รู้จักวังถง แต่ก็มิได้หมายความว่าจะออกไปจากวังถงได้ หาประตูกำเนิดของวังถงพบ ก็มิได้หมายความว่าจะสามารถหนีออกไปสู่ฟากฟ้าได้ ความเป็นจริงแล้ว ตั้งแต่อดีตจนถึงขณะนี้ระยะเวลาผ่านพ้นไปยาวนาน มีผู้แกร่งกล้านับไม่ถ้วนที่เคยถูกคุมขังอยู่ในวังถง กลับไม่เคยมีผู้ใดกล้าย่างกรายเข้าไปในประตูกำเนิดแม้แต่ก้าวเดียว
บุคคลที่มีคุณสมบัติพอที่จะถูกคุมขังอยู่ในวังถงได้ย่อมมิใช่คนธรรมดา พวกเขารู้ซึ้งยิ่งนักเกี่ยวกับสัจธรรมของการกำเนิดและสิ้นชีวิต เชื่อว่าท่านราชครูที่ได้สร้างวังถงในปีนั้นคงจะไม่เหลือช่องโหว่ใดๆ เป็นแน่ หากย่างกรายเข้าไปในประตูกำเนิดแม้แต่ก้าวเดียว ก็เท่ากับว่าย่างกรายเข้าไปในดินแดนมรณะ
อยู่ในหุบเหวลึกของความสิ้นหวังย่อมไม่อาจได้เห็นความหวัง ผู้ใดจะกล้ามุ่งไปสู่ความตายแล้วไปเกิดใหม่เล่า แม้การเลือกหนทางเส้นนั้นจะดูเหมือนว่าเป็นหนทางที่ง่ายที่สุด แต่กลับเป็นหนทางที่อันตรายที่สุด การดิ้นรนหาหนทางอื่น เกรงว่าการนั่งรออย่างโดดเดี่ยวยังจะเป็นการเลือกที่ดียิ่งกว่า
เฉินฉางเซิงคงจะเป็นผู้ที่อ่อนแอที่สุดในประวัติศาสตร์ของผู้ที่เคยถูกคุมขังในวังถง แต่เป็นคนที่พิเศษที่สุด เขาไม่เหมือนกับบรรดาผู้ที่ถูกคุมขังในวังถง ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงสิ้นสุดเขาแสวงหาความหวังทั้งที่อยู่ในหุบเหวลึกของความสิ้นหวัง ทุกวันทุกคืนเขาล้วนมุ่งไปสู่ความตายทั้งสิ้น
เขาเป็นคนทะนุถนอมเวลาที่สุดบนโลกใบนี้ เขาไม่ยอมใช้เวลาเพื่อดิ้นรนไปกับเรื่องไร้ค่าเช่นนี้ หลังจากยืนยันถึงความคิดที่เขาเคยคาดการณ์ไว้กับม่ออวี่แล้ว เขาตัดสินใจอย่างรวดเร็ว มิลังเลที่จะเหยียบย่างเข้าไปในสระน้ำเย็นผืนนั้น
เวลานั้น เขาไม่รู้ว่าสระน้ำเย็นที่ตนกำลังจะเข้าไปเรียกว่าสระมังกรดำ แต่ในเมื่อรู้แล้วก็ช่างปะไร เขาจะต้องออกจากสวนรกร้างเพื่อไปให้ทันทำเรื่องนั้นที่วังเว่ยหยาง ไม่ว่าจะถ้ำเสือหรือถ้ำมังกรที่ขัดขวางอยู่ตรงหน้า เขาจะต้องฝ่าออกไปให้ได้
สวนรกร้างเยือกเย็นหนาวเหน็บ ก็เป็นเพราะสระน้ำเย็นแห่งนี้ น้ำในสระน้ำเย็นเป็นธรรมดาที่จะยิ่งเย็นยะเยือก ชั่วพริบตาที่เท้าของเขาร่วงสู่ผิวน้ำ ถึงพบว่าพื้นผิวได้เกาะกันเป็นชั้นน้ำแข็งบางๆ มีเสียงแตกดังขึ้น เมื่อถูกเหยียบลงไปจึงกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็ง
เฉินฉางเซิงไม่ได้รู้สึกถึงน้ำที่ทำให้ผิวรองเท้าเปียกชื้น เพราะว่าเท้าของเขามิได้เหยียบย่ำในน้ำเสียงแตกเปรี๊ยะๆ ดังขึ้นต่อเนื่อง น้ำแข็งบางๆ บนผิวของสระน้ำเย็นแตกร้าว น้ำของสระน้ำใต้แผ่นน้ำแข็งก็ไหลซึมออกมา ปรากฏเป็นบันไดหินลาดลงสู่ก้นสระ
