ตอนที่ 118 เป็นรับชัดเจนมากเลยเหรอ
ในห้องครัวซือเหยี่ยนต้มบะหมี่อยู่อย่างเงียบๆ ระหว่างสองคนไม่ได้พูดคุยอะไรกัน เจียงมู่เฉินเอนกายกับพนักพิงมองดูซือเหยี่ยนแล้วอดคิดไม่ได้ นิสัยก่อความวุ่นวายขนาดนั้นของตัวเองพอมาอยู่กับซือเหยี่ยนคาดไม่ถึงว่าจะไม่รู้สึกน่าเบื่อเลย
สำหรับเจียงมู่เฉิน เมื่อเปรียบเทียบกับชีวิตเมื่อก่อนหน้านี้ เขายิ่งชอบชีวิตที่อยู่กับซือเหยี่ยนแบบนี้มากกว่า
เจียงมู่เฉินถอนหายใจเบาๆ เขาคงจะปลูกต้นรักกับซือเหยี่ยนจริงๆ แล้ว
ซือเหยี่ยนเอาบะหมี่ที่ต้มเสร็จแล้วมาวางไว้ตรงหน้าเจียงมู่เฉิน ไม่เพียงเท่านั้นยังใส่ไข่ตามที่เจียงมู่เฉินบอกไว้ แถมยังมีผักกาดกวางตุ้งและกุ้งอีกด้วย
เจียงมู่เฉินเองก็ไม่ได้เรื่องมากอะไร หยิบตะเกียบขึ้นมา เป่าทีสองทีแล้วจึงกินคำใหญ่เข้าไป
ซือเหยี่ยนมองดูเจียงมู่เฉินกิน ในใจก็ปรากฏความรู้สึกรักทะนุถนอมขึ้นไม่หยุด
บะหมี่หนึ่งชามถูกจัดการเรียบอย่างรวดเร็ว เจียงมู่เฉินนั่งเกียจคร้านเป็นอัมพาตอยู่บนเก้าอี้
ซือเหยี่ยนเอาชามบะหมี่ใส่เข้าไปในเครื่องล้างจาน แล้วออกมาดูเจียงมู่เฉิน “นอนไหม”
เจียงมู่เฉินส่ายหัว “ฉันเพิ่งกินข้าวเสร็จจะให้นอนเลย นายเห็นฉันเป็นหมูหรือไง”
ซือเหยี่ยนเห็นท่าทางอ่อนปวกเปียกของเขาอยู่บนเก้าอี้ก็อดจะยกมุมปากขึ้นไม่ได้
เจียงมู่เฉินเตะเขาไปทีหนึ่ง “อุ้มฉันไปโซฟาที ฉันอยากดูทีวี”
ในฐานะแฟนหนุ่มยี่สิบสี่ยอดกตัญญู[1] ซือเหยี่ยนรับคำสั่งอุ้มเจียงมู่เฉินไปวางบนโซฟา ทั้งยังเป็นฝ่ายเปิดทีวีให้เจียงมู่เฉินเลือกหาดูเองอีกด้วย
เจียงมู่เฉินหาดูอยู่ตั้งนานก็หาหนังเรื่องหนึ่งเจอ
ซือเหยี่ยนปิดไฟในห้องรับแขก ทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ แล้วดึงเจียงมู่เฉินมาอยู่ในอ้อมกอด
เจียงมู่เฉินโดนกอดแบบนี้ก็รู้สึกแปลกๆ เขาตีมือซือเหยี่ยน “นายปล่อยมือออกก่อน”
ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง ก่อนละมือออก
เจียงมู่เฉินเคลื่อนตัวถอยหลังไป เอามือกอดซือเหยี่ยนเอาไว้ เขาคลอเคลียอีกฝ่ายอย่างพอใจ ที่แท้ทำแบบนี้ก็สบายตัวกว่ามากทีเดียว
‘เปลี่ยนเป็นรุกบนเตียงไม่ได้ แล้วจะเป็นรุกบนโซฟาหน่อยไม่ได้เหรอ’
ซือเหยี่ยนมองดูท่าท่างการกระทำเล็กๆ ของเจียงมู่เฉินอย่างขำๆ ขยับร่างกายให้เจียงมู่เฉินได้กอดเขาสบายๆ ขึ้นมาหน่อย
‘ความรู้สึกครั้งแรกที่โดนคนกอดไว้ในอ้อมอกแบบนี้…’
