น้อยมากที่คนป่าเขาจะเดินเข้าเส้นทางของขุนนาง กระบี่ลมฝนจงซานมีกลิ่นอายของขุนนางอย่างประจวบเหมาะ คนในโถงตำหนักเมื่อปีนป่ายเทือกเขาเกรงว่าจะเหน็ดเหนื่อย แต่ก็สามารถหากระบวนท่าที่สามารถรับมือได้ ไม่ว่าโก่วหานสือร้องเสียงเบาอย่างไร กระบี่ของกวนเฟยไป๋พลันหมุนกลับมามีจิตวิญญาณ เพียงชั่วพริบตาก็จากเทือกเขากลับเข้าสู่ห้องโถง แสงกระบี่ยาวโอ่อ่าสง่าผ่าเผย สูงส่งล้ำเลิศ จะทำลายได้อย่างไร
เพียงชั่วพริบตา ในหัวสมองของเฉินฉางเซิงมีสิ่งที่เป็นไปได้จำนวนนับไม่ถ้วนผุดขึ้นมา แต่กลับไม่สามารถหากระบวนท่าหนึ่งในนั้นที่สามารถจะทำลายได้ หากมีเพลงกระบี่ที่แข็งแกร่งร้ายแรงเหมือนกับกระบวนท่าเวิ่นสุ่ยทั้งสามก็คงจะสามารถตอบโต้ได้ แต่ว่าเขาไม่เคยสอนลั่วลั่ว อีกทั้งเขายังรู้จักเพลงกระบี่ที่อัศจรรย์อันตรายอยู่บ้าง ทว่าตามระดับวิทยายุทธ์ของลั่วลั่วนั้นยากที่จะใช้ได้
จนกระทั่ง ในที่สุดเขาก็เข้าใจความรู้สึกชนิดหนึ่งที่ตั้งแต่เกิดยังมิอาจเข้าใจได้ คิดไปถึงประโยคในตำราที่คิดว่าคงจะไม่เกิดกับตนเองตลอดกาล เมื่อจะต้องใช้ถึงพบว่าตนเองศึกษาตำรามาน้อยนิด
เขาท่องตำรานับครั้งไม่ถ้วน ความรู้ทางด้านการบำเพ็ญเพียรกลับไม่เพียงพออย่างยิ่ง แน่นอนว่าตำรามหามรรคสามพันเล่มรวบรวมสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ เพียงแค่ให้เวลาเขาสองปี เขาสามารถนำเนื้อหาที่บันทึกไว้เปลี่ยนเป็นความรู้ทางด้านการฝึกบำเพ็ญเพียรได้อย่างแน่นอน ถึงแม้เผชิญหน้ากับโก่วหานสือก็มั่นใจว่าจะชนะ แต่ตอนนี้เขายังคงทำไม่ได้
ท่องตำราน้อยเกินไป แท้จริงแล้วเวลาก็น้อยเกินไป
ถ้าหากมีเวลาเพียงพอ เขาก็สามารถเรียนรู้มากยิ่งขึ้น ก็สามารถสอนลั่วลั่วมากกว่านี้
แต่ตอนนี้ เขายังหาเพลงกระบี่ที่ช่วยลั่วลั่วทะลวงกวนเฟยไป๋ไม่ได้
มองใบหน้าเรียวเล็กของลั่วลั่วที่เต็มไปด้วยความอ่อนเยาว์ จ้องมองระหว่างคิ้วที่แน่วแน่ของนาง จ้องมองสายตานางที่เชื่อมั่นในตน เฉินฉางเซิงรู้สึกละอายใจ
เขาไม่ได้คิดว่าเป็นเพราะลั่วลั่วไม่ได้เรียนรู้เพลงกระบี่ที่ตนรู้ทั้งหมด เพราะนั่นเท่ากับว่าผลักความรับผิดชอบให้นาง ค่ำคืนนั้นที่สำนักฝึกหลวง เขากับนางเป็นการเจอกันครั้งแรก หลังจากค่ำคืนนั้น นางล้วนแต่นำความเชื่อใจมอบให้เขา เขาจะต้องรับผิดชอบความรับผิดชอบทั้งหมด
