รักแรก
—-
หลังกลับมาจากการล่า ผมที่โซเซก็ช่วยขายชิ้นส่วนมอนสเตอร์ที่รวบรวมมาได้ และมุ่งหน้าไปที่กิลด์ต่อ
ปกติแล้วทางกิลด์จะไม่รับชิ้นส่วนมอนสเตอร์ใดๆ
แต่สำหรับหินสีแดงก้อนเล็กที่ได้รับจากแกนกลางมอนสเตอร์ หินเวทมนต์ทั้งหมดจะถูกจัดการโดยกิลด์
หินเวทมนต์….จัดเป็นแหล่งพลังงานที่มีค่า โดยกิลด์เป็นผู้ถือครองกรรมสิทธิ์ไว้
นักผจญภัยเลยขายวัสดุหรือวัตถุดิบให้กับพ่อค้า และขายหินเวทให้กับกิลด์ แล้วทางกิลด์ก็หากำไรจากธุรกิจหินเวทอีกที
แน่นอนว่าธุรกิจหินเวทได้รับความสนใจอย่างมาก
และด้วยการบริหารของกิลด์เองก็กอบโกยกำไรไปมหาศาล
แต่ธุรกิจที่ว่ากลับไม่มีผลกระทบต่อพ่อค้าธรรมดาส่วนใหญ่
เพราะพวกเขาไม่มีเหตุผลพอที่จะไปเสี่ยงต่อต้านระบบการค้าผูกขาดขนาดยักษ์ของกิลด์ล่ะ
พอคิดเพลินๆ ผมก็มารอคิวอยู่ในแถวของคุณฮาวกิ้นซะแล้ว
ส่วนคุณเซลฟี่ที่โดนเลือดก็อบลินเปรอะกำลังใช้ห้องอาบน้ำข้างกิลด์อยู่
ผมยืนเข้าแถวอยู่กับโนแวมที่กำลังพูดด้วยความเป็นห่วง
“ท่านไรเอลแน่ใจนะคะว่าไม่เป็นไร? หน้าคุณยังซีดอยู่เลย”
“ข้าสบายดีหน่า นี่ก็ดีขึ้นมากแล้ว อีกอย่างพอเสร็จตรงนี้พวกเราก็จะกลับกันแล้วด้วย…”
ผมพยายามให้เธอไม่ต้องเป็นห่วง แต่สุดท้ายก็กลับเป็นแบบนี้อีกจนได้
[อย่างที่ข้าคิดเลย เจ้ามันปวดเปียก]
ผมได้ยินเสียงที่มีความสุขของรุ่นที่หนึ่ง เมื่อเห็นผมในสภาพอ่อนแอ
‘ไม่ใช่ อย่าลิมสิว่ามันเป็นความผิดของพวกคุณน่ะ’
รุ่นที่เจ็ดพูดกับรุ่นที่หนึ่งที่กำลังยิ้มแย้ม
[แล้วใครกันนะ ที่หน้าแดงแจ๋จนถึงเมื่อกี้น่ะ? ]
[ม-ไม่ใช่ข้านะ! ]
[จะไม่ใช่เจ้าได้ยังไง! เพราะพูดไว้ซะจริงจัง ขุดหลุมฝังให้ตัวเองแท้ๆ ]
ผมนึกถึงภาพของรุ่นที่เจ็ดฉีกยิ้มในหัว
แต่ถ้าจะให้ดี คุณน่าจะนึกถึงพลังเวทของผมอีกสักหน่อยนะ
“ท่านไรเอล ผิวซีดอีกแล้….พรุ่งนี้พักกันเถอะค่ะ วันนี้ท่านทำเกินตัวไปมากเลย ข้าจะบอกคุณเซลฟี่ แล้วก็…”
“ก็ได้ ขอโทษทีนะ…”
ผมควรจะโกรธพวกบรรพบุรุษ ที่ใช้พลังเวทของผมทันทีที่เริ่มฟื้นตัวซะดีมั้ยเนี่ย?