ซือเหยี่ยนเลิกคิ้วเงียบๆ รู้สึกแปลกๆ แต่ว่าก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร
ความมืดปกคลุมทั่วห้อง เหลือแค่เพียงแสงสลัวๆ สะท้อนจากทีวีเท่านั้น แสงฉายสลับตัดไปมากระทบใบหน้าของเจียงมู่เฉิน ซือเหยี่ยนเอียงหน้าก็มองเห็นสีหน้าดูทีวีอย่างจริงจังของเขา
แววตาซือเหยี่ยนทอประกายฉายอารมณ์อันซับซ้อน เขาใช้เวลาเนิ่นนานตั้งเท่าไหร่ถึงพาตัวคนคนนี้กลับมาอยู่ข้างกายเขาอีกครั้งได้
ครั้งนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะไม่ยอมปล่อยมือไปง่ายๆ อีกแล้ว
…
เจียงมู่เฉินเห็นมั่วไป๋เอาแต่คลุกตัวอยู่ในคอนโดมิเนียมทั้งวัน ไม่วาดรูปก็นอนหลับ เขาทนดูไม่ได้แล้วจริงๆ จึงวิ่งแจ้นมาหาคว้าตัวอีกคนออกมา
แสงแดดข้างนอกค่อนข้างจ้า มั่วไป๋หรี่ตาลงพิงหน้าต่างอย่างเอื่อยเฉื่อย
เจียงมู่เฉินเห็นท่าทางปล่อยเนื้อปล่อยตัวเหมือนหมดอาลัยตายอยากของเขาแล้วถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ “ฉันว่านะ โลกมนุษย์สวยงามขนาดนี้ บางครั้งนายก็ต้องออกมาชื่นชมของพวกนี้บ้าง”
มั่วไป๋นึกอนาถใจในตัวเอง “ชื่นชมของพวกนั้นไปทำไม ชื่นชมนายก็โอเคแล้ว”
เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “ถ้าต้องชื่นชมก็ให้ฉันชื่นชมนายด้วยไง”
มั่วไป๋กวาดสายตามองหยามเขา “แผนเป็นรุกล้มเหลวอีกแล้วล่ะสิ”
เจียงมู่เฉินระเบิดลง “นายรู้ได้ยังไง”
“ไม่กี่วันมานี้ไม่ได้ออกจากบ้านเลยล่ะสิ ไม่ใช่ว่าโดนจับกดจนลงจากเตียงไม่ได้หรอกเหรอ” มั่วไป๋เลิกคิ้วด้วยสีหน้าเรียบเฉย
‘…เขาเป็นรับชัดเจนขนาดนั้นเลยเรอะ’
“ถ้าไม่ใช่ว่าคุณชายเห็นว่าใบหน้าของนายเป็นใบหน้าที่คุณชายชอบ คงจะฟาดนายจนตายไปแล้วแน่ๆ” เจียงมู่เฉินโกรธจนต้องขบกราม
มั่วไป๋หัวเราะเยาะ “งั้นฉันจะต้องขอบคุณใบหน้านี้ของฉันจริงๆ สินะ”
เจียงมู่เฉินเห็นแววตาเยาะเย้ยตัวเองของเขาก็ชะงักไปจึงรีบเอ่ยปากทันที “มั่วไป๋ ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้นนะ”
มั่วไป๋ยกมุมปากขึ้น “ฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดที่พูดประโยคเดียวแล้วจะทิ่มแทงบาดแผลของฉันได้”
“นายยังลืมไม่ลงใช่ไหม” เจียงมู่เฉินเงียบลงอยู่พักใหญ่ๆ ถึงได้พูดต่อ
“คงจะใกล้แล้วมั้ง” ถ้าคืนนั้นเขาไม่ได้เจอกับไป๋จิ่งอีก เขาคงใกล้จะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้นไปแล้ว
เลือดแดงฉานนองพื้น เขานอนดิ้นรนทุรนทุราย โฉมหน้าเปลี่ยนไปหมด…