ถ้าหากเป็นไปได้ เขาปรารถนาจะเป็นเหมือนค่ำคืนนั้น ยืนอยู่ด้านหน้านาง เผชิญหน้ากับตาข่ายที่ร่วงหล่นมาจากฟ้าหรือไม่ว่าจะเป็นกระบี่ก็ตาม
แต่ค่ำคืนนี้เขาทำได้เพียงแค่ยืนอยู่ข้างหลังนาง ช่วยเหลือนางต่อสู้กับคู่ต่อสู้
ตอนนี้เอง แววตาของเฉินฉางเซิงอยู่ๆ ก็เปล่งประกายออกมาแวบหนึ่ง
เขาคิดไปถึงค่ำคืนนั้นในสำนักฝึกหลวง คิดไปถึงผู้แกร่งกล้าเผ่ามารผู้นั้น ด้วยเหตุนี้จึงคิดวิธีได้
ไร้หนทางทะลุทะลวง แต่สามารถหลบหลีก เหมือนกับก่อนหน้าที่โก่วหานสือสอนชีเจียน เพียงแค่สามารถหลบหลีกเพลงกระบี่ที่ประหนึ่งจากเทือกเขากลับเข้าสู่โถงตำหนักได้ หลังจากนั้นพลังกระบี่ของฝ่ายตรงข้ามจะต้องสิ้นกำลัง ไม่อาจแข็งแกร่งดังเช่นตอนนี้ พลังกระบี่สมบูรณ์แบบมีพลังมหาศาลจนถึงขนาดไร้รอยรั่วแม้แต่น้อย
จะหลบหลีกกระบี่นี้ได้อย่างไร แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ยากลำบากยิ่ง
ไม่อาจหาเพลงกระบี่ทะลวงได้ ก็คงต้องใช้กระบวนท่าทะลวง!
“เสวี่ยฉิง!”
“ปิงหู!”
“อวี่เสวียน!”
เฉินฉางเซิงสาวเท้าไปข้างหน้า ตะโกนสามเสียงติดกัน
นี่เป็นชื่อของดวงดาวบนท้องฟ้าทั้งสามดวง เป็นการแทนความหมายของตำแหน่งทั้งสาม เวลาเดียวกัน ก็เป็นกระบวนท่าในการหลบหลีก
บนโลกใบนี้มีเพียงกระบวนท่าเพียงหนึ่งเดียวที่ง่ายดายแต่กลับอธิบายได้แม่นยำหาสิ่งใดเปรียบ
ลั่วลั่วถือกระบี่ ปลายเท้าขยับเล็กน้อย เงาร่างกายเคลื่อนวูบไหว
ด้านหน้าลานประลองมีสายลมพัดโชยเย็นสบาย
ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด นางได้ปรากฏตัวห่างจากตรงที่เดิมไปด้านนอกหลายสิบจั้ง!
กระบี่ของกวนเฟยไป๋ จึงร่วงหล่นลงตรงที่ว่าง!
บนบันไดหิน มีเสียงเบาๆ เกิดขึ้น คล้ายกับว่าเกิดจากความตกตะลึง
มือที่ลูบหนวดยาวของเหมาชิวอวี่พลันชะงักเล็กน้อย
ท่าทางของโก่วหานสือเปลี่ยนเป็นหนักแน่นจริงจังอย่างยิ่ง ก้าวเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าวตามจิตใต้สำนึก
“ย่างก้าวหยั่งเทวารึ”
กระบวนท่าที่ลั่วลั่วได้แสดงออกมา ทำให้ผู้คนตกตะลึงจริงๆ
สาเหตุเพราะมองแล้วคล้ายกับย่างก้าวหยั่งเทวาของผู้แกร่งกล้าเผ่ามาร!
เวลาต่อมา เหมาชิวอวี่และผู้ยิ่งใหญ่ท่านอื่นถึงจะมองบอกว่านั่นมิใช่กระบวนท่าหยั่งเทวาที่แท้จริง แต่เป็นฉบับที่ง่ายกว่า หรืออาจจะเป็นกระบวนท่าที่ถูกดัดแปลงก็เป็นได้
แต่นั่นก็เพียงพอที่จะหลบหลีกกระบี่ของกวนเฟยไป๋!
