Sevens – ตอนที่ 14 แม้จะเรียกว่าโง่

14 ถึงจะเรียกว่าโง่ก็เถอะ

 

 

ผมติดต่อคุณเซลฟี่ไปทันทีที่ตื่นขึ้นมา

 

พวกเราเจอกันที่คาเฟ่ก่อนหน้านี้ และผมก็ขอให้เธอยอมรับคำขอของคุณล็อคเวิด

 

“เจ้าหัวกระแทกหรือไง? ถึงคิดที่จะช่วยอดีตบุตรีของขุนนางบุกรังโจรน่ะ ยังดีที่มาบอกข้าก่อน มันไม่ใช่การตัดสินใจที่ดีเลยนะ”

 

คุณเซลฟี่มองผมอย่างประหลาดใจ

 

ในหัวเธอคงจะคิดประมาณ ‘ไม่แปลกที่ไอเด็กนี่จะถูกไล่ออกจากบ้าน’ แหง แต่ไม่เป็นไร

 

เธอสั่งขนมมาและกินอย่างเรียบร้อย เธอถูกเลี้ยงมาค่อนข้างดีเหมือนที่โนแวมเคยพูดเลย

 

‘เธอเหมือนอัศวินจริงๆ ทั้งวิธีการต่อสู้ และคงเพราะอิทธิพลจากพ่อของเธอด้วย’

 

“ข้าตัดสินใจไปแล้วน่ะ ถ้าสถานการณ์มันเลวร้ายคุณเซลฟี่ก็ทิ้งพวกข้าไปได้เลย ข้าจะบอกคุณฮาวกิ้นไว้ให้เอง”

 

เธอถอนหายใจและมองไปทางโนแวม

 

“ข้าคิดว่าเจ้าจะฉลาดกว่านี้ซะอีกนะ โนแวม”

 

“มันเป็นการตัดสินใจของท่านไรเอลน่ะค่ะ แล้วก็…”

 

“แล้วก็? ”

 

“ท่านไรเอลบอกว่าท่านทำได้แน่ เพราะฉะนั้นไม่มีปัญหาหรอกค่ะ”

 

โนแวมจะเชื่อในตัวผมเกินไปแล้ว แต่นั่นก็ทำให้ผมมีโอกาสมากขึ้น

 

แถมเหล่าบรรพบุรุษก็คอยช่วยด้วย

 

“…ตระกูลล็อคเวิดตอนนี้ล่มไปแล้วนะ เจ้าจะไม่ได้แม้แต่รางวัล เห็นชุดของเธอแล้วใช่มั้ยล่ะ?

แถมผู้นำปัจจุบันก็ไม่ใช่คนดี ทั้งๆ ที่บรรพบุรุษของพวกเขาเป็นคนขยัน และเป็นขุนนางชั้นวิสเคานต์อันทรงเกียรติของเมืองหลวงแท้ๆ “

 

งั้นตระกูลล็อคเวิดก็กำลังจบสิ้นสินะ

 

แต่เมื่อล็อคเวิดไม่มีค่าจ้างให้ เราคงต้องเป็นคนจ่ายแทน

 

แล้วค่อยรับเงินคืนจากเจ้าเมืองเดลลีนทีหลัง

 

“ไม่มีปัญหา เราจะเป็นคนจ่ายค่าจ้างเอง”

 

“หะ? เดี๋ยว เจ้าคิดว่าตัวเองพูดอะไรออกมาน่ะ? ถ้าหัวเจ้ากระแทกอะไรมาจริงๆ ข้าแนะนำหมอดีให้ได้นะ”

 

ผมยิ้มขมและถามเธอต่อ

 

“งั้นคุณช่วยแนะนำใครสักคนที่มีข้อมูลของกองโจร กับเจ้าเมืองเดลลีนให้หน่อยสิครับ”

 

“เรื่องกองโจรข้าเข้าใจ แต่เจ้าเมืองด้วย? ”

 

คุณเซลฟี่ทำหน้าลำบากใจ แต่เธอกลับหรี่ตาลง

 

‘เหมือนกับที่รุ่นที่สามกับห้า…คาดการไว้เลย’

 

“ใช่ครับ”

 

ผมพูดทั้งรอยยิ้ม ในใจผมรู้ว่ามีโอกาสล้มเหลว แต่จะแสดงให้เธอเห็นไม่ได้

 

ต้องมั่นใจในตัวเองเข้าไว้ ไม่เช่นนั้นจะไม่มีใครทำตามเราหรอก

 