บันไดหินลาดยาวจากฝั่งทอดลงสู่ก้นสระอย่างแช่มช้า ผิวหน้าบันไดแห้งสนิท ไม่มีคราบน้ำสักนิด แม้แต่ตะไคร่น้ำก็ยังไม่มี
น้ำของสระน้ำถูกพลังไร้รูปร่างแยกออกจากกัน ภาพที่เห็นนี้อัศจรรย์อย่างยิ่ง ความมืดมิดที่อยู่ลึกลงไปจากบันไดหิน ในเวลานั้นคล้ายกับว่าซ่อนเร้นอันตรายอันไร้ขอบเขตไว้ ทว่าเฉินฉางเซิงกลับดูเหมือนไม่เคยเห็นภาพที่อัศจรรย์เช่นนี้มาก่อน ราวกับว่ามีหนทางเส้นนี้อยู่มาก่อนหน้าแล้ว จิตใจสงบนิ่งมั่นคง
หลังจากเดินไปสิบกว่าก้าว บันไดหินพลันหายไปในห้วงน้ำด้านล่าง หนทางทั้งหมดจมลงไปใต้สระ
พื้นผิวหนทางยังคงแห้งสนิท มุมกำแพงน้ำค้างแข็งเกาะตัวสะสมอยู่ อุณหภูมิตอนนี้หนาวเย็นยิ่งกว่าริมฝั่งเสียอีก ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาวกับเสียงดนตรีดังแว่วมาจากวังเว่ยหยางค่อยๆ ไกลออกไป เส้นทางข้างหน้ายิ่งมืดลงเรื่อยๆ มองไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น ยิ่งเดินไปข้างหน้า ราวกับว่ายิ่งห่างจากความเป็นจริงของโลกใบนี้ พร้อมที่จะตกลงไปในหุบเหวลึกหรือว่าโลกใบอื่นเมื่อใดก็ได้
เฉินฉางเซิงไม่ได้หยุดเท้าเดิน แต่ก็มิได้ลดความเร็วของก้าวเดิน กลับสาวเท้าเดินให้เร็วยิ่งขึ้น จนกระทั่งในที่สุดก็วิ่ง
เขาวิ่งไปยังหุบเหวที่มืดมิด
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เขาวิ่งมาถึงสุดทางเดิน ถึงพบว่าก็มิได้มืดมิดไปเสียทั้งหมด
มองไม่เห็นท้องฟ้ายามราตรีที่เต็มไปด้วยดวงดาว โคมไฟในค่ำคืนแห่งเทศกาลเจ็ดค่ำเดือนเจ็ดของจิงตูก็ส่องสว่างไม่ถึงที่นี่ แต่ด้านหลังของทางเดินยังมีแสงสลัวราง ทะลุผ่านน้ำในสระที่ใสสะอาด ตกกระทบลงด้านหน้าของเขารำไร ส่องสว่างแก่ประตูหินบานนั้น
ประตูหินบานนี้สูงราวสิบจั้ง มองแล้วหนักอึ้งอย่างยิ่ง ผิวด้านนอกไม่ได้มีรูปแกะสลักใดๆ มีเพียงก้อนหินใหญ่ยักษ์สองก้อนวางก่อกันไว้ มองแล้วคล้ายกับของเล่นที่เทพเจ้าได้ก่อเอาไว้สมัยยังเยาว์วัย มองอีกทีก็เหมือนกับโลงศพของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ห่อเหี่ยวน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
สิ่งที่ทำให้เฉินฉางเซิงตกตะลึงพรึงเพริดก็คือ ด้านหลังของประตูหินมีพลังที่ยากจะอธิบายแผ่กำจายออกมา
บริเวณประตูข้างของสำนักเทียนเต้ากับด้านนอกของวังเว่ยหยาง เขารับรู้ถึงพลังลมปราณที่สวีซื่อจีพยายามส่งออกมา แต่ทว่าหากเปรียบกับพลังที่ซุกซ่อนอยู่ด้านหลังประตูหินบานนั้น พลังลมปราณของขุนพลเทพสวีซื่อจีผู้แข็งแกร่งก็เหมือนกับจิ้งหรีดตัวหนึ่ง เทียบไม่ได้โดยสิ้นเชิง