ท่าทางของโก่วหานสือยังคงหนักแน่นจริงจัง รู้สึกทึ่งอย่างยิ่ง
ไม่ว่าจะเป็นฉบับง่ายๆ หรือว่ามีรูปร่างแต่ไร้พลัง ไม่ว่าสามารถทำออกมาอย่างง่ายดายหรือว่าลอกเลียนแบบ อย่างน้อยก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าคนผู้นั้นเข้าใจย่างก้าวหยั่งเทวา!
ย่างก้าวหยั่งเทวาเป็นเคล็ดวิชาลับไม่แพร่งพรายสู่ภายนอก!
แล้วหนุ่มน้อยผู้นี้ไปรู้มาจากไหนกัน
“คืนสิบสามสู่ทิศประจิม!”
เฉินฉางเซิงไม่ได้สนใจสายตาที่ตกตะลึงของผู้คนในสนามประลอง และก็ไม่ได้มองโก่วหานสือจึงไม่ลังเลจะกล่าวออกไป
หลังจากใช้กระบวนท่าที่เหมือนย่างก้าวหยั่งเทวาช่วยเหลือลั่วลั่วออกมาจากพลังของกระบี่จี้ซานแล้ว พลันรับเอามาและจู่โจมกลับคืน!
หลังเอ่ยคำว่าคืนสิบสามสู่ทิศประจิมคำนี้ออกไป นัยน์ตาของเขาสดใสยิ่ง
เพราะว่าจิตใจเขาเงียบสงบ
เขาสงบเพราะว่ามั่นใจอย่างยิ่ง เวลาต่อมาลั่วลั่วจะต้องได้รับชัยชนะ
คืนสิบสามสู่ทิศประจิมเป็นเพลงกระบี่ของชนเผ่าทางทิศเหนือ ที่จริงแล้วเพลงกระบี่ชุดนี้ไม่มีชื่อ ถ้าหากจะต้องตั้งชื่อ มีผู้อาวุโสของนิกายหลวงได้บันทึกไว้เป็นเพลงกระบี่ใน ‘บันทึกคืนกลับทิศอุดร’
ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เพลงกระบี่ชุดนี้ แม้ว่าจะเป็นเฉินฉางเซิง เมื่ออายุสิบปีในปีนั้น บังเอิญเปิดไปเจอตำราเล่มหนึ่งที่อยู่ใต้เบาะที่นั่งในวัดเก่าที่ซีหนิง
ตำราเล่มนี้ไม่ได้อยู่ในคัมภีร์สามพันมหามรรค เป็นเพียงแค่การบันทึกการท่องเที่ยวเล่มหนึ่ง เป็นการบันทึกการท่องเที่ยวโดยเฉพาะ
ก่อนหน้านี้โก่วหานสือได้ใช้เคล็ดลับเพลงกระบี่เจ็ดดาราแห่งตงหลินของพรรคเล็กๆ ทำให้เขากับลั่วลั่วตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน เวลานี้เขาก็จะใช้เพลงกระบี่ที่ไม่สำคัญเอาชนะฝ่ายตรงข้ามบ้าง!
ตอนนี้ระยะห่างของลั่วลั่วกับกวนเฟยไป๋สิบกว่าจั้ง อยู่ในตำแหน่งดาวทิศตะวันตก ตำแหน่งดวงดาวสัมพันธ์กัน พอดีกับเป็นภาพที่เขารอคอยมาตลอด
ตำแหน่งของคนทั้งสอง เหมาะสมที่เพลงกระบี่ที่บันทึกไว้ประสบผลสำเร็จที่สุด ทำลายทุ่งหญ้าอย่างบ้าระห่ำ!