“เชิญท่านต่อไปครับ…เดี๋ยว พ่อหนุ่มไรเอล!? หน้าเจ้าซีดมากเลย! ”
ผมทำให้คุณฮาวกิ้นเป็นห่วงซะแล้ว
“ข-ข้าไม่เป็นไร”
“นั่นไม่ใช้หน้าของคนที่ไม่เป็นอะไรแน่ๆ…เฮ้อ แล้วคุณเซลฟี่ไปไหนล่ะครับ? “
หลังจากที่คุณฮาวกิ้นรีบปั่นงานเอกสารจนเสร็จ พวกเราก็กลับที่พัก และผมก็นอนสลบไปทันที
.
.
.
วันถัดมาจากการออกล่ามอนสเตอร์คือวันหยุด
ในขณะที่การเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์คือการขัดเกลาความสามารถของนักผจญภัย
การใช้เวลาพักผ่อนก็ถือว่าสำคัญไม่แพ้กัน
เหมือนพวกเรา นักผจญภัยที่ออกไปล่ามอนสเตอร์ใกล้ๆ เมืองเป็นประจำ ก็จะมีวันหยุดของตัวเอง
ซึ่งถ้าเอาแต่ล่าสไลม์เพียงอย่างเดียว รายได้จะน้อยเกินไป
สำหรับครั้งนี้ที่พวกเราจัดการก็อบลินได้ถือว่ารายได้ไม่เลว แต่ด้วยสภาพของผมทำให้วันหยุดที่ว่ากลายเป็นแบบนี้
คือการอยู่แต่ในบ้านเช่า และโนแวมก็คอยพยาบาลผม
“อย่าที่ข้าคิด ความเหนื่อยล้าจาการต่อสู้ถือเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ครั้งหน้าเรามาหาพรรคพวกที่จะช่วยลดภาระของคุณกันเถอะค่ะ ท่านไรเอล”
ผมอยากจะบอกโนแวมว่าห่วงผมมากไปแล้ว แต่ก็ทำไม่ได้
ซึ่งเหล่าบรรพบุรุษก็มีความเห็นแบบเดียวกับเธอ
ในตอนนั้น การที่เวทมนต์ของผมสามารถจัดการก็อบลินทั้งเจ็ดตัวลงได้
ก็เพราะมีแนวหน้าที่แข็งแกร่งอย่างคุณเซลฟี่อยู่ด้วย
เธอเข้าปกป้องพวกเราทันที และไม่ยอมปล่อยให้พวกมันสักตัวเข้ามาใกล้
การที่ได้เธอคอยล่อไว้ให้ผมถึงใช้เวทมนต์ได้
ที่ห้องนั่งเล่น ผมนั่งลงบนโซฟาเก่าๆ ที่ผิวลอกจนเห็นไส้ใน และเหม่อมองเตาผิงที่ไม่ได้จุดไฟ
ผมกำลังคิดหนัก
‘ถ้าจะหาคนเพิ่ม ก็ควรจะเป็นคนที่สู้ระยะประชิดได้สินะ? ถึงจะทับกับตำแหน่งของเราก็เถอะ’
ด้วยผมกับโนแวม ไม่ว่าจะรับสมาชิกแบบไหนมาก็ดีทั้งนั้น
ไม่ว่าจะเป็นนักธนู หรือต่อให้พวกเราทั้งสามคนสู้ในระนาบเดียวกัน ปาร์ตี้ก็จะสมดุลอยู่ดี
“ตามที่คุณเซลฟี่บอกคือขั้นต่ำสามคนงั้นเหรอ”
“ใช่แล้วค่ะ ถ้ามัวแต่จุกจิกเรื่องนี้ก็จะไม่จบสักที ทำไมเราไม่ลองหาใครสักคนมาก่อน มันน่าจะโอเคไปสักพักนะคะ”
“พลังของจำนวนคนสินะ? ”
พอผมพูดจบ ก็ได้ยินเสียงของรุ่นที่ห้าที่พูดไม่บ่อยนัก
เพิ่งได้ยินเสียงเขาก็จริง แต่วันนี้คงจะเป็นตาของรุ่นที่ห้าล่ะ
[ก็ไม่ผิดหรอก แต่ข้าคิดว่าไรเอลควรจะเข้าใจหลักเรื่องสมาชิกที่เหมาะสมเสียก่อน]
‘สมาชิกที่เหมาะสม? ’
[การวมกองกำลังให้ใหญ่ขึ้นเป็นเรื่องที่สำคัญก็จริง แต่เจ้าจะรักษามันไว้ได้รึเปล่าล่ะ?