ใช่แล้ว พลังที่อยู่ด้านหลังประตูหินนั้น แต่ไหนแต่ไรเฉินฉางเซิงไม่เคยรับรู้ถึงมัน ถึงขนาดที่ว่าไม่เคยได้ยินว่ามีการปรากฏในลักษณะนี้มาก่อน มันเป็นสิ่งที่อยู่เหนือขอบเขตการจินตนาการของมนุษย์ธรรมดา เมื่อเข้าใกล้สิ่งนั้นก็จะพานพบกับสิ่งที่คืบคลานเข้ามา และความตายคงมาเยือนอย่างมิได้เกินความคาดหมาย
อย่าว่าแต่เขาซึ่งเป็นหนุ่มน้อยธรรมดาอายุสิบสี่ปีเลย ถึงแม้จะเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นรวบรวมดวงดาวอย่างม่ออวี่ ก็คงไม่สามารถต้านทานพลังลมปราณที่อยู่ด้านหลังประตูหินซึ่งๆ หน้าได้ ถึงแม้จะเป็นผู้สูงส่งขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ ก็คงจะเลือกหลีกหนีให้ไกลออกไป!
พลังด้านหลังประตูหินมิใช่เป็นสิ่งที่ท่านผู้น่าเกรงขามผู้นั้นตั้งใจปล่อยออกมา แต่เป็นพลังลมปราณที่เหลือเพียงน้อยนิดลอดออกมาตามซอกประตูหิน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ความเย็นยะเยือกจึงแผ่ลามทั่วทั้งร่างกายและจิตใจของเฉินฉางเซิงเสียแล้ว ใบหน้าขาวซีดราวหิมะ เท้าทั้งสองราวกับว่าถูกแช่แข็งอยู่บนพื้น
ท่านยายหนิงกังวลว่าเขาจะเดินหลงผิดเข้าประตูกำเนิด พบกับท่านที่อยู่นอกประตูหินในตำนานผู้นั้น ทว่าม่ออวี่กลับไม่คิดเช่นนั้น เพราะว่านางมั่นใจอย่างยิ่ง ไม่มีผู้ใดที่รับรู้ถึงพลังที่อยู่ด้านหลังประตูหิน แล้วยังกล้าผลักประตูหินเดินเข้าไป ยิ่งเป็นหนุ่มน้อยธรรมดาเช่นเฉินฉางเซิง แม้แต่ยืนก็คงจะยืนไม่ไหว แล้วจะเข้าไปได้อย่างไร
ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่า ในสถานการณ์จริงนั้นไม่เหมือนกับที่ม่ออวี่สมมุติขึ้นมา
เฉินฉางเซิงยืนแทบจะไม่ไหวจนขีดสุด แต่กลับยังไม่ล้มลงไป ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถคงสติให้ชัดเจนแจ่มแจ้งไว้ได้อีกด้วย
เขาก็ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด
ตนเองชัดเจนยิ่งนักว่าไม่เคยพบเจอพลังลมปราณที่น่าเกรงขามหาใดเปรียบชนิดนี้มาก่อน แต่เพราะเหตุใดร่างกายกับจิตวิญญาณกลับมีการโต้ตอบอย่างธรรมชาติเล็กน้อย ถึงกับสามารถยืนขึ้นเผชิญหน้ากับความเกรงขามนั้นได้
เขาไม่รู้ว่าเมื่อตอนที่ตนกำลังเกิด ดวงตายังไม่ทันลืมขึ้นมา ก็เคยพบเจอกับสิ่งมีชีวิตที่สูงส่งด้านหลังประตูหินมาก่อนแล้ว
พลังปราณที่น่าเกรงขามนั้นยังคงอยู่
ร่างกายของเฉินฉางเซิงแข็งทื่อ ไม่ได้ล้มลงไป แต่กลับหมดหนทางออกไป
ใต้จิตสำนึก เขากุมกระบี่สั้นที่อยู่ในมือแนบแน่นเข้าไปอีก เพราะว่าเขารับรู้ได้ หากตนกุมกระบี่ในมือยิ่งแนบแน่น ความคุกคามที่อยู่ด้านหลังประตูหินก็จะแปรเปลี่ยนเป็นรับมือได้ง่ายขึ้น ตนเองก็จะสบายขึ้นมาก ราวกับว่ามีพลังที่มาจากด้ามกระบี่ซึมเข้าไปในร่างกายของตน กำลังปกป้องตน