เพียงแค่ให้ลั่วลั่วออกท่าคืนสิบสามสู่ทิศประจิม ด้วยฝีมือที่นางได้ฝึกฝนมาหลายเดือนนี้ การประลองครั้งนี้ สำนักฝึกหลวงจะต้องชนะเป็นแน่
โก่วหานสือจ้องมองเฉินฉางเซิงไม่วางตา
เขามองเห็นนัยน์ตาที่สงบและเชื่อมั่นของเฉินฉางเซิง
เขาได้ยินชื่อเพลงกระบี่ที่เฉินฉางเซิงเอ่ยออกมา กลับคิดไม่ออกว่าเคล็ดวิชากระบี่นี้มาจากแห่งใด
บนโลกใบนี้ยังมีเพลงกระบี่ที่ตนยังไม่รู้อีกหรือ
โก่วหานสือตกตะลึงเล็กน้อย จ้องเขม็งมือที่กุมกระบี่ของลั่วลั่ว เตรียมที่จะโต้ตอบในเวลาต่อไป ทว่ากลับเป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าตนไม่มั่นใจเมื่ออยู่ในสถานการณ์เช่นนี้
ด้านหน้าตำหนักเงียบสนิท กลางสนามประลองมีสายลมพัดผ่านทว่าไร้สุ้มเสียง
ผู้คนจำนวนมากรับรู้ได้ กระบวนท่าที่จะออกนี้จะต้องมีชัยชนะ
ทุกคนต่างจ้องมองลั่วลั่ว รอคอยอานุภาพของกระบวนท่าคืนสิบสามสู่ทิศประจิมว่าจะเป็นอย่างไร
ไม่รู้ว่าเป็นระยะเวลายาวนานเท่าใด ในที่สุดลั่วลั่วจึงเคลื่อนไหว
นางหันกลับมามองเฉินฉางเซิง กล่าวพึมพำอย่างน่าสงสาร “อาจารย์ ข้าทำไม่เป็น…”
ด้านหน้าตำหนักมีเสียงถอดทอนหายใจของเหมาชิวอวี่
“คืนสิบสามสู่ทิศประจิม…ไม่เห็นมานานแล้ว”
ใบหน้าของเขารู้สึกถอดทอนใจ เมื่อหวนคำนึงถึงเรื่องเก่าๆ รู้สึกเจ็บปวด และก็รู้สึกขบขัน
“ถ้าหากองค์หญิงออกกระบวนท่านี้ได้ สำนักฝึกหลวงค่ำคืนนี้เห็นทีจะมีชัยเป็นแน่”
ไม่มีคำว่าถ้าหาก ลั่วลั่วไม่ได้ใช้กระบวนท่าคืนสิบสามสู่ทิศประจิมในตำนาน ด้วยเหตุนี้การต่อสู้ยังดำเนินต่อไป
เป็นเพียงแค่เพลงสลับฉากประกอบเท่านั้นเอง
เฉินฉางเซิงรู้สึกตะลึงงันเล็กน้อย กลับไม่ได้รู้สึกพ่ายแพ้แต่อย่างใด กลับกันเพลงสลับฉากประกอบทำให้หลุดพ้นจากความตึงเครียดก่อนหน้านี้ เขาจึงเอ่ยชื่อของเพลงกระบี่กระบวนท่าถัดไปทันที
กลับมายังกระบี่ลมฝนจงซานอีกครา
โก่วหานสือคลี่ยิ้มบางๆ โต้ตอบโดยการใช้กระบวนท่าเจ็ดดาราตงหลิน
เมื่อตอบโต้ หรือว่าการปะทะกัน สถานการณ์กลับมาเป็นเหมือนก่อนหน้านี้อีกครั้ง
ราวกับว่าสายลมสั่นสะเทือนเม็ดฝนพัดละเอียดอยู่กลางป่า เงียบสงบและงดงาม
อย่างไรก็ตามเมื่อผู้คนที่ชมการประลองเงียบนิ่ง สายลมสายฝนพลันเกาะรวมกันเพิ่มความรวดเร็ว
“ท่าที่เจ็ด”
“กระบี่ซานเหมินลำดับสิบเอ็ด”
“กระบี่โจวจงร่วงกลับ”
“กระบี่วิหคทองเหยียดกาย”
“ล้มวิหคทอง!”
“กระบี่ลำดับที่สาม!”
น้ำเสียงของเฉินฉางเซิงกับโก่วหานสือยิ่งนานยิ่งดังขึ้น!