พวกเขาเป็นคนที่จำเป็นต้องมีจริงๆ หรือ? แล้วเจ้าจะพัฒนากองกำลังนั้นไปทางไหน?
มีเรื่องที่ต้องพิจารณาเป็นภูเขา ไหนจะความสามารถ บุคลิก ลักษณะเฉพาะ สถานการณ์…
ความยากของการเป็นผู้นำคน มันไม่เกี่ยวกับขนาดของกองกำลังหรอกนะ]
ผมมองไปที่โนแวม
ที่กำลังเดินออกจากห้องนั่งเล่นไปทางครัว เธอน่าจะไปชงชา
ผมคุยกับรุ่นที่ห้าด้วยเสียงกระซิบ
“คุณคิดว่าคนแบบไหนที่พวกเราควรหาเข้าปาร์ตี้หรือครับ? ”
[คิดว่าอะไรคือสิ่งจำเป็นสำหรับเจ้าตอนนี้ซะสิ แต่คนที่มีความสามารถย่อมมีความต้องการสูงอยู่แล้ว
ข้าสงสัยว่าเจ้าจะได้คนที่หวังมาเข้าปาร์ตี้หรือเปล่า]
‘อย่างที่คิด มันยากสินะ’
“ถ้าร่วมปาร์ตี้กันชั่วคราวแล้วค่อยเรียนรู้นิสัยของเขาจะดีกว่ามั้ยครับ? ”
[ทำไมเจ้าไม่ไปถามนักผจญภัยเซลฟี่ที่รู้เรื่องพวกนั้นเสียล่ะ? ในที่นี้ไม่มีคนที่มีความรู้สำหรับการเป็นนักผจญภัยหรอก]
“ใช่ ก็จริงครับ…”
‘ความรู้เรื่องนักผจญภัย…รุ่นที่หนึ่งกับรุ่นที่สองดูจะพึ่งพาได้กว่าสินะ’
รุ่นที่หนึ่งกับสอง คือคนที่เปลี่ยนดินแดนทุรกันดารให้เป็นหมู่บ้านของตระกูลวอลท์ขึ้นมาแทน
ถึงจะไม่ใช่นักผจญภัย แต่ความสำเร็จของพวกเขาก็ไม่ต่างกันนัก
ถึงรุ่นที่สองจะเป็นคนพูดแทน แต่รุ่นที่หนึ่งคือคนที่มีสกิลที่เหมาะสมกับเรื่องนี้มาก
ส่วนสกิลของรุ่นที่สองเอง จะแสดงผลควบคู่ไปกับทักษะอื่นมากกว่า
ทำให้สกิลของรุ่นที่หนึ่งน่าจะเป็นสกิลเดียวที่ผมสามารถใช้ได้
“ทางที่เร็วที่สุดก็คือให้รุ่นที่หนึ่งคอยช่วยข้างั้นหรือครับ? ”
[ถูกต้อง มันคือสกิลที่เรียบง่ายแต่มีประโยชน์ ข้าก็เคยใช้มันจึงรู้ดี นอกจากใช้ง่ายแล้ว ถ้าใช้คู่กับสกิลของรุ่นที่สอง
ความสามารถของการต่อสู้ของเจ้าจะเพิ่มขึ้นในทันทีเลยล่ะ]
สกิลของรุ่นที่หนึ่งเป็นประเภท [เพิ่มความสามารถ]
และชื่อของมันคือ [เต็มพิกัด] [Full Over]