เขาไม่รู้ว่าพลังนั้นคือสิ่งใด เขาคิดว่ามันคือความกล้าหาญ
ก่อนที่เขาจะลงมาจากเทือกเขา กระบี่สั้นเป็นของขวัญที่ศิษย์พี่อวี๋เหรินมอบให้แก่ตน
เขาศึกษาคัมภีร์สามพันธรรมะ ยังไม่เคยพบบุคคลที่กล้าหาญมากกว่าศิษย์พี่อวี๋เหริน
ดังนั้นเขาจึงคิดว่ากระบี่ของศิษย์พี่ ก็เป็นแหล่งกำเนิดของความกล้าหาญ
เขากุมกระบี่ ยกเท้าเหยียบลงไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ฝ่ามือร่วงหล่นยังประตูหิน ผลักออกไปข้างหน้า
ไร้เสียง ไร้ลมหายใจ ประตูหินที่หนักอึ้งค่อยๆ แง้มออกตามการเคลื่อนไหวของเขา
ลึกลงไปยังกำแพงเมืองราชวงศ์ต้าโจว ด้านหนึ่งของประตูหินหลังจากสร้างขึ้นมาก็ไม่เคยถูกเปิดออก ค่ำคืนนี้ถูกผลักออกมา
ฝุ่นละอองคละคลุ้งกระจายขึ้นมา นั่นคือฝุ่นละอองในประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์นี้ พันปีมาแล้ว
……
……
ด้านหลังของประตูหินมืดมิด มืดมิดอย่างแท้จริง
เฉินฉางเซิงมือหนึ่งกุมกระบี่สั้นขนาบกับหน้าอก มือหนึ่งหยิบไข่มุกราตรียื่นออกไปข้างหน้า
ไข่มุกราตรีเม็ดนี้สว่างไสวแวววาว กลมราวกับแตง เป็นเม็ดที่ลั่วลัวมอบให้เขาเพื่อเป็นการคารวะอาจารย์ ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้มันเคยวางไว้ที่ใด
ลำแสงที่นุ่มนวลเปล่งออกมาจากไข่มุกราตรีที่อยู่ในมือของเขา ส่องประกายไปทั่วทุกหนทุกแห่ง แต่ทว่าเมื่อเวลาผ่านพ้นไปยาวนาน กลับยังไม่ส่องกระทบกับสิ่งที่เป็นเหมือนกับแผ่นหิน
นี่คือที่ว่างที่กว้างใหญ่อย่างยิ่ง โล่งกว้างหาใดเปรียบ ราวกับว่าสามารถตั้งวังทั้งหลังได้จริงๆ
เฉินฉางเซิงคิดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิงว่า ข้างใต้ของพระราชวังต้าโจวจะมีพื้นที่ว่างกว้างใหญ่เพียงนี้ หากคำนวณเวลาจากที่เขาวิ่งก่อนหน้านี้ สถานที่ที่เขายืนอยู่เวลานี้ เกรงว่าจะออกมานอกกำแพงพระราชวังต้าโจวเสียแล้ว มิรู้ได้ว่าอยู่ข้างใต้แห่งหนใดของจิงตู
ลำแสงของไข่มุกราตรีค่อยๆ ส่องไกลออกไป พื้นที่ว่างกว้างใหญ่ไพศาลแปรเปลี่ยนเป็นความจริงขึ้นมาช้าๆ
แสงสว่างสีเงินเปล่งประกายระยิบระยับในที่ไกลออกไปไม่ชัดเจน มีแสงสีเงินหนาแน่นมากมาย ราวกับว่าเป็นฝุ่นผงสีเงินนับไม่ถ้วน และยังเหมือนกับดวงดาวทั้งหมดของท้องฟ้ายามราตรีที่มาถึงยังโลกมนุษย์
เฉินฉางเซิงชูไข่มุกราตรีมองไปข้างหน้า เดินมาถึงด้านหน้าของฝุ่นผงสีเงิน เมื่อพบจึงตกตะลึงหาสิ่งใดเปรียบ ที่แท้ทั่วทั้งผืนเต็มไปด้วยเงินแท่ง!