[1] ยี่สิบสี่ยอดกตัญญู เป็นนิทานพื้นบ้านที่นำเสนอถึงความกตัญญูตามปรัชญาขงจื้อ 7 ประการ ได้แก่ การเลี้ยงดูบุพการี การปรนนิบัติรับใช้บุพการีอย่างเสมอต้นเสมอปลาย การให้ความสุขแก่บุพการี การให้อภัยต่อความผิดพลาดของบุพการี การปกป้องบุพการี การรำลึกถึงบุพการี จัดงานศพและเซ่นไหว้บุพการี
ตอนที่ 119 ไม่อยากเอ่ยถึงอีก
“ตกลงว่าคนคนนั้นเป็นใคร ตั้งหลายปีแล้ว นายยังไม่คิดจะบอกฉันอีกเหรอ” ปีนั้นตอนที่เขาไปถึง มั่วไป๋ก็นอนหมดสติเลือดท่วมตัวอยู่บนพื้นแล้ว
ถ้าตอนนั้นไปช้าอีกนิด เกรงว่ามั่วไป๋คนที่มานั่งอยู่ต่อหน้าเขาวันนี้คงจะไม่มีอีกแล้ว
ด้วยเหตุนี้จึงถูกส่งตัวไปอเมริกา ใช้เวลากว่าครึ่งปีถึงทำให้อาการของเขาค่อยๆ ดีขึ้น รอจนเกือบจะสองปีเต็มๆ มั่วไป๋ถึงได้กลับมาถานโจวอีกครั้ง
ความอ้างว้างแฝงในแววตาของมั่วไป๋ เขาส่ายหัวด้วยท่าทีสงบนิ่ง หยิบแก้วที่วางไว้บนโต๊ะขึ้นมาดื่มไปอึกหนึ่ง “มู่เฉิน มีบางเรื่องที่ฉันไม่อยากเอ่ยถึงอีก ฉะนั้นนายก็อย่าเอ่ยถึงอีกเลย”
เขาหยุดสักพัก ก่อนเอ่ยต่อ “อีกอย่าง ฉันเปลี่ยนชื่อใหม่แล้ว หน้าตาก็ไม่ค่อยเหมือนเมื่อก่อน คนที่รู้จักฉันก็มีไม่กี่คน” แม้แต่คนที่อยู่ใกล้ชิดสนิทกันตลอดเวลาในตอนนั้นอย่างไป๋จิ่งมาเจอเขาอีกครั้งก็ยังจำเขาไม่ได้แล้ว
‘เขาที่เป็นแบบนี้ มีอะไรต้องกลัวอีก’
เจียงมู่เฉินถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้พูดอะไรอีก ถึงอย่างไรเรื่องบางเรื่องก็ได้แต่พึ่งตัวเองให้ข้ามผ่านไปได้เท่านั้น คนอื่นจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถช่วยเขาได้
ทั้งสองคนนั่งอยู่กันสักพัก จากนั้นก็ไปร้านอาหารระแวกใกล้ๆ แถวนั้น เพิ่งจะสั่งอาหารกันเสร็จ เจียงมู่เฉินเห็นเงาคนคนหนึ่งกำลังเดินมาทางตัวเอง แล้วขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“คิดไม่ถึงเลยว่าจะเจอคุณที่นี่” ซังจิ่งเห็นเจียงมู่เฉินก็อมยิ้มเบาๆ
เจียงมู่เฉินฉีกมุมปากขึ้น “ฉันเองก็คิดไม่ถึง” ไม่ได้เจอหน้าเขาหลายวัน ตัวเองใกล้จะลืมซังจิ่งคนนี้ไปแล้ว
“มากินข้าวกับเพื่อนเหรอ” ซังจิ่งมองมั่วไป๋ที่นั่งตรงข้ามเจียงมู่เฉินอยู่แวบหนึ่ง
“อืม” เขาเอ่ยรับคำเดียวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
ซังจิ่งมองเจียงมู่เฉินอย่างขำๆ เมื่อครู่นี้ยังเห็นรอยยิ้มสดใสเต็มใบหน้า แต่พอเห็นหน้าเขา สีหน้าเป็นมิตรสักนิดก็ไม่มีให้