“เอาล่ะ คุณรู้มั้ยว่ายังไงเราจะก็ชนะ มันเป็นความเชี่ยวชาญของข้าเอง แล้วก็ ข้าเสริมอีกเรื่องได้มั้ยครับ? ”

 

ผมบลัพเพิ่มไปอีก

 

ที่จริงผมไม่เคยสู้กับมนุษย์เป็นๆ มาก่อนด้วยซ้ำ ที่มีก็แค่ประสบการณ์ที่เคยสู้กับบรรพบุรุษในอัญมณี

 

“…เรื่องอะไร? ”

 

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ มันเป็นงานง่ายๆ ที่คิดว่าคุณคงทำได้ดีแน่นอน อยากจะยื่นคำร้องต่อคุณเซลฟี่ผู้น่าเชื่อถือของกิลด์น่ะ”

 

ทุกสิ่งค่อยๆ เป็นไปตามแผนที่บรรพบุรุษของผมวางไว้

.

.

.

พวกเรามายังคฤหาสน์ของเจ้าเมืองเดลลีน

 

จากข้อมูลของพ่อค้าข่าวที่คุณเซลฟี่แนะนำ ทำให้พวกเรารู้ว่าเขาคนเป็นแบบไหน

 

รวมถึงสถานะปัจจุบันของเมืองเดลลีน

 

ตาม ที่ได้ยินมา [เวนตรา โรดอร์เนีย] เป็นขุนนางที่ยอดเยี่ยม

 

ด้วยความที่ใกล้เมืองหลวง หากเขาบริหารไม่ดีพอก็จะมีความเสี่ยงที่ผู้คนจะย้ายออกไป

 

เมื่อคำนึงถึงการเติบโตของดินแดน ที่สามารถแข่งขันกับเมืองหลวงที่อยู่ใกล้ๆ ได้

 

ตระกูลโรดอร์เนีย ถือเป็นผู้ทำให้เมืองเดลลีนเจริญเอาๆ อย่างต่อเนื่อง

 

ผมจัดคอเสื้อตัวที่ซื้อมา

 

“สักพักแล้วสินะที่ไม่ได้ใส่ชุดแบบนี้…เพราอะไรสักอย่าง ข้ารู้สึกว่ามันผ่านมานานมาก”

 

“เหมาะมากเลยค่ะ ท่านไรเอล”

 

โนแวมก็สวมชุดที่สมกับเป็นบุตรีของตระกูลบารอน…ไม่ ผมจะไม่พูดเยอะ แต่เธอสวมชุดที่น่ารักล่ะ

แน่นอนว่าอาจเป็นเพราะตัวเธอเอง ที่ทำให้ชุดที่สวมอยู่นี้เปล่งประกายออกมาได้

 

‘ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วที่เธอเป็นแบบนี้ ’

 

ตัวผมก็ไม่ได้สวมชุดนักเดินทางเช่นกัน แต่เป็นชุดชนชั้นสูง…มือสอง จากร้านเสื้อในเมืองน่ะ

 

พวกเราใช้เงินที่หามาได้ไปเยอะ แน่นอนว่ามีเหตุผลของมันอยู่

 

รุ่นที่หก ผู้รับกะในวันนี้เปล่งเสียงออกมาจากอัญมณี

 

[โอเค รูปลักษณ์เจ้าไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ทีนี้…เจ้าพร้อมจะหลอกตัวเองหรือยัง ไรเอล? ]

 

ผมแตะอัญมณีเพื่อยืนยัน

 

[เยี่ยม! งั้นพวกเราก็ไปกันเถอะ…ถึงเวลาของเจ้าหนุ่มน่าสงสารที่ถูกไล่ออกจากบ้านจะได้พบกับเจ้าเมืองเดลลีนแล้ว]

 

เมื่อรุ่นที่หกพูดแบบนั้น ผมก็มองไปทางยามหน้าประตูที่กำลังระแวงอยู่

 

เขาคงคิดไปว่าพวกเราคือลูกของขุนนางจากชุดที่ใส่อยู่

 

ไม่มีสัญญาที่พวกจะชักอาวุธออกมา

 

ผมเดินเข้าไปประกาศความประสงค์ของตัวเอง

 

“ข้าคือ ไรเอล วอลท์ และข้าอยากพบกับเจ้าเมือง เจ้าช่วยไปยืนยันให้ทีได้รึเปล่า? ”

 

ยามเบิกตากว้างเล็กน้อย

 

‘ตามคาด เขารู้จักผม คุณเซลฟี่ก็คงรู้จักผมด้วย’

