บทที่ 6
‘ครับม๊า…ผมกำลังออกจากบ้าน…ครับรู้แล้ว…รักม๊านะ…ฝากบอกกงกับม่าด้วยว่าผมคิดถึง’
สิ้นประโยคผมจึงเป็นฝ่ายตัดบทและวางสายไปจากนั้นสองเท้าผมเคลื่อนย้ายตรงไปยังห้องแต่งตัวที่แยกออกมาจากห้องนอน เมื่อตัวเองเดินเข้ามาในห้องก็สำรวจความเรียบร้อยเพราะวันนี้ผมต้องแต่งตัวให้สุภาพและเรียบร้อยที่สุดสองแขนยกมือขึ้นขยับปกเสื้อเชิ้ตสีขาวตรงหน้ากระจกบานใหญ่และก้มลงเปิดลิ้นชักเพื่อหาเข็มขัดสักเส้นให้เหมาะแก่การออกไปสมัครงานในเช้าวันนี้
ใช่แล้ว วันนี้ผมมีนัดสัมภาษณ์งาน…
ผมไม่ใช่คนที่จะนอนอยู่บ้านให้สามีเลี้ยงดูตามความต้องการของทางฝั่งขุนศึกต้องการเป็นแน่ ทั้งป๊าและม๊า ไหนจะอากงอาม่าของขุนศึกต่างต้องการให้ผมทำหน้าที่ภรรยาเท่านั้น ไม่สนับสนุนให้ออกไปทำงานข้างนอก ซึ่งถ้าเป็นบางคนอาจจะชอบ เพราะเงินที่ผมต้องได้จากขุนศึกมันไม่น้อยเลย จำนวนหกหลักขึ้นอยู่แล้วแต่สำหรับผมคับฟ้าคนนี้ไม่ต้องการเงินส่วนนั้นสักบาท ผมจึงต้องเริ่มต้นหางานทำและผมก็โชคดีมากที่เมื่อสองวันก่อนผมหว่านงานสมัครในเว็บออนไลน์แล้วทางบริษัหนึ่งได้โทรให้ไปสัมภาษณ์ และแน่นอนผมตอบตกลงไปในทันทีเพราะอย่างน้อย ๆ มันทางเดียวที่ผมจะหลีกหนีไม่ให้อยู่บ้านไปวัน ๆ
“โอเคเรียบร้อย! สู้เว้ยคับฟ้า! มึงทำได้!”
ผมยืนพูดให้กำลังใจตัวเอง ยิ้มรับสิ่งดี ๆ ในยามเช้าวันอังคาร ผมหลับตานิ่งเพื่อรวบรวมสมาธิเข้าหาตัวเอง สูดลมหายใจเข้าและหายใจออกในจังหวะที่สม่ำเสมอ เมื่อลมหายใจของผมมันนิ่งไม่สั่นไหวเปลือกตาที่เคยหลับจึงถูกเปิดออกมองภาพสะท้อนในกระจกแล้วยกยิ้มให้กับตัวเองอีกครั้ง เมื่อทุกอย่างสมบูรณ์แบบสองเท้าผมจึงหมุนตัวหันหลังออกจากห้องแต่งตัว หยิบสัมภาระที่จำเป็นออกไปจากห้องนอนใหญ่ที่มีแค่ผมคนเดียวเท่านั้นเป็นเจ้าของ
เพราะขุนศึกกับผมเราทั้งคู่นอนแยกห้องกัน…
ตัวผมเดินทอดน่องลงมาด้านล่างซึ่งขณะนี้เป็นเวลาหกโมงครึ่งเข้าให้แล้ว ผมมีนัดสัมภาษณ์แปดโมงครึ่งเลยต้องรีบออกจากบ้านเช้าหน่อย เมื่อพาร่างเดินลงมาหยุดอยู่ขั้นบันได้ขั้นสุดท้ายสายตาตัวเองก็ดันไปเห็นร่างของขุนศึกที่กำลังก้มหน้าก้มตาตรงมายังผม เมื่อผมเห็นสมาชิกภายในบ้านจึงหยุดยืนกอดอกมองอยู่ด้วยแววไร้อารมณ์