เขายังแสดงออกว่าเกลียดตัวเอง ไม่เหลือทางให้ถอยจริงๆ
“ผมเองก็มากินข้าว เพียงแต่ว่าบังเอิญไม่มีที่นั่งแล้ว ไม่รู้ว่าจะขอแชร์โต๊ะกับประธานเจียงได้หรือเปล่า”
เจียงมู่เฉินขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยมองไปข้างๆ ไม่มีโต๊ะว่างเหลือเลยสักโต๊ะ เขามองหน้ามั่วไป๋ราวกับจะขอความเห็นของมั่วไปอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากมั่วไป๋พยักหน้าให้เล็กน้อย เจียงมู่เฉินถึงได้ตกปากรับคำ
“งั้นแชร์กันก็ได้” เจียงมู่เฉินเอ่ยเสียงนิ่ง
ซังจิ่งนั่งลงข้างๆ เจียงมู่เฉิน ส่วนฝั่งของมั่วไป๋ก็ว่างลง แบบนี้ทำให้เจียงมู่เฉินโล่งใจไปส่วนหนึ่งเพราะมั่วไป๋ไม่ชอบให้มาเข้าใกล้แตะเนื้อต้องตัว
ซังจิ่งถือใบรายการอาหารขึ้นมาสั่ง มองดูเจียงมู่เฉินที่นั่งข้างๆ คุยกันกับมั่วไป๋ ดูท่าว่าจะทำให้เขาเป็นแค่คนแปลกหน้าที่แค่มาแชร์นั่งร่วมโต๊ะเดียวกันเท่านั้นจริงๆ ไม่มีทีท่าจะสนใจเขาแม้แต่น้อย
เขานวดถูคางตัวเองเบาๆ ถึงแม้ว่าคืนนั้นคำพูดที่เจียงมู่เฉินพูดกับเซวียยางเขาจะได้ยินชัดทุกถ้อยคำ
ทุกทุกคำล้วนพาความเย็นชามาสู่เขา
เพียงแต่ว่าถ้าเอาความอบอุ่นของเขาตั้งรับความเย็นชาของเจียงมู่เฉิน ก็เหมือนว่าจะไม่มีอะไรที่น่าลำบากใจขนาดนั้น ถึงอย่างไรใบหน้าของเจียงมู่เฉินนี้ก็โดนใจ ถูกรสนิยมของเขามากอยู่ดี
ซังจิ่งพิจารณาสังเกตดูเจียงมู่เฉิน แม้ตัดทรงผมสั้นแล้วจะดูแมนๆ ขึ้นมาบ้าง แต่ก็ไม่กระทบใบหน้านั้นเลยสักนิด
ยังดูดีเหมือนเดิม
เขายกมุมปากขึ้น เอ่ยเสียงต่ำ “แบบแปลนก่อสร้างของทางหลินไห่เกิดปัญหาขึ้นนิดหน่อย ไม่ทราบว่าคุณชายเจียงรู้เรื่องหรือยัง”
เจียงมู่เฉินที่เดิมทีไม่อยากจะสนใจเขา แต่เมื่อได้ยินว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับหลินไห่ก็ยังต้องเบนสายตามาหาซังจิ่งอยู่ดี
“หมายความว่ายังไง”
“ฝ่ายงานวิศวกรพบว่า แบบแปลนก่อสร้างของหลินไห่กับที่ส่งรายงานไปตอนแรกเทียบกับการก่อสร้างห้องใต้ดินมีบางจุดไม่ค่อยเหมือนกัน”
เจียงมู่เฉินขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย “แล้ว?”
“ต้องส่งแบบแปลนไปใหม่ รอพิจารณาสั่งการ หลังจากผ่านแล้วจะสร้างซ้ำใหม่อีกรอบ” ซังจิ่งถอนหายใจเบาๆ “หรือว่า ตั้งนานขนาดนี้แล้วคุณชายเจียงไม่เคยสนใจโครงการหลินไห่เลยใช่ไหม”
เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว “แล้วไง ตอนนี้ประธานซังกำลังตำหนิฉันอยู่เหรอ”