 

“รอสักครู่นะครับ ข้าจะรีบไปยืนยันทันที”

 

พอบอกแบบนั้น ยามเฝ้าประตูก็เข้าไปคุยกับทหารด้านใน

 

ผมกับโนแวมยังคงยิ้มใส่เขาต่อไป

 

หลังจากนั้นก็มีผู้ชายสวมสูทออกมาพบเรา เมื่อเห็นดังนั้นผมก็เข้าใจว่ามันสำเร็จ

 

“ท่านไรเอล วอลท์ใช่ไหมครับ? ท่านเวนตรายินดีพบกับคุณ แต่ตอนนี้ท่านติดธุระอยู่กรุณารอด้านในสักครู่นะครับ”

 

ผมพยักตอบอย่างสุภาพ

 

“ข้าไม่คิดมาก ทางข้าต่างหากที่ต้องขอโทษเพราะมากระทันหัน ท่านเจ้าเมืองช่างใจกว้างต่อพวกเราจริงๆ ”

 

โนแวมโค้งคำนับอย่างเงียบๆ

 

“ถ้างั้น เชิญทางนี้ครับ…”

 

พวกเราเดินตามเขาเข้าไปในคฤหาสน์

 

ขนาดของคฤหาสน์ค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับความเจริญของเมือง  

 

[เป็นไปตามที่ข้าคิดไว้เลย]

 

เมื่อรุ่นที่หกบอก ผมก็โล่งใจที่ทุกอย่างตอนนี้ยังคงเป็นไปตามแผน

 

ตามข้อมูลที่ได้มา เจ้าเมืองเป็นคนวัย 40 รูปร่างเจ้าเนื้อ เตี้ย และอัธยาศัยดี ชื่อเสียงของเขาในหมู่ชาวเมืองก็ถือว่าค่อนข้างดี

 

สำหรับประชาชนแล้ว เขาถือว่าเป็นเจ้าเมืองที่ดี

 

แต่ถึงเขาจะดูดีแค่ไหน บางเรื่องก็ดูไม่เนื่อเชื่อถือเช่นกัน

 

เป็นข้อมูลที่ผมได้มา…เจ้าเมืองคนนี้มีด้านที่ไม่น่าไว้ใจอยู่ แต่ความเห็นเรื่องนี้ของผมกับเหล่าบรระบุรุษไม่ตรงกัน

 

[ยามเฝ้าประตู และคนรับใช้ดูภักดีจริงๆ  ข้าจะไม่พูดเยอะ แต่พวกเขาปฎิบัติกับเราอย่างดี  

น่าเชื่อถือ และยังสร้างความเจริญให้ดินแดนได้ขนาดนี้ ไม่ต้อสงสัยเลยว่าเขาคือเจ้าเมืองที่ดีเยี่ยม! ]

 

รุ่นที่หกมีความสุข

 

ผมหดหู่เล็กน้อย

 

เพราะเจ้าเมืองทั้งเชื่อถือได้และยอดเยี่ยม…เป็นที่รักของชาวเมือง

 

แต่ก็นั่นแหละ…

 

[เขาต้องยุ่งกับงานบุกเบิกดินแดนจนล้นมือ! เขาทั้งแขนสั้น และไม่สามารถททิ้งสิ่งที่ตัวเองยึดมั่นได้!

เยี่ยม! นี่ล่ะมีช่องให้หาผลประโยชน์เยอะแยะเลย! ]

 

รุ่นที่หกที่ร่าเริง เข้าใจปัญหาอย่างทะลุปรุโปร่ง

 

ทั้งเจริญอย่างก้าวกระโดด และมีงานมากมายให้นักผจญภัยทำ แต่ในขณะที่เป็นที่รักของผู้คน เขากลับละเลยกองโจร

 

ผมแน่ใจว่ามันต้องมีสาเหตุ พวกเราถึงมาที่นี่

 

บรรพบุรุษวิเคราะห์ข้อมูลที่เราได้มาอย่างตั้งใจ ทั้งบุคลิคของเจ้าเมือง ปัญหาของดินแดน และสถานการณ์ปัจจุบัน

 

[มีเขาวงกตสองแห่งเกิดขึ้นในดินแดนนี้ ทำให้เขาต้องส่งทหารและอัศวินออกไป เขาเอาใจใส่หมู่บ้านรอบนอกอย่างดี…ฮึ่ย! เจ้าเมืองโคตรดี! ]

 

‘ถึงคุณจะพูดชมเขาขนาดนั้น แต่พอการเจรจาเริ่มขึ้น เรื่องพวกนั้นแหละที่เราจะเจาะเข้าไป…’