เงินแท่งจำนวนนับไม่ถ้วนประกอบเป็นมหาสมุทรเงินผืนหนึ่ง
ตรงกลางของมหาสมุทรเงินมีก้อนทองคำที่ก่อขึ้นเป็นภูเขาทองคำ
ปลายยอดของภูเขาทองคำลูกนั้น มีปะการังสีแดงเข้มขึ้นอยู่ต้นหนึ่ง
บนกิ่งที่แน่นขนัดของปะการัง ออกผลที่แกะสลักจากเพชรนิลจินดานับไม่ถ้วน
ภูเขาทองคำ มหาสมุทรเงิน ปะการังสีแดง ยังมีผลไม้หยกนับพันนับหมื่น
ภาพนี้เป็นภาพที่ธรรมดาจริงๆ เพราะว่าร่ำรวยเกินไป ร่ำรวยจนเอ่ยสิ่งใดไม่ออก
เฉินฉางเซิงตะลึงงันไร้คำพูด แม้แต่การคุกคามก็ใกล้จะลืมสิ้นเสียแล้ว
ในชีวิตนี้ไม่เคยเห็นเงินทองที่มากมายเพียงนี้มาก่อน
หากจะพูดให้ถูก ทั่วทั้งต้าลู่แต่ไหนแต่ไรมายังไม่เคยมีผู้ใดเคยเห็นสมบัติเงินทองที่มากมายเช่นนี้มาก่อน
เงินแท่งรวบรวมแปรเปลี่ยนเป็นมหาสมุทรเงิน ถูกปกคลุมไปด้วยแผ่นน้ำแข็งบางๆ
ผิวภายนอกของแท่งเงินเริ่มหลุดลอกมากมาย กองยุ่งเหยิงเหมือนกับเศษไม้ที่ถูกไสออกมา ก่อนหน้านี้ที่เขาเห็นฝุ่นผงสีเงิน ก็คือสิ่งเหล่านี้
พื้นที่ว่างที่อยู่ข้างใต้หนาวเหน็บอย่างยิ่ง แม้แต่เงินก็ทนรับไม่ได้
เวลานี้ จู่ๆ ก็มีลมเย็นพัดขึ้นมาระลอกหนึ่ง
ด้านนอกของมหาสมุทรเงินเกิดเป็นริ้วคลื่นตามแรงลมเล็กน้อย ฝุ่นละอองเงินนับไม่ถ้วนปลิวว่อนในอากาศ น้ำแข็งเกาะตัวกันหนาแน่น ส่วนลึกของมหาสมุทรเงินเป็นหิมะทับถม
สายลมเย็นพัดผ่านเป็นเวลายาวนาน
ภายนอกร่างกายของเฉินฉางเซิงเกาะตัวเป็นชั้นน้ำค้างแข็งขึ้น ขนคิ้วกับขนตากลายเป็นสีขาว
ทว่าในจิตใจของเขากลับยิ่งเหน็บหนาว
เพราะว่าสายลมเย็นพัดผ่านเป็นระยะเวลายาวนานต่อเนื่อง เป็นเพียงแค่ลมหายใจเฮือกหนึ่ง
เป็นลมหายใจที่ยาวนานและน่าหวาดกลัวที่สุด
ความมืดมิดในความมืดยามราตรี ทันใดนั้นก่อเกิดเปลวแสงที