คนหนึ่งเพิ่งจะออกกระบวนท่า อีกคนจึงรีบโต้ตอบทันที ก่อนหน้านี้ในสนามเงียบเป็นครั้งคราว ต้องการเวลา ตอนนี้ทั้งสองออกกระบวนท่ายังคงมิหยุดยั้ง และยังไม่ได้ตัดขาดจากกัน!
ผู้คนที่ชมการต่อสู้ต่างฟังไม่ทัน แล้วพวกเขาทั้งสองจะมีเวลาไปครุ่นคิดได้อย่างไร!
เสียงของพวกเขายิ่งนานยิ่งรวดเร็ว ความเร็วในการออกกระบวนท่าของลั่วลั่วกับกวนเฟยไป๋ในสนามประลองเป็นธรรมดาจะต้องเร็วไปด้วย
เวลาล่วงเลยเพียงแค่ชั่วครู่ พวกเขาทั้งสองต่างออกไปแล้วหลายสิบกระบวนท่า
บรรดาเพลงกระบี่ของพรรคเขาหลีซาน เวลานี้ทำให้เห็นเป็นประจักษ์โดยกวนเฟยไป๋
เจตนาของกระบี่เมื่อหลายปีก่อนบนกระดาษสีเหลืองเหล่านั้นในหอตำราของสำนักฝึกหลวง วันนี้ได้ปรากฏอีกครั้งในมือของลั่วลั่ว
มิได้หยุดชะงัก มิได้หยุดพัก
เฉินฉางเซิงกับโก่วหานสือยังออกกระบวนท่าต่อ
ลั่วลั่วกับกวนเฟยไป๋ยังออกเพลงกระบี่ต่อ
พลังกระบี่ดุจสายลม พัดโชยในความมืดยามราตรี พลังกระบี่ดุจสายฝน ตกกระหน่ำถึงขีดสุด!
ตามที่เวลาได้หมุนเวียนประหนึ่งสายน้ำ เพลงกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วน กระบวนท่าร่างกายต่างๆ นานา ล้วนปรากฏออกมากลางสนามด้านหน้าวังเว่ยยาง
บางกระบวนท่าแน่ชัดว่าอยู่ในเพลงกระบี่ที่ไม่เหมือนกัน แต่ถูกเฉินฉางเซิงกับโก่วหานสือนำกล่าวออกมาแต่ละกระบวนท่า และก็ถูกลั่วลั่วกับกวนเฟยไป๋แสดงออกมาแต่ละท่า สามารถเชื่อมโยงกันดุจสายรุ้ง ราวกับว่าเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ!
บางกระบวนท่าชัดเจนว่าเป็นเพลงกระบี่มีชื่อเสียงที่โจมตีติดต่อกัน กลับถูกเฉินฉางเซิงและโก่วหานสือทำให้แยกออกจากกัน หลังจากเว้นห่างกันสิบกว่ากระบวนท่าเพลงกระบี่ของลั่วลั่วกับกวนเฟยไป๋ถึงจะปรากฏมาทีหลัง ทว่ากลับมีผลดีอันน่าทึ่ง!