 

ผมสงสัยว่าเขาร่วมมือกับพวกโจรเองหรือเปล่า แต่เพราะมีคนมายุ่งกับเครือข่ายข่าวสาร ข้อมูลตรงส่วนนั้นจึงหายไป

 

‘ก็ว่าอยู่ตั้งแต่ที่เรามาถึงเมืองเดลลีน กลับไม่เห็นคนที่มีเหมือนโจรสักคน’

 

ถ้าพวกมันมีเอี่ยวกับเจ้าเมืองจริง เราก็แค่ไปต่อรองให้เขาคืนอัญมณีมา

 

พวกเราถูกบอกให้รออยู่ในห้อง โนแวมกับผมเลยนั่งจิบชาบนโซฟา

 

‘เอาล่ะ เราต้องแสดงบทเป็นขุนนางหนุ่มผู้น่าสงสารที่ถูกไล่ออกจากตระกูล’

 

ถึงผมจะรู้สึกว่าตอนนี้ก็ตรงตามบทอยู่แล้ว แต่การแสดงออกไปก็มีความสำคัญ  

ผมจะเอาชื่อ วอลท์ ไปใช้อย่างดีเลยล่ะ

 

ผมได้รับอนุญาตจากบรรพบุรุษแล้ว เพราะงั้น…คงไม่เป็นอะไรหรอกนะ

 

[ฮ่าฮ่าฮ่า! มันน่าสนใจขึ้นมาแล้ว ไรเอล! ]

 

ความอินของรุ่นที่หกทำให้ผมผงะเล็กน้อย

.

.

.

ไม่รู้ว่าเพราะงานเสร็จแล้วรึเปล่า แต่หลังจากผ่านไปเป็นชั่วโมงเจ้าเมืองก็มาหาพวกเรา

 

เขามองตรงมาที่ผม

 

“ข้า ไรเอล วอลท์ ผู้ที่ถูกขับไล่ออกจากดินแดนของตัวเอง แต่ข้าตั้งใจจะทวงคืนเกียรติยศนั้นกลับมาอีกครั้ง!

เพราะแบบนั้นข้าเลยต้องความช่วยเหลือของท่านเวนตรา”

 

อดีตทายาทของขุนนางอาณาเขตวอลท์

 

นั่นคือมุมมองปัจจุบันที่เขามองผม

 

ผมคิดแล้วว่าข้อมูลที่มาถึงเดลลีนไม่ได้ลงรายละเอียดเรื่องนี้ไว้มากนัก

 

ในขณะเดียวกันถ้าใช่ช่องโหว่นี้ ผมก็จะสามารถปรับสถานะของตัวเองในที่แห่งนี้ได้

 

[เจ้าเด็กโง่ที่จะถูกไล่ออกมาก็ไม่แปลกใจ…พวกช่างฝันก็ด้วย บทขุนนางที่เอาแต่เพ้อฝันเหมาะกับเจ้าตอนนี้ที่สุดแล้ว ไรเอล]

 

นั่นเป็นความเห็นของรุ่นที่ห้า

 

แน่นอนว่าก็มีบรรพบุรุษบางคนที่ไม่พอใจอยู่

 

แต่ตอนนี้ ผมอยู่ในสถานการณ์ที่จะมีคนเข้าหาเพื่อใช้ประโยชน์ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

 

เหล่าบรรพบุรุษก็รู้สึกว่าข่าวสารสมัยนี้ไปไวกว่าในยุคของพวกเขามาก

 

เพื่อป้องกันตัว ผมจะใช้โอกาสตอนนี้ในการสร้างจุดยืนของตัวเองขึ้นมา

 

ตระกูลวอลท์ยังไม่ได้ทำอะไรเรื่องของผมนัก

 

ผมจึงมีแผนที่จะตรวจสอบว่าพวกเขาจะทำอะไรด้วย

 

พวกเขาจะมากำจัดผมหลังจากที่ผมประกาศตัวไปแบบนี้มั้ย? หรือจะเมินต่อไป?