สกิลที่ใช้ในการเพิ่มความสามารถเพื่อเอาชนะศัตรู
ใช้ง่าย และอรรถประโยชน์สูง บรรรพบุรุษทุกคนก็ใช้มันมาตลอด
[มันขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง…แต่ในทุกรุ่น พวกเราก็ใช้มันได้เลยน่ะ]
พอมาเป็นอัญมณี สกิลก็จะมีเจตจำนงค์ของตัวเอง
มันอัดแน่นด้วยความทรงจำและตัวตนของบรรพบุรุษในอดีต หรือก็คือตัวบรรพบุรุษนั่นแหละที่เป็นสกิล
หมายความว่าถ้าพวกเขาไม่อนุญาต ผมก็ไม่สามารถใช้สกิลนั้นได้
[ส่วนสกิลของข้ามันเกินตัวเจ้า ไม่ใช่ว่าข้าเกลียดเจ้านะ เพราะสำหรับเจ้าตอนนี้สกิลนี้จะเป็นแค่ภาระเท่านั้น
ถ้าเจ้าเพิ่มพลังเวทอย่างต่อเนื่องก็คิดว่าเป็นไปได้อยู่…]
“ปัญหาคือไม่รู้ว่าต้องทำยังไงน่ะสิ ข้ารู้แค่ว่ามันจะเพิ่มขึ้นเองตามการเจริญเติบโต”
อีกวิธีเพิ่มพลังเวทก็คือใช้งานมันไปเรื่อยๆ แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าทฤษฎีนี้มันได้ผลจริงหรือเปล่าล่ะ
ส่วนตัวผมคิดว่ามันมีผลอยู่บ้าง แต่ถึงไม่ทำอะไรพลังเวทก็จะเพิ่มตามการเติบโตอยู่ดี
แล้วก็ยังมีความเชื่อเรื่องการล้มมอนสเตอร์จะทำให้พลังเวทเพิ่มขึ้นอยู่ด้วย
แต่ก็ไม่มีใครสักคนที่ผมรู้จักยืนยันมันได้เลย
[ถ้าเจ้ารู้ว่าสกิลของตัวเองคืออะไร อาจมีทางอื่นอยู่อีกก็ได้ อดทนสักหน่อยไหม? ]
“เฮ้อ…”
‘ถึงเราจะมีอัญมณีสกิลอยู่ แต่มันก็ไม่ช่วยอะไรเลย…’
พอโนแวมกลับมาพร้อมน้ำชา บทสนทนาจึงจบลงตรงนั้น
.
.
.
วันถัดมา
หลังจากโนแวมกับผมมาพบคุณเซลฟี่ พวกเราก็ถูกบอกถึงการเปลี่ยนกำหนดการ
พอรับคำร้องจากิลด์เสร็จ พวกเราก็มุ่งหน้าไปที่คาเฟ่ประจำของเหล่านักผจญภัย
ที่เป็นแบบนี้ คงเพราะที่นี่อนุญาตให้นำอาวุธเข้ามาได้นั่นเอง
พอมาถึงที่นั่งริมหน้าต่าง พวกเราก็นั่งลงและสั่งชา ส่วนคุณเซลฟี่ก็สั่งขนมหวานด้วย
“เข้าเรื่องเลยนะ พวกเจ้ายังจำเรื่องที่ข้าบอกให้หาคนเพิ่มได้มั้ย?
มันเกี่ยวกับเรื่องนี้แหละ…ข้าอยากให้เจ้าคิดอย่างรอบคอบ และอย่าเพิ่งชักชวนใคร”
“คุณหมายความว่ายังไงหรือครับ? ”
คุณเซลฟี่เริ่มอธิบายเหตุผล
พอประเมินความสามารถของพวกเราแล้ว ข้อสรุปของเธอก็คือให้เราระวังในการเลือกสมาชิกเพิ่ม
“พวกเจ้ามีความสามารถมากกว่าพวกหน้าใหม่ปกติเกินไปน่ะสิ ถ้าไม่นึกถึงความปวกเปียกเหนื่อยง่าย
ไรเอลก็นับว่ามีความสามารถพอจะเป็นนักผจญภัยแนวหน้าของเดลลีนได้แล้ว
และโนแวมที่ข้าเห็นเธอร่ายเวทมนต์ศักสิทธิ์ได้ด้วยมือเดียว…เธอก็เป็นระดับท็อปของเดลลีนอย่างไม่ต้องสงสัยเลย”
ผมเอียงคอให้กับคำอธิบายของเธอ
คงเพราะเมืองเดลลีนเป็นเมืองที่ง่ายสำหรับการเป็นนักผจญภัย
มาตราฐานนักผจญภัยของเมืองเดลลีนจึงต่ำกว่าปกติ เมื่อเทียบกับภาพรวมของนักผจญภัยทั้งหมดล่ะ
แต่ถ้าไม่คิดถึงเรื่องนั้น นักผจญภัยแนวหน้าของที่นี่ก็ย่อมเหนือกว่ามาตรฐานปกติอยู่ดี
‘ถ้าพวกเราเก่งพอ ไม่ใช่ว่าจะสมาชิกได้ง่ายขึ้นงั้นเหรอ…? ”
“มันไม่ดีหรือครับ? ”
คุณเซลฟี่ทำหน้าลำบากใจ
“มันไม่แย่หรอก…แต่มันไม่ดีถ้าเจ้าต้องการเลี่ยงปัญหาน่ะสิ ข้าไปสืบเกี่ยวกับที่มาของพวกเจ้ามานิดหน่อยน่ะ”
คุณเซลฟี่สืบเรื่องตระกูลของผม…ไม่สิ เธอแค่ดูว่าพวกเรามาจากที่ไหน ทำให้เธอรู้ว่าสถานการณ์ของพวกเราเป็นยังไงมากกว่า
แน่นอนว่าเธอคงไม่ได้สืบอย่างละเอียด และไม่ใช่ว่าเพราะเธออยากรู้เฉยๆ
“อ-เอ่อ ที่จริงพวกเราไม่ได้ตั้งใจจะโกหกหรือมีลับหลังอะไรนะครับ”
ผมพยายามอธิบาย แต่คุณเซลฟี่ก็ยกมือขึ้นมาห้ามเสียก่อน
“ข้าก็บอกแล้วไงว่ามันไม่ได้แย่ คติของข้าคือต้องการจะทำงานของตัวเองและรับผิดชอบมันให้ดีที่สุด ถึงบทลงโทษในการผิดสัญญาจะน่ากลัวด้วยก็เถอะ
ข้าจึงแค่จะบอกเจ้าว่าให้ทำอะไรอย่างรอบคอบ เพราะด้วยสถานการณ์และความสามารถของพวกเจ้าต่างหาก”
เหมือนว่าผมยังคงคิดตื้นเกินไปเกี่ยวกับเครือข่ายของนักผจญภัย ไม่คาดคิดเลยว่าเธอจะตรวจสอบได้เร็วขนาดนี้
โนแวมฟังคำพูดของเธอด้วยสีหน้าจริงจัง
“พวกเจ้าจะอยู่ที่เดลลีนนี้สักพักใช่ไหมล่ะ? มันก็ไม่เป็นไรหรอก แต่เมื่อสุดท้ายเจ้าก็จะไปที่อื่นอยู่ดี
ดังนั้นจงระวังในการเลือกพวกพ้องให้ดี ให้แน่ใจว่าเป็นคนที่เจ้าจะเชื่อใจได้ ไม่งั้นจะเสียใจภายหลังที่โดนพวกคนไม่ดีหลอกเอานะ”
พวกคนไม่ดีที่ว่าคงหมายถึง พวกที่อยู่ได้ด้วยการเกาะนักผจญภัยกับหลอกคนปกติไปวันๆ
เป็นตัวถ่วงปาร์ตี้ และโผล่ออกมาแค่ตอนได้รางวัล
เรียกอีกอย่างว่าพวกต้มตุ๋นล่ะนะ
“ตอนนี้ มันเป็นเรื่องของพวกเจ้าในอนาคต…”
ก่อนที่คุณเซลฟี่จะพูดจบ ประตูคาเฟ่ก็ถูกเปิดเข้ามาอย่างเร่งรีบพร้อมเสียงกระดิ่ง
และเสียงฝีเท้าก็ตรงมาทางเรา
โนแวมกับผมยืนขึ้นมองไปทางพวกเขา และพวกเขาก็มองมาทางเราเช่นกัน
“เซลฟี่…”
เมื่อได้ยินเธอเรียก คุณเซลฟี่ก็ประหลาดใจและพึมพำออกมา
แต่เสียงของรุ่นที่หนึ่งก็พูดออกมาพร้อมกับเธอด้วย
“คุณหญิงอาเรีย…”
[คุณอลิส! ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้…]
“หะ อะไรนะ…”
“ท่านไรเอลคะ? ”
โนแวมหันมาทางผมที่กระซิบกับตัวเอง เธอลดไม้เท้าลงเพราะดูพวกเขาไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร
ผมรีบนั่งลงและมองไปทางพวกเขา
ผู้หญิงที่คุณเซลฟี่เรียกว่าคุณหญิง และรุ่นที่หนึ่งเรียกว่าอลิสนั้น เป็นเด็กผู้หญิงผมแดงที่อยู่วัยเดียวกับเรา
ดวงตาหรี่ของเธอมีสีม่วง และเธอหอบหายใจอย่างหนัก แต่ในขณะเดียวกันเธอก็ดูเป็นเด็กผู้หญิงที่มีพลังเหลือล้น
อาจเป็นเพราะเสื้อผ้าของเธอค่อนข้างบาง มันจึงแนบไปกับผิวของเธอ
แต่การที่คุณเซลฟี่เรียกเธอว่า คุณหญิง ทำให้รู้สึกแปลกๆ
ถึงเธอจะดูสวยและใส่เครื่องประดับอยู่บ้าง แต่ก็ยังอยู่ห่างไกลกับการเป็นชนชั้นสูงนะ
“ขอร้องล่ะ เซลฟี่ ให้ฉันยืมพลังของเธอเถอะนะ”
“ไม่เอาล่ะ…ตอนนี้ข้ากำลังทำงานอยู่นะ…”
คนรอบๆ เงียบเสียง และมองมาทางโต๊ะของพวกเรา แล้วพวกเขาก็เริ่มซุบซิบว่าเกิดอไะรขึ้น
“ปัญหาความรักง้้นรึ? ”
“เจ้าเด็กผมมฟ้านั่นน่าอิจฉาชะมัด”
“เดี๋ยวนะ นั่นมันอาเจ๊เซลฟี่นี่? ”
‘ทำไมพวกเขาถึงจ้องมาล่ะ เราไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้สักหน่อย’
ผมอดทนต่อสายตาที่จ้องมาด้วยเหตุอะไรสักอย่าง และเงี่ยหูฟังสิ่งที่พวกเธอคุยกัน
แต่รุ่นที่หนึ่งก็บ่นพร้อมกันไปด้วย
ทำให้พลังเวทของผมถูกดูดไปเรื่อยๆ
“[อัญมณี] ของตระกูลล็อคเวิดถูกขโมยไปแล้ว! มันเป็นมรดกสำคัญที่ตกทอดมาหลายรุ่น! ได้โปรดช่วยฉันเอากลับมาทีค่ะ! ]
เด็กผู้หญิงอาเรียดูเหมือนจะร้อนใจจนเสียขวัญไปซะแล้ว ผมมองไปทางโนแวมที่อยู่ข้างๆ
“หมายความว่าไงเหรอ? ”
“อืม…เธออาจจะมาจากตระกูลที่คุณเซลฟี่เคยรับใช้มาก่อนล่ะมั้งคะ? ข้าก็เคยคิดอยู่ว่าเธอเหมือนอัศวิน ไม่คิดว่าเธอจะเป็นจริงๆ นะคะเนี่ย”
คุณเซลฟี่แก้คำพูดของโนแวม
“ไม่ ข้าไม่ใช่อัศวินหรอก แต่พ่อข้า…เอ้ย! คุณหญิง ข้าไม่ใช่คนของตระกูลลล็อคเวิดแล้ว
แล้วข้าก็ยังอยู่ระหว่างงานด้วย การที่คุณมาขอแบบนี้มันค่อนข้างลำบากใจน่ะ”
เมื่อคุณเซลฟี่ขอโทษ ใบหน้าของคุณอาเรียก็มืดมนลง
เธอจ้องตาผมแล้วอ้อนวอนอย่างเต็มที่
“พวกคุณสองคนเป็นผู้ว่าจ้างของเซลฟี่สินะคะ? ฉันขอเพียงไม่นาน ได้โปรดให้เธอมากับเราเถอะ!
มันเป็นของสำคัญที่ฉันจะต้องนำกลับมาให้ได้…อัญมณีล็อคเวิด มันสืบทอดมาเกินสองร้อยปีแล้วค่ะ!
ฉันจะตอบแทนทุกอย่างเลย ได้โปรดให้เซลฟี่มากับฉันเถอะนะคะ! ”
โนแวมลุกขึ้นยืนอีกครั้ง
“ฉันเข้าใจว่าคุณรีบ แต่พวกเราก็มีเหตุผลของตัวเองเหมือนกันค่ะ คุณเซลฟี่ตกลงสัญญาไว้กับพวกเราเป็นเวลาสามเดือน
แล้วทางเราก็เจียดเงินทุนจ่ายค่าจ้างไปแล้ว ฉันเข้าใจความรู้สึกของคุณ แต่ได้โปรดกลับไปเถอะ…
แล้วก็ ในตอนนี้ฉันเห็นคุณเป็นแค่คนที่ใช้คนอื่นเพื่อแก้ไขปัญหาของตัวเองเท่านั้นนะคะ”
เมื่อเธอพูดแบบนั้น คุณเซลฟี่ก็เอาหน้าฟุบโต๊ะและไม่ได้พูดอะไรต่อ
ส่วนคุณอาเรียก็ช็อกไปเลย
ถึงจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม แต่ตอนนี้…
[คุณอลิส! คุณอลิสในตอนนั้น…รักแรกของข้ามันยังไม่จบ! ]
จู่ๆ รุ่นที่หนึ่งก็ฮึกเหิมขึ้นมาซะงั้น และพลังเวทของผมก็ถูกดูดไปมากขึ้นอีก
‘เดี๋ยวก่อนสิ นี่มันมากกว่าครั้งที่แล้วอีกนะ อาการเวียนหัวมัน…’
หัวผมหมุนไปมหด
รุ่นที่สองเริ่มเข้ามาห้าม
[เฮ้ย! ไรเอลเซแล้ว! เขาจะล้มแล้ว! ใจเย็นหน่อยสิฟะ! ]
[ข้าหยุดตรงนี้ไม่ได้! ชีวิตวัยเยาว์ของข้า ชีวิตหนุ่มสาวของข้า ถ้าคุณอลิสไม่ได้ตายไปล่ะก็…]
ผมได้ยินแบบนั้นจากอัญมณี แล้วผมก็ไม่ได้ยินอะไรอีกเลย
ในขณะเดียวกัน เพราะถูกโนแวมปฎิเสธเธอ คุณอาเรียจึงจับไหล่ผม
“ขอร้องล่ะค่ะ ฉันยอมทุกอย่าง ให้เซลฟี่มากับฉันเถอะ…มันเป็นของสำคัญสำหรับฉันจริงๆ ”
เธอน้ำตาซึม และอ่อนวอนกับผมอย่างสิ้นหวัง แต่ผมไม่อาจตอบเธอได้
เธอน่าจะไม่มีทางอื่นแล้วจริงๆ เลยเขย่าผมไปมา ทำให้หัวผมเขย่าตามไปด้วย…
“ได้โปรดเอามือออกไปเถอะค่ะ! ท่านไรเอลคะ? ท่ า น ไ ร เ อ ล ! ? ”
“เอ๋อ? อะไร…ว้ า ย ย ! “
“เดี่ยวสิ! ทำไมอยู่ๆ เจ้าถึงหมดสติได้ล่ะ!? “
เมื่อภาพดำมืดไปหมด ผมก็คิดกับตัวเอง
‘ม-มันไม่ใช่ความผิดของข้านะ…’
—
เรื่องสรรพนาม เพราะส่วนใหญ่มันมีแต่ you you you you
ผมก็เลยใช้สัมผัสที่ 6 ในการแปลค่อนข้างเยอะ
ถ้าแปลกๆ ขออภัยด้วยนะคับ