ฝูงชนที่มองการต่อสู้ที่อยู่บนบันไดด้านหน้าตำหนักตะลึงตาค้างพูดไม่ออก ตะโกนร้องตกตะลึงออกมาบ่อยๆ
“เช่นนี้ก็ได้หรือ”
“นี่คือกระบวนท่าอะไรหรือ”
“อาจารย์ กระบวนท่านี้ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย”
“อาจารย์ปู่ ท่านรู้จักกระบวนท่านี้หรือไม่”
ความมืดยามราตรีอันมืดมิด ดวงดาวเต็มท้องฟ้าเปล่งประกายระยิบระยับ แสงกระบี่ตัดสลับกัน
ค่ำคืนนี้ระหว่างสำนักฝึกหลวงกับพรรคกระบี่เขาหลีซานเป็นการประลองที่มีเอกลักษณ์ มองบรรดาอาจารย์นักเรียนของสำนักในจิงตูรวมถึงบรรดาของคณะเจรจาทิศใต้ไร้การควบคุมตนเอง
ความรู้และความสามารถที่แสดงออกมาลึกซึ้งกว้างไกลของเฉินฉางเซิงกับโก่วหานสือทำให้ผู้คนสั่นสะเทือน และกระบี่ที่โต้ตอบระหว่างคนทั้งสอง ทำให้บรรดาผู้คนเลื่อมใสจนอยากคารวะ
จากแรกเริ่มจนถึงตอนนี้ เฉินฉางเซิงกับโก่วหานสือได้เอ่ยออกมาหลายร้อยกระบวนท่าแล้ว นอกจากกระบวนท่าคืนสิบสามสู่ทิศประจิมแล้ว ลั่วลั่วกับกวนเฟยไป๋ต่างออกกระบวนท่ามาได้ทั้งหมด อีกทั้งมิได้ด้อยไปกว่ากันแม้แต่น้อย ไม่ได้ผิดพลาดใดๆ เรียกได้ว่าดีเลิศ นี่เป็นสิ่งที่ยากจะทำได้ยิ่ง!
การวิพากษ์วิจารณ์ของเจ้าสำนักเหมาชิวอวี่ก่อนหน้านี้ ทำให้นักเรียนของบรรดาสำนักไม้เลื้อยต่างอับอายไม่มีที่สิ้นสุด การอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ของพรรคกระบี่เขาหลีซานแท้จริงแล้วยาวนานยิ่งกว่าราชวงศ์ต้าโจว คนของเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพแท้จริงแล้วฝึกบำเพ็ญเพียรทุกข์ลำเข็ญ ทว่าหญิงสาวผู้นั้นเล่า มีฐานะเป็นบุตรีของจักรพรรดิขาวผู้สูงส่งหาใดเปรียบ นางจะทนทุกข์ยากในการฝึกฝน ศึกษาเพลงกระบี่มากมายเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
เสียงร้องตกตะลึงค่อยๆ เงียบลง เสียงวิพากษ์วิจารณ์ค่อยๆ หายไป
ด้านหน้าของตำหนักเงียบสนิท นี่เป็นการแสดงถึงความเคารพ
เหมาชิวอวี่จ้องมองกลางสนามประลอง อยู่ๆ เอ่ยออกมา “ปีนั้นโจวตู๋ฟูกับจักรพรรดิไท่จงต่อสู้กันจนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ยังจะไม่เท่าการต่อสู้ครานี้กระมัง”
เมื่อฟังประโยคนี้ บรรดาผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ใกล้กับเขาท่าทางต่างพากันเปลี่ยนไปฉับพลัน
สวีซื่อจีนิ่งเงียบไม่เอ่ยสิ่งใด เพราะว่าเวลานี้เขาไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยสิ่งใดออกมา
เฉินหลิวอ๋องตกใจตะโกนลั่นถามออกไป “เหตุใดเจ้าสำนักจึงเอ่ยเช่นนี้เล่า”
โจวตู๋ฟูเป็นบุคคลระดับไหน เป็นผู้แกร่งกล้าที่ทั่วทั้งต้าลู่ต่างยกย่องว่าแข็งแกร่งที่สุดในรอบหนึ่งพันปี! จักรพรรดิไท่จงเป็นบุคคลระดับใด! การต่อสู้ของนักเรียนฝึกหลวงกับลูกศิษย์พรรคเขาหลีซานในค่ำคืนนี้ ถึงจะยอดเยี่ยมก็ตาม แล้วจะหยิบยกขึ้นมาเปรียบเทียบกับการต่อสู้ที่สืบทอดเล่าขานตั้งแต่พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าในปีนั้นได้อย่างไร
“ตอนนี้พวกเขาก็มิอาจเทียบเท่าโจวตู๋ฟูกับจักรพรรดิไท่จง”
เหมาชิวอวี่ถอนทอนใจพลางเอ่ยออกมา “เมื่อครั้งการต่อสู้จนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าในปีนั้น โจวตู๋ฟูกับองค์จักรพรรดิมีอายุสามสิบปีพอดี แต่ตอนนี้พวกเขาอายุเท่าไหร่กันเล่า”