 

เพื่อเรียนรู้พฤติกรรมของสัตว์ประหลาดที่อยู่เหนือตระกูลวอลท์อย่างเซเลส เราจึงตั้งใจจะใช้เรื่องนี้อย่างเต็มที่

 

‘แต่มันจะลำบากใจนะ ถ้าจู่ๆ พวกเขาส่งนักฆ่ามาเลยน่ะ’

 

บรรพบุรุษบอกว่า ปัญหาเรื่องนี้จะถูกแก้ด้วยสกิลของรุ่นที่หนึ่งเอง

 

มันช่วยไม่ได้หนิ ใครจะเชื่อลงว่าสกิลของเขามันเจ๋งจริง ถ้ามองไปเห็นผู้ก่อตั้งที่ลุคเซอร์ๆ เถื่อนๆ แบบนั้น  

 

เจ้าเมืองตรงหน้าผม…เวนตรา โรดอร์เนีย ทำใบหน้าอ่านยากเมื่อมาที่ผม

 

[ยอดเยี่ยม ไรเอล นั่นคือใบหน้าของคนที่เก็บความลับไม่เป็นเอาซะเลย! เขาเล่นแสดงออกมาทางใบหน้าแบบนั้น กร๊าก ฮ่าฮ่าฮ่า! ]

 

รุ่นที่หกกล่าวอย่างรื่นเริง

 

“ค-คุณไรเอล ถึงจะขอให้ข้าสนับสนุนก็เถอะ แต่ถ้ามากระทันหันแบบนี้ข้าก็ยังตอบไม่ได้หรอก

แล้วข้าก็ไม่คิดว่ามันจะสำเร็จด้วย เพื่อตัวคุณเอง ข้าจะทำเป็นไม่ได้ยินก็แล้วกัน ฉะนั้นวันนี้คุณกลับไปก่อน…”

 

เขาจะทำเป็นไม่ได้ยิน หรืออีกอย่างก็คือ เขาไม่อยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้น

 

ตระกูลวอลท์อยู่ในที่ห่างไกล แต่ก็ยังเป็นชั้นเคานต์ มันบ่งบอกถึงความสามารถทางการรบ และเส้นสายที่มีต่อเมืองหลวง

 

นั่นคือสิ่งที่คุณเวนตราต้องคิดเมื่อมาพัวพันกับลูกชายงี่เง่าอย่างผม

 

[อย่างนั้นแหละ ไรเอล…เขาทำหน้าเหมือนกับมีระเบิดมาลงในเมืองของเขาเลย! เขาดูอยากจะเตะเจ้าออกไปนะ! ]

 

เขาคงกำลังคิดว่าจะทำยังไงกับผมดี ขับรับใช้ที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาไม่แสดงอาการลกใดๆ ออกมา

 

เขาน่าจะเป็นการ์ดที่มีความสามารถมาก

 

‘เพียงเขายืนเฉยๆ ก็ปล่อยแรงกดดันออกมาได้แล้ว…เขาน่าทึ่งมาก’

 

การที่มีคนอย่างเขาเป็นลูกน้องได้ก็แสดงถึงคุณค่าของคุณเวนตราเช่นกัน

 

“จริงสิ ท่านเวนตรา…ข้าได้ยินมาว่าเมื่อเร็วๆ นี้มีกองโจรที่เข้าไปตั้งฐานอยู่ในเหมืองร้างสินะ

ไรเอลผู้นี้ตั้งใจจะเป็นประโยชน์ต่อท่าน จึงอยากจะขออนุญาตเข้าไปปราบพวกมันน่ะ”

 

“ขออนุญาต? อ๋อ ข้าได้ข้อมูลมาว่าคุณเป็นนักผจญภัย หมายถึงเรื่องนั้นสินะ? ”

 

เขาคงตรวจสอบผมอย่างดี

 

แม้กระทั่งเรื่องที่ผมทำหลังจากมาที่เมืองนี้

 

เขาคือของจริง

 

“ใช่ เมื่อคิดถึงตำแหน่ง ข้าคิดว่าท่านไม่มีทางปล่อยกองโจรไว้อยู่แล้วจึงมาขออนุญาต

มีปัญหาอะไรงั้นรึ? หลังจากปราบมันแล้ว ข้าจะยกเครดิตทั้งหมดให้ก็ยังได้เลยนะ ท่านเวนตรา! ”

 

ผมพูดด้วยรอยยิ้ม และคุณเวนตราก็ส่งสายตาไม่สบายใจ

 

“อย่ากังวลไปเลย ข้าจะจ้างนักผจญภัยมืออาชีพจากกิลด์ด้วย จำนวนคนพอแน่นอน”

 

ผมเพิ่มความมั่นใจให้เขาต่อไป

 

ใบหน้าของคุณเวนตราซีดเล็กน้อย

 

“…มันเป็นข้อเสนอที่น่ายินดีมาก แต่ข้าคิดว่าคุณควรจะปล่อยเรื่องในดินแดนนี้ให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะ

ครั้งนี้ข้าขอรับแค่ความหวังดีก็พอ และ…”

 

[ดี ไรเอล…เอาเลย]

 

พอรุ่นที่หกส่งสัญญาณ ผมก็ทำหน้าเสียใจเล็กน้อย

 

“เป็นงั้นรึ…เช่นนั้นข้าจะไปปราบพวกมันด้วยตัวเองตอนนี้เลย เห็นแบบนี้ข้าก็คือตระกูลวอลท์นะ!  แค่โจรกองสองกองมันง่ายจะตาย

โอ ข้าจะไม่พูดชื่อท่านเวนตราหรอก ฉะนั้นไม่ต้องห่วง”

 

ผมเปลี่ยนเป้าหมาย

 

แต่คุณเวนตรากลับทำหน้าลำบากใจมากขึ้น

 

[ถึงจะถูกไล่ออกมา แต่เจ้าก็ยังคงเป็นคนของตระกูลวอลท์อันทรงเกียรติ…

ข้าพนันได้เลยว่าข้อมูลที่ไม่แน่นอนตอนนี้จะทำให้เขาตัดสินใจไม่ได้ ถ้าเจ้าขยี้ต่ออีกหน่อยเขาต้องหงุดหงิดแน่ เอาล่ะ…มันเริ่มจะสนุกแล้วสิ! ]

 

“…คุณไรเอล ข้าขอพูดตรงๆ นะ ถึงจะเป็นอดีต แต่คุณก็คือทายาทของตระกูล ข้าจะยินดีถ้าคุณไม่เข้ามายุ่งเกินไป

ในเมื่อตอนนี้คุณเป็นนักผจญภัย ก็ควรอยู่อย่างนักผจญภัย ถ้าเป็นเรื่องทางนั้นคนไร้ความสามารถอย่างข้าก็ยินดีให้ความช่วยเหลือ

แต่ข้าจะขอบคุณมากถ้าคุณไม่เข้ามายุ่งเรื่องของดินแดนนี้นะ”

 

‘ไร้ความสามารถเหรอ…เขาคงหมายถึงช่วยเรื่องเงินสินะ แสดงว่าตอนนี้อยากจะไล่เราออกไปจริงๆ แล้วล่ะ’

 

คุณเวนตราคิดว่าผมต้องการเงิน แต่ทางนี้ก็มีเหตุผลที่ไม่ว่ายังไงก็จะล่าโจรให้ได้อยู่

 

‘ขอโทษนะครับ’

 

“พอมาคิดดูแล้ว…”

 

เมื่อผมกำลังจะพูด แต่เพราะอาจจะโกรธที่ผมเมินคำพูดเมื่อกี้ทำให้คิ้วของเขากระตุก

 

“มีอะไรล่ะ? ”

 

“แค่โจรพวกนี้มันดูกร่างเกินไป ทั้งๆ ที่อยู่ใกล้ชายแดนแต่กลับตั้งฐานอยู่ฝั่งเมืองเดลลีน

พวกมันต้องซุกสมบัติไว้แน่ๆ…และเมืองรอบๆ คงลำบากใจมากถ้าเจ้าเมืองปล่อยพวกมันลอยนวลนะ”

 

“…ก็แค่อาจจะ”

 

ภายนอกเขาไม่มีอะไรเปลี่ยน แต่ผมรู้ว่าตอนนี้เขาต้องรำคาญผมอยู่

 

[ถ้าเจ้าโยงไปถึงเจ้าเมืองอื่น มันจะต้องตรงประเด็นแน่ ยิ่งตอนนี้ที่กำลังทหารของเขาน้อยลงทำให้การป้องกันทำได้ยากไปอีก]

 

การที่พวกมันออกปล้นฆ่าไปทั่วดินแดน แต่เจ้าเมืองกลับไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่ง

 

ทั้งๆ ตั้งฐานอยู่กันอย่างเปิดเผยแต่กลับไม่ถูกปราบ มันน่าสงสัยมาก เมื่อผมพยายามขุดคุ้ยเรื่องนี้เพิ่มขึ้นก็พบว่ามันไม่สนุกเท่าไหร่

 

เพราะการนำกองกำลังอื่นข้ามดินแดนมาถือเป็นเหตุผลในการเริ่มสงคราม

 

ทำให้เจ้าเมืองอื่นต้องปล่อยพวกมันไว้ และยังทนอยู่แบบนี้

 