“ทำไมกลับเร็วนักล่ะ”
ผมเอ่ยทักเสียงเรียบเมื่อคนที่ได้ยินถึงกับเงยหน้าขึ้นมามอง…
“มึงไปหลายวันค่อยกลับมาก็ได้นะ บ้านนี้เวลามึงไม่อยู่สบายตากูมาก”
ผมพูดด้วยท่าทีปรกติ ไม่เหวี่ยง ไม่ประชดประชัน บอกอย่างเป็นมิตรเพราะช่วงเวลานี้ผมควรที่จะพูดดีเพื่อนำพลังบวกเข้ามาในตัวเองเท่าที่จะสามารถทำได้
“ว้าว วันนี้คุณภรรยาแต่งตัวดูดีจังเลย จะไปไหนหรอครับ”
ทุกสิ่งที่ผมคิดไว้เมื่อครู่มันน่าจะเลือนรางหายไปทีละนิดเมื่อประโยคของขุนศึกได้เอื้อนเอ่ยสุดแสนจะยั่วยุอารมณ์ผมเป็นอย่างดี มันช่างเป็นรูปประโยคปั่นประสาทผมที่สุด แววตาจากที่เคยสงบมันกลับมาฉุนเฉียวในชั่วพริบตา ขุนศึกสบตาผมครู่หนึ่งแล้วเดินตรงเข้ามาใกล้ผมจนปลายเท้าของเราชิดติดกัน สีหน้าท่าทางสนุกสนานเมื่อสามารถทำให้ผมเกิดอาการหงุดหงิดรำคาญใจได้สำเร็จ
“ก็บอกอย่ามาแตะตัวไง!”
ผมปัดมือคนตรงหน้าออกไปให้พ้นหน้าตัวเอง เมื่อปฏิกิริยาที่ผมแสดงออกไปทำเอาขุนศึกต้องแค้นขำในลำคอ สายตาคมกริบคู่นั้นตวัดขึ้นมาผมอย่างขัดใจ ขัดใจที่ผมไม่ยอมตามน้ำเล่นละครฉากพลอดรักในยามเช้ากับมัน
“ไม่เอาน่า แตะนิดแตะหน่อยทำเป็นรังเกียจไปได้”
“…”
“อีกไม่นานกูก็ต้องเห็นทุกซอกทุกมุมอยู่ดี เพราะมึงเป็นเมียกู”
ประโยคสุดท้ายมันตั้งใจ ตั้งใจพูดใส่หน้าผมด้วยรอยยิ้มที่เหนือกว่า นัยน์ตาฉายแววสะใจที่เห็นผมดิ้นไปตามเกมส์ได้ง่าย
“ไม่กระดางปากพูดคำว่าเมียต่อหน้ากูหรือไง คำว่าผัวเมียมันแค่ในนาม”
“…”
“อย่าหยิบคำนั้นมาพูดพร่ำเพรื่อให้เปลืองน้ำลายเล่นนักเลย”
ผมไม่แม้แต่หดคอหนีเมื่อโดนรุกจนตอนนี้ตัวเองถึงกับจนมุม ผมไม่ใช่คนที่ขุนศึกจะเล่นด้วย ในเมื่องานหมั้นที่เกิดขึ้นมันเป็นงานหมั้นต่างฝ่ายไม่ยินยอม เราทั้งคู่รู้ดีอยู่แก่ใจ ดังนั้นจะให้ผมทนฟังมันเรียกคำว่าเมียคงจะไม่ได้ เว้นแต่อยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ผมจะไม่ขัดแม้แต่น้อย
“อย่ามาพยศกับกูให้มากคับฟ้า! มันยิ่งทำให้กูอยากจะเอาชนะ!”
