
อาชญากรรมของโจรพวกนี้ไม่ต่างอะไรกับขี้เล็บเมื่อเทียบกับวายร้ายตัวเป้งจริงๆ
ถ้าเทียบกับวายร้ายพวกนั้นน่ะนะ
แต่ตอนนี้ ที่นี่ อาชญากรรมที่พวกเขาก่อก็ไม่ใช่น้อยๆ
พวกเขาปล้นสะดม เผาหมู่บ้าน โจมตีคฤหาสน์ของเจ้าเมือง และผู้หญิงที่พวกเขา….
การที่พวกเขาหลุดมือของเจ้าเมืองในดินแดนนั้นๆ มาได้หลังจากไปทำงามหน้าขนาดนั้น
ย่อมทำให้เกียรติของเจ้าเมืองป่นปี้
ความไม่พอใจของประชาชนต่อเจ้าเมืองที่พึ่งพาไม่ได้ก็พลอยสูงขึ้นตามไปอีก
“อย่างน้อย ข้าก็รู้ว่าโชคเขาเจ้าตอนนี้มันหมดแล้วล่ะ เจ้ารู้รึเปล่าว่าการที่พูดแบบนี้ออกมามัน…
เพราะในหมู่พวกข้าก็มีนักผจญภัยจากหมู่บ้านที่พวกเจ้าเคยออกปล้นฟังอยู่ด้วยนะ? ”
ชายร่างใหญ่มองรอบๆ
ในหมู่นักผจญภัยที่ยิ้มแย้ม มีคนที่ไม่ยิ้มเลยรวมอยู่ด้วย
พวกเขากำอาวุธในมือแน่นไว้ตลอดเวลา
“พ-พวกข้าจะถูกตัดสินใช่มั้ย? ถ้าเจ้าฆ่าพวกเข้าที่นี่…”
“หา? พูดอะไรของเจ้าน่ะ?…ต่อให้ตายไปสักคนสองคนก็ยังถือว่าเป็นกลุ่มโจรอยู่นี่?
พวกข้าก็แค่รักษายอดคนเป็นให้ถึงจำนวนไว้ก็พอแล้ว”
…กลุ่มโจรทั้งหมดหน้าซีด
.
.
.
พอกลับมาที่เดลลีน พวกเราก็บอกแยกย้ายกับกองกำลัง และส่งคืนอุปกรณ์กับเกวียนที่ยืมมาจากพ่อค้า
สำหรับสมบัติของพวกโจร ส่วนใหญ่พวกเราก็ส่งคืนเจ้าของไป และพอหักลบเงินที่เสียไปทั้งหมดแล้ว ก็เหลืออยู่ราว 60 เหรียญทอง
‘เสียไปเยอะเลยแฮะ เพราะต่อให้ปราบพวกมันได้ เจ้าเมืองก็จะต้องปวดหัวกับปัญหาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นแน่’
ถ้าการขอความร่วมมือจากเมืองอื่นล้มเหลว พวกเราก็ได้จ้างนักผจญภัยมีฝีมือจากเดลลีนเผื่อไว้แล้วด้วย
ทำให้เราจ่ายเงินไปไม่น้อยเลย
แถมการค้นที่ซ่อนสมบัติของรังโจรในเหมืองก็ลำบาก ผมจึงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนักผจญภัยคนอื่นไป
ทุกอย่างจบลงแล้ว ที่เหลือก็แค่ไปรายงานที่กิลด์ล่ะ
“ในที่สุดก็ผ่านไปสักที”
ผมเหยียดตัว
“เหนื่อยหน่อยนะคะ ท่านไรเอล ถึงงั้นก็เถอะ สรุปแล้วเป้าหมายที่แท้จริงของท่านคืออะไรกันแน่คะ? ”
ผมไม่รู้ว่าควรจะตอบเธอกลับไปยังไง
ผมควรบอกเรื่องบรรพบุรุษในอัญมณีมั้ย หรือเงียบไปเลยดี?