‘เดี๋ยวนะ เราเดาว่าพวกโจรมีผู้นำที่ฉลาด แต่ที่จริงอาจจะเป็นเพราะบังเอิญก็ได้‘

 

ถ้าหากพวกมันเลือกที่ตั้งคาบชายแดนเพราะรู้อยู่แล้ว ก็ถือเป็นศัตรูที่น่ากลัว แต่เหมือนจะไม่ใช่นะ

 

บรรพบุรุษสรุปทันทีว่าพวกโจรไม่ได้มีความสามารถสูงขนาดนั้น  

ผมคิดว่าพวกมันอาจจะแค่ชอบใช้ประโยชน์จากภูมิประเทศแถวนั้นในการดักปล้นมากกว่า

 

แต่โจรที่อาละวาดไปทั่วดินแดนอื่นกลับไม่ออกปล้นในเดลลีน เจ้าเมืองคนอื่นจะคิดยังไง?

 

“ในขณะที่ท่านกำลังยุ่งอยู่นี้ ข้าไรเอลผู้ต่ำต้อยจะช่วยแบ่งเบาปัญหาที่ท่านเผชิญอยู่  

ท่านเวนตรา มันคงไม่แปลกถ้าดินแดนรอบๆ จะเข้าใจผิดว่าท่านเกี่ยวข้องกับพวกโจรใช่ไหมล่ะ? ”

 

พอผมพูดแบบนั้น เขาก็ถอนหายใจ

 

“เฮ้อ…ต้องการอะไร? เจ้าจะสื่อว่าการที่ตัวเองย้ายมาอยู่ที่นี่จะเป็นบุญคุณกับข้างั้นเรอะ? ข้าเห็นแต่ข้อเสียทั้งนั้น”

 

‘ไม่ใช่เรื่องนั้น’

 

ผมพูดต่อด้วยรอยยิ้มที่สดใส

 

“โปรดให้ข้ายืมกำลังคนและเงินทุน แล้วข้าจะแสดงให้เห็นว่าสามารถไล่พวกโจรนั่นออกไปได้อย่างหมดจด ก็แค่…”

 

“แค่?”

 

ผมตอบหลังจากเว้นช่วงนิดหน่อย

 

“ข้าจะนับเป็นเครดิตของตัวเอง และสมบัติของพวกมันต้องตกเป็นของข้า โดยที่ท่านเวนตราจะสนับสนุนแค่เงินกับกำลังคน”

 

ข้อเสนอนี้ผมได้เปรียบอย่างมหาศาล

 

แถมยังสร้างบุญคุณกับคุณเวนตราได้อีกด้วย เพราะผมเป็นคนที่กำจัดพวกโจรออกไปจากดินแดนของเขา

 

และการที่ผมกำจัดพวกมันในฐานะนักผจญภัย เจ้าเมืองคนอื่นก็จะเอะอะอะไรไม่ได้

 

สมบัติของพวกมันจะตกมาที่ผมเต็มๆ และคุณเวนตราก็จะไม่ถูกสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

 

[เจ้าเมืองเดลลีนใช้โจรปล้นสะดมทรัพย์สินจากเมืองอื่น …เขาต้องไม่อยากให้เกิดความคิดนี้ขึ้นแน่! เพราะมันจะทำให้ดินแดนของเขาลุกเป็นไฟ! ]

 

รุ่นที่หกส่งเสียงยินดีออกมาอีกแล้ว

 

“เจ้าดูจะรู้เรื่องกำลังคนที่ข้ามีในตอนนี้บ้างสินะ แต่พวกเขาก็คือประชาชนของเมือง ข้าไม่อาจให้เจ้าเอาไปได้หรอก”

 

“ข้าเข้าใจ งั้นหมายความว่าท่านยินดีจะให้เงินทุนข้าสินะ? ”

 

‘ใช่ เรารู้อยู่แล้วล่ะ’

 

ผมต้องทำให้เขารู้ว่าผมเป็นคนแบบไหน เอาสิ…[ไรเอลผู้ช่างฝัน] เพื่อให้เขามองมาแบบนั้น ผมต้องใส่ความโลภเข้าไป

 

เรื่องการให้ยืมทหารหรืออำนาจในการหาคนถูกปัดทิ้งไป

 

“ได้สิ ข้าจะมอบ 50 เหรียญทองให้เจ้า”

 

[อืมม ตามมาตรฐานของวันนี้ ฟังดูไม่น้อยไปหน่อยเหรอ? ไรเอลขยับเพดานซิ ฟังนะ การต่อรองคือ…』

 

ผมขึ้นราคาตามคำพูดของรุ่นที่หก  

 

“พวกโจรจะหายไป และปัญหาของท่านก็จะคลี่คลายเลยนะ สัก 200 เหรียญทองฟังดูเป็นไงบ้าง?”