ตามอุปนิสัยของหนุ่มนักธุรกิจไฟแรงที่พีอาร์ตัวเองว่อนสื่ออนไลน์ว่าเป็นบุรุษที่สุขุม ใจเย็น แต่สิ่งที่เห็นมันกลับเป็นเหรียญคนละด้านเกินความคาดหมายเสียจริง นิสัยเหล่านั้นผมไม่เห็นภายนัยน์ตาคู่นี้สักนิดเพราะมันกลับมีแต่ความใจร้อนอย่างกับเด็กอายุสองขวบที่โดนขัดใจแล้วชอบโวยวาย
ซึ่งขุนศึกกำลังเป็นอยู่ตอนนี้…
“เอาชนะ?…จะเอาชนะกู?…เพื่ออะไร…”
ผมถามกลับด้วยความอยากรู้เมื่อสิ่งที่มันเผลอหลุดพูดออกมา ผมยืนมองขุนศึกด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย ไม่หลบสายตาสักวินาทีเดียว ให้มันรู้ไปสิว่าคนอย่างคับฟ้าไม่กลัวและไม่เคยคิดจะกลัวด้วยซ้ำไป
“เอาชนะเพื่อ…”
“…”
“เพื่อให้มึงรู้สึกรักกูไง ดีไหมครับเมีย…”
มุมปากได้รูปชายหนุ่มที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีของผมได้ยกยิ้มเจ้าเล่ห์ มือสองข้างของผมกำมัดเข้าหากันจนแน่น แน่น แน่นจนรู้สึกเจ็บจากเล็บที่จิกลงบนเนื้อตัวเอง ความอึดอัดในใจเมื่อโดนคนคนตรงหน้าปั่นหัวเล่น ซึ่งตัวมันเองเป็นคนออกกฎห้ามรักไม่ใช่หรือ แล้วทำไมมาวันนี้ถึงหยิบยกประเด็นนั้นขึ้นมาพูดเสียเองล่ะ
“หึ…คนอย่างมึงจะทำให้ใครรักได้”
“…”
“เพราะมึงมันมั่วไม่เลือก! แล้วอย่ามาพูดว่าจะทำให้กูรัก แค่จินตนาการกูก็ขยะแขยงแล้วขุนศึก!”
“คับฟ้า!”
ก่อนที่ทุกอย่างมันจะพังลงไปมากกว่านี้ ก่อนที่ผมจะพลาดโอกาสสัมภาษณ์งานที่แรกไปเพราะต้องมายืนเล่นสงครามปั่นประสาทกับคนอย่างขุนศึก ผมสูดหายใจเข้าลึก ๆ เต็มปลอดแล้วเดินออกจากวงสนทนาเพื่อตรงไปยังรถของตัวเอง เวลามันไม่เคยรอใคร และผมจะไม่ทำให้ตารางเวลาชีวิตของตัวเองสรวนเพราะคนอย่างขุนศึกเป็นแน่
.
.
.
.
.
“สวัสดีครับ ผมมาตามนัดสัมภาษณ์ที่คุณอดิรัตน์นัดผมไว้น่ะครับ”
“สักครู่นะคะ”
ผมผงกหัวตอบกลับอย่างเกรงใจเมื่อคนที่ทำหน้าที่ประสานเรื่องให้พูดอย่างสุภาพ ตอนนี้ผมได้มาถึงบริษัทเป็นที่เรียบร้อย ต้องบอกก่อนว่าผมเรียนจบทางด้านการตลาดโดยตรง ดังนั้นวันนี้เลยมาสัมภาษณ์ในตำแหน่งเซลล์ฝ่ายการตลาดและเป็นตำแหน่งค่อนข้างหน้าสนใจไม่น้อย สาเหตุนี้เองจึงทำให้ผมตกลงมาร่วมสัมภาษณ์กับบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งนี้
“คุณใช่ วีร์ชาพิภัทรหรือเปล่าคะ ”
หญิงสาวประชาสัมพันธ์เอ่ยถามผมอย่างสุภาพโดยที่ผมกำลังยืนกุมมือไว้ด้านหน้าตอบกลับด้วยรอยยิ้มก่อนที่ผู้หญิงตรงหน้าจะวางหูจากสายโทรศัพท์ลง
“คุณอดิรัตน์คอนเฟิร์มแล้วนะคะ เชิญคุณที่ชั้นสิบห้าได้เลยค่ะ จะมีเจ้าหน้าที่คอยรอรับอยู่ทางด้านบนค่ะ”
“เอ่อ ขอบคุณครับ”
ผมยิ้มตอบรับแล้วพาตัวเองเดินตรงไปยังลิฟท์เพื่อขึ้นไปชั้นสิบห้าตามเจ้าหน้าที่ได้บอกไว้ ผมยืนอยู่หน้าตัวลิฟท์ไม่นานักบานประตูก็ถูกเปิดออกก่อนที่ผมจะเดินเข้าไปด้านใน โดนรอบนี้มีแค่ผมเพียงคนเดียวยืนอยู่ท่ามกลางตัวลิฟท์ใหญ่ แต่ในจังหวะที่ผมกำลังจะเอื้อมมือไปกดปิดประตูดันมีเสียงตะโกนอยู่ไม่ไกลนัก เสียงตะโกนที่ส่งสัญญาญบอกเให้ผมรอเจ้าของเสียงนั่น
“ขอโทษครับ รอผมด้วย!”
น้ำเสียงเหนื่อยหอบเอ่ยขึ้นจนทำให้ผมรีบกดปุ่มค้างประตูทันทีเมื่อแขนข้างหนึ่งของคนที่อยู่หน้าประตูยื่นเข้ามาด้านใน จากที่ลิฟท์กำลังปิดตอนนี้มันค่อย ๆ เปิดตามนิ้วผมที่กดไว้ เมื่อประตูเปิดออกผมจึงเห็นชายร่างสูงเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวเหมือนกับผม แต่มันแตกต่างตรงที่สายคล้องบัตรพนักงาน ถ้าเดาไม่ผิดคนนี้น่าจะเป็นพนักงานประจำของบริษัทแห่งนี้แน่นอน
“ชั้นไหนครับ”
เมื่อตัวของผู้ชายคนนั้นเดินเข้ามาอยู่ในตัวลิฟท์ได้เป็นที่เรียบร้อย ผมจึงเปลี่ยนนิ้วไปกดปิดประตูก่อนที่ตัวเองจะกดชั้นสิบหา จุดหมายที่ผมต้องไป
“ชั้นสิบ…ค…ครับ…”
เสียงกระตุกกระตักของชายหนุ่มด้านข้างเมื่อใบหน้านั้นเงยหน้าขึ้นตอบความมึงงงก่อตัวขึ้นเมื่อปฏิกิริยาของคนที่กำลังลอบมองผมนั้นเปลี่ยนไป แต่ความสงสัยนั้นก็ยังคงเก็บไว้ในใจแล้วกดลิฟท์ขึ้นด้านบนแทน
ความเงียบคืบคลานเข้ามาจนตัวลิฟท์เลื่อนขึ้นไปด้านบนตามระบบการทงานของมัน ความเงียบสงัดจนรู้สึกประหม่าผมจึงได้ยินเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอของตัวเอง ยืนตัวเกร็งสักพักตัวลิฟท์ก็มาหยุดตรงชั้นสิบซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของชายข้างกายผมเป็นที่เรียบร้อย
“คุณชื่ออะไร ผมธามนะครับ”
และก่อนที่ตัวของผู้ชายร่างสูงโปร่งคนนั้นจะเดินออกจู่ ๆ ตัวเขาก็หันมาถามผมเหมือนช่างใจอยู่นานว่าจะถามดีไหม เพราะดูจากบุคลิกภาพบวกกับปฏิกิริยาภายนอกมันทำให้ผมดูออกไม่ยากว่ารูงสูงกำลังสนใจอยากจะทำความรู้จักด้วย ผมยืนงงงวยไปชั่วขณะแต่ก็ต้องตอบออกไปเพราะในจังหวะดันมีคนเข้ามาภายในตัวลิฟท์เพิ่มอีกสองคน ท่าผมนิ่งเฉยให้ผู้ชายด้านข้างยืนจ้องมองวันนี้ผมคงไม่ได้ไปไหนกันเสียเปล่า ๆ
“อ…เอ่อ…ผมคับฟ้าคับ…”
เมื่อสิ่งที่ต้องการถูกได้รับคำตอบชายคนดังกล่าวก็เดินออกไปจากตัวลิฟท์แล้วหันมายืนยิ้มให้ผม ก่อนที่ประตูลิฟท์นั้นจะถูกปิดลง โดยที่ผมไม่ทันได้รู้เลยว่าริมฝีปากได้รูปคู่นั้นกำลังขยับปากพูดว่าอะไร
เมื่อเหตุการณ์แปลกประหลาดใจผ่านพ้นไป ตัวลิฟท์ตัวเดิมที่ผมอยู่ก็ถูกเปิดออกในชั้นสิบห้าซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของผมเอง สองเท้าผมเดินออกไปยังตัวลิฟท์แต่เมื่อเดินออกมาผมกลับรู้สึกว่าชั้นนี้มันไม่เหมือนออฟฟิตทั่วไปเสียเลยแต่มันกลับเหมือนชั้นที่พักอาศัยเสียมากกว่า
“สวัสดีค่ะ คุณคับฟ้าใช่ไหมคะ”
เสียงหญิงสาวหน้าตาดีที่นั่งอยู่บนโต๊ะทำงานตัวใหญ่คนเดียวโดด ๆ ได้เอ่ยต้อนรับผมอย่างนอบน้อม แถมยังรู้จักชื่อเล่นของผมเสียด้วย ความประหลาดใจเริ่มวนเข้ามาในความรู้สึก ร่างหญิงสาวกระโปรงสั้นรัดรูปเดินเข้ามาหาผมและยกมือขึ้นไหว้จนผมยกมือไหว้ตอบแทบไม่ทัน หลังจากนั้นพนักงานสาวคนนี้ก็เดินนำหน้าตรงไปยังประตูบานใหญ่สีดำสูงจนเกือบจะจรดเพดานมันยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองนั้นไม่น่ามาสัมภาษณ์ที่นี่เอาเสียเลย
หัวใจเต้นผิดจังหวะไปหลายขุมเสียด้วย…
“คุณคับฟ้าเชิญด้านในเลยค่ะ คุณอดิรัตน์กำลังรออยู่”
พนักงานสาวเอ่ยพูดขึ้นและทำหน้าที่เปิดประตูออกเพียงเล็กน้อยเพื่อให้ผมเดินเข้าไปปด้านใน สายตาผมช้อนขึ้นมองดวงตาเซ็กซี่ตรงหน้าอย่างประหม่าไม่น้อยและสิ่งที่ได้รับกลับมามีเพียงรอยยิ้มเพียงเท่านั้น ผมยืนทำใจอยู่ไม่นานสองขาคู่นี้จึงย่างกายเข้าไปด้านในด้วยอารมณ์ความรู้สึกใจเต้นผิดปรกติ
เพียงแค่เท้าแต่พื้นห้องอุณหภูมิของแอร์ด้านในเย็นเฉียบจนเกินกว่าคนธรรมดาทั่วไปจะอยู่ได้ อากาศที่เย็นยะเยือกถูกสัมผัสกับผิวมันทำให้ตัวผมสั่นเล็กไม่น้อย ภายในห้องกว้างนี้จากการที่ไล่สำรวจด้วยตาเปล่าคงจะเป็นห้องทำงานบวกกับห้องนอนไปในตัวแน่นอน
“สวัสดีครับคุณคับฟ้า ผมอดิรัตน์หรือเรียกว่าศิลป์ก็ได้ครับ”
“…”
“ท่านประธานกำลังเดินทางมา คุณคับฟ้าเชิญนั่งรอสักครู่นะครับ”
สองคิ้วขมวดเข้าหากันเข้าไปใหญ่ เมื่อคนที่ผมนัดไว้ดันรู้จักชื่อผมอีกแล้ว ไหนจะท่าทางให้เกียรติผมไปอีกคน ผมที่เดินนั่งลงบนโซฟาตัวนุ่มด้วยความไม่เข้าใจกับสภานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น คำว่างงแล่นในหัวผมนับพันคำได้ สับสนกับเหตุการณ์ที่กำลังเผชิญ ผมมาเพื่อสัมภาษณ์งานไม่ใช่หรือไง แล้วทำไมดูเหมือนทุกอย่างจะผิดเพี้ยนไปหมด
“อ…เอ่อ…ขอโทษนะครับ…พอดีว่าผมมาสัมภาษณ์งานตามตำแหน่งที่คุณนัดไว้…แล้ว…”
“ท่านประธานจะเป็นคนสัมภาษณ์ด้วยตัวเองครับ ท่านประธานมาถึงแล้วผมขอตัวก่อนนะครับ”
เหมือนทุกอย่างจะรวดเร็วไปหมดเพราะคนตรงหน้าได้เดินลับหายไปออกไปจากตัวห้องนี้เสียแล้ว และไม่นานเกินรอประตูบานใหญ่ที่เคยปิดสนิทกลับถูกเปิดออกอีกครั้ง สัมผัสแรกที่ได้ยินคือเสียงฝีเท้าคู่หนึ่งได้เดินเข้ามาในจังหวะที่ไม่รีบร้อน ผมนั่งตัวตรงด้วยความประหม่าเพราะครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมนัดสัมภาษณ์งานหลังจากเรียนจบ เสียงก้าวเท้าดังขึ้นมาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่ผมได้แต่นั่งหลุบสายตามองต่ำไปยังโต๊ะเล็กตรงหน้า จนเสียงฝีเท้ามาหยุดอยู่ที่นั่งตรงข้ามเลยทำให้ผมค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นไปมองว่าที่เจ้านายคนใหม่
“ที่จริงเราสัมภาษณ์กันบนเตียงก็ได้นะครับคุณภรรยา…หึ”
“…!”
ราวกับสวรรค์กลั่นแกล้งชีวิตของผมไม่ให้หลุดพ้นออกจากบ่วง ราวกับต้องการให้ผมมีเครื่องพันธนาการเป็นบุคคลที่ผมพยายามอยากจะอยู่ให้ห่างมากที่สุด แต่ดูเหมือนยิ่งหนีมันยิ่งทำให้ผมต้องมาวนเวียนอยู่ในวงโคจรนั้นอย่างเหลือเชื่อ ร่างสูงในชุดสูทชั้นดีที่แตกต่างจากครั้งแรกที่เจอที่บ้าน ใช่แล้ว ท่านประธานบริษัทที่คนนั้นบอกได้เดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าผมแล้วและคนนั้นก็คือ
ขุนศึก ศิริเจริญสกุล….
“จะไปไหน!”
ข้อมือผมถูกรั้งไว้เมื่อตัวเองลุกขึ้นยืนและกำลังเดินออกจากห้องนี้ ถ้าหากผมรู้ว่าเจ้าของบริษัทที่ตัวเองสมัครไปเป็นของร่างสูงตรงหน้าอย่าได้หวังเลยว่าผมจะส่งเรซูเม่ยื่นสมัครให้เสียเวลาชีวิตผมเล่น
“ปล่อย…ปล่อย!”
ผมพยายามดิ้นให้ข้อมือตัวเองหลุดพ้นจากการเหนี่ยวรั้งแต่ในทางตรงกันข้ามกลับเป็นผมเสียเองที่ต้องมาเจ็บตัวเพราะผมสู้แรงของคนตรงหน้าไม่ได้เลย
“โอ๊ย! ถอยออกไป!”
ร่างผมถูกผลักจนเสียหลักนอนราบลงไปกับตัวเบาะโฟซาเพราะมันเป็นช่วงจังหวะเผลอของผมที่ทำให้ขุนศึกสามารถเล่นงานผมได้ เมื่อตัวผมเสียหลังร่างหนาของบุคคลที่ผมไม่ชอบหน้าก็ได้รีบโน้มตัวขึ้นคร่อมผมในทันที นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มฉายแววเป็นประกายเมื่อเห็นผมโกรธจนเลือดขึ้นหน้า ผมอุตส่าห์เตรียมตัวมาอย่างดีในการนัดสัมภาษณ์ครั้งนี้ แต่ทุกอย่างกลับพังไม่เป็นท่าเมื่อต้องมาเจอคนที่กำลังคร่อมผมดันมาเป็นประธานบริษัทเสียเอง ชีวิตนี้เมื่อไหร่จะหลุดพ้นกับขุนศึกกัน!
“บังเอิญไหมครับเมีย ที่ตัวเองดันสมัครบริษัทผัวตัวเอง”
“ก็บอกว่าอย่าเรียกกูแบบนั้น!”
“เมีย เมีย เมียครับ”
สายตาของมันหลุบมองสำรวจผมอย่างเสียมารยาท และยังใช้สรรพนานเรียกผมเพื่อปั่นอารมณ์ผมได้เป็นอย่างดี ผมที่โกรธมากจนต้องเบือนหน้าหนีสายตาคมคู่นี้ที่มองมาด้วยความสะใจ
“ปล่อย…กูจะกลับบ้าน”
แรงดิ้นของผมได้หยุดลงเมื่อรู้ว่าถึงจะพยายามแค่ไหนผมก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากแรงของขุนศึกได้ ร่างสูงตรงหน้ายังคงจ้องมองผมไม่ละไปไหน จากที่ผมรู้สึกว่าระยะห่างของใบหน้าตอนแรกมันห่างกันพอสมควร แต่ทำไมตอนนี้ผมกลับสัมผัสได้ว่าระยะห่างนั้นมันแค่คืบหนึ่งเท่านั้นเอง
“จะรีบไปไหนกูยังไม่ทันได้สัมภาษณ์เมียตัวเองเลย”
น้ำเสียงกระซิบแผ่วเบาดังตรงหน้าบวกกับจังหวะลมหายใจที่รดแก้มอยู่นั้นทำให้ตัวผมขนลุกอย่างห้ามไม่ได้ ผมหันหน้าหนีไปอีกทางเมื่อปลายจมูกโด่งของขุนศึกเลื่อนขึ้นเข้ามาสัมผัวบริเวณแก้มผมเบา ๆ
“กูไม่ทำ ปล่อยกู!”
แหละเหมือนผมจะหันผิดท่าอีกครั้งเมื่อจังหวะที่จะหันไปอีกทางใบหน้าผมถูกล็อคคางไว้แน่น แรงบีบมหาศาลของขุนศึกทำให้หน้าผมจำใจต้องสบตากับสามีแสนจอมปลอมของตัวเอง แววตาผมสั่นไหวเล็กน้อยเมื่อความโกรธปะทุอยู่ในอกแต่กลับจะดิ้นหนีหรือออกแรงเอาคืนร่างสูงนี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
“หึ…มึงหนีกูไม่พ้นหรอกคับฟ้า…อย่าพยายามเลย”
และก่อนที่ผมจะทันได้ตอบโต้กลับไปขุนศึกรีบเลื่อนเข้ามาประกบปากผมอย่างถือวิสาสะ โดยมีมือหยาบกร้านทำหน้าที่บีบแก้มเบา ๆ เพื่อให้ปากผมเปิดเล็กน้อยก่อนที่ลิ้นร้อนจะสอดเข้ามาในโพรงปากผมเพื่อฉกฉวยตามใจที่มันต้องการ มือผมทั้งทุบทั้งตีแต่ก็สู้แรงของอีกคนไม่ได้เอาเสียเลย จากร่างกายที่ต่อต้านเมื่อโดนบดขยี้ริมฝีปากด้วยความชำชองของเจ้าตัวกลับทำให้ร่างกายนี้ระทวยไปเสียเอง
ผมเกลียด…
เกลียดร่างกายตัวเองที่ดันเคลิ้มและเผลอจูบตอบขุนศึก!…