“ไม่สิ เราควรถือโอกาสนี้บอกเธอไปเลยดีกว่า ยังไงเธอก็เห็นเราใช้สกิลในการต่อสู้ไปแล้ว
ไม่ใช่ว่าเราขาดข้ออ้างหรืออะไรหรอกนะ…”
ในตอนนั้นเองที่คุณเซลฟี่ขี่ม้าเข้ามา
“พวกเจ้าทั้งคู่ทำได้ดีมาก”
“ข-ขอบคุณที่เหนื่อยเช่นกันค่ะ คุณเซลฟี่”
ผมก็ตอบกลับไปพร้อมกับโนแวมเช่นกัน
“ไปอาบน้ำก่อนจะเข้ากิลด์กันเถอะ หัวหน้าฮาวกิ้นคงกังวลแย่แล้ว”
พอได้ยินคุณเซลฟี่พูด ภาพคุณฮาวกิ้นที่กำลังกังวลก็เด้งขึ้นมาในหัวของผมเลย
ถึงจะรู้จักกันมาไม่นาน แต่เขาก็เป็นคนดีจริงๆ
“ใช่ ไปกันเถอะ คุณเซลฟี่ก็มีธุระกับพวกเราเหมือนกันใช่ไหมล่ะครับ? ”
เธอเบิกตากว้าง
แล้วเปลี่ยนมาเป็นเอานิ้วม้วนผม และหลบตาไป
“…เอาล่ะ ข้าเคยคิดว่าเจ้าเป็นเด็กเหลือขอมาก่อน แต่ที่จริงเจ้าคือคนที่วิเศษไปเลยนะ รู้ตัวรึเปล่า? ”
เธอถอนหายใจและพูดกับพวกเรา
“หลังจากเสร็จเรื่องที่กิลด์แล้ว ไปต่อกันที่คฤหาสน์ของเจ้าเมืองกับข้าเถอะ มีบางอย่างที่พวกเจ้ารู้ไว้จะดีกว่าน่ะ”
พูดเสร็จ เธอกควบม้าจากไป
โนแวมยิ้มให้ผม
“ท่านรู้ตั้งแต่ตอนไหนกันคะ ว่าคุณเซลฟี่เป็นนักผจญภัยสังกัดเจ้าเมืองน่ะค่ะ? ”
ผมยกมือยอมแพ้
“น่าจะหลังเธอนะ แถมข้าก็ไม่ได้รู้เพราะตัวเองด้วย”
[ถูกต้อง ข้าต่างหากที่เป็นคนรู้ ไม่สิ เพราะเธอมีฝีมือ และรวบรวมข้อมูลต่างๆ ได้ในเวลาสั้นๆ
ตอนแรกมันอยู่ในระดับแค่ ‘เธอน่าสงสัยจัง?’ มากกว่า แต่พอเด็กสาวอาเรียพูดมากเข้ามันก็ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ …]
[พอแล้ว แบบนี้เรื่องก็ไม่เดินกันพอดี]
รุ่นที่สี่ออกตัวห้ามก่อนรุ่นที่สามจะเริ่มฝอยยาวเกินไป
“ส่วนฉันแค่คิดว่าเธอน่าสงสัยนิดหน่อยในตอนที่คุณฮาวกิ้นแนะนำให้เธอมาเป็นที่ปรึกษาของเรา
และตอนนั้น ต่อให้เราเลือกจ้างที่ปรึกษาแบบประหยัดก็คงจะได้เธอมาอยู่ดีค่ะ”
“นี่เธอสงสัยตั้งแต่แรกเลยเหรอ!? ”
“เพราะพวกเขาแนะนำที่ปรึกษาให้ทั้งๆ ที่พวกเราน่าสงสัยขนาดนั้น
และพวกเขาก็ไม่ได้แนะนำเรื่องนี้ให้กับคนที่มาสมัครนักผจญภัยคนอื่นเลยด้วยค่ะ”
เธอหัวเราะ
และในเมื่อเป็นแบบนั้น ผมก็สงสัยว่าทำไมเธอถึงยอมจ่ายราคาแพงไปล่ะ
โนแวมอธิบาย
“เพราะฉันคิดว่าที่ปรึกษาก็ย่อมให้คำปรึกษาดีตามค่าจ้างที่ได้รับ
เพื่อให้ท่านไรเอลบรรลุความทะเยอทะยานแล้ว การประหยัดกับเรื่องแบบนี้น่าจะไม่ดีเท่าไหร่ค่ะ”
“เป็นอย่างนั้นเหรอ? ”
‘ความทะเยอทะยาน? เราเคยพูดเรื่องนี้กับเธอด้วยเหรอ? ’
ถึงจะมีบางเรื่องที่ผมไม่เข้าใจ แต่พวกเราก็ต้องไปรายงานที่กิลด์ก่อน ผมกับโนแวมจึงมุ่งไปห้องอาบน้ำ
เพราะไม่ได้อาบน้ำมาสองสามวันแล้ว เป็นธรรมดาที่จะอยากล้างสิ่งสกปรกพวกนี้ออกไปเร็วๆ ล่ะ
‘…ความทะเยอทะยานของเราสินะ? จำไม่ได้เลยว่าพูดไปตอนไหน…การเป็นนักผจญภัยก็ไปได้ด้วยดี คิดไม่ออกแล้วแฮะ’
—-
ตอนนี้ยาววุ้ย