 

พอฟังข้อเสนอของผม คุณเวนตราก็หัวเราะออกมา

 

“อะฮะฮะฮะ คุณไรเอล… จะดูถูกข้าไปหน่อยรึเปล่า?”

 

เมื่อพูดแบบนั้น เขาก็ส่งสัญญาณด้วยนิ้วกับผู้ติดตามข้างๆ  

 

ผู้ติดตามออกจากห้องไป

 

ผมต้องเสนอเงินต่ำกว่าที่เขาคาดไว้แหง

 

เมื่อพิจารณาถึงขนาดของเมืองเดลลีน มันเป็นจำนวนเงินที่ขนหน้าแข็งของเขาไม่ร่วงแน่ๆ

 

แต่นั่นก็คือเป้าหมายของผม

 

[ดี ถือว่าผ่าน เขาคงคิดว่าเจ้าหลุดโลกไปแล้ว และขนาดเจ้ายังไม่ค่อยรู้เรื่องเล่ห์เหลี่ยมพวกนี้เท่าไหร่นะเนี่ย』

 

เสียงของรุ่นที่หกฟังดูพอใจ

 

‘ก็แค่ต้องทำตัวให้อีกฝ่ายคิดว่าเราเป็นคนไม่ดี มันก็ง่ายแหละ แต่… มันเหนื่อยนะ)

 

เมื่อผู้ติดตามกลับมา ในมือของเขาก็โอบกระเป๋าหนังใบหนึ่งมาด้วย

 

ข้างในนั้นมีเหรียญทองอยู่สองร้อยเหรียญ

 

“คุณไรเอล คุณจะต้องปราบพวกโจรด้วยชื่อของคุณเอง ข้าเตรียมเงินทุนให้แล้ว ถึงแบบนั้นพวกเราก็จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน ใช่ไหม?”

 

“ตามนั้น! ขอบคุณมากท่านเวรตรา!”

 

[เขาคงคิดว่าตัวเองจะไม่เสียอะไรเลยต่อให้เราจะล้มเหลว ถ้าเราทำสำเร็จ เขาจะไม่มีเรื่องขัดแย้งกับดินแดนข้างเคียง  

หากเราแพ้ ระเบิดเวลาที่เรียกว่าไรเอลก็จะหายไป และกองโจรก็อาจจะย้ายถิ่นไปด้วย สองร้อยเหรียญทองถือเป็นราคาที่ถูกมาก』

 

โนเวมที่อยู่ข้างๆ ผม ทำเพียงแค่นั่งดูการแลกเปลี่ยนนี้ด้วยรอยยิ้ม

 

คุณเวนตราต้องคิดว่าผมเป็นบุตรขุนนางงี่เง่าเลอะเลือนที่เอาแต่ตามผู้หญิงต้อยๆ แน่

 

‘ทีนี้ก็…’

 

[ไรเอล ขั้นต่อไปคือรวมคน! ]

 

ขณะที่ฟังเสียงร่าเริงของรุ่นที่หก ผมก็จับมือกับคุณเวนตราด้วยรอบยิ้ม  

และเขาที่ยิ้มตอบมาก็เตือนผมว่าอย่าใช้ชื่อของเขานะ

 

 

 

 

แปลยากโว้ยยย ตอนคุยกับเจ้าเมืองเนี่ย นั่งเทียนตั้งนานว่าคุยกันเรื่องอะไรกันฟ่ะ?

 

 

 

 

Sevens

Sevens

อ่านนิยาย เรื่องSevens เดิมไรเอลเป็นลูกชายคนโตที่ต้องรับช่วงต่อของตระกูล แต่พอเขาอายุได้ 10 ปี พ่อแม่ก็เริ่มไม่สนใจเขา แล้วหันไปเห่อน้องสาวของเขาแทน จนวันนึงในตอนที่เขาอายุครบ 15 ปี น้องสาวของเขาก็ท้าประลองเพื่อชิงตำแหน่งผู้สืบทอด และเขาก็ได้พ่ายแพ้ หลังจากที่ฟื้นตัว เขาก็ได้รับสืบทอด พลังone for all- เอ้ย อัญมณีที่มีความทรงจำของบรรพบุรุษทั้ง 7 คน และเริ่มออกผจญภัยไปกับเพื่อนสมัยเด็ก

Comment

Options

not work with dark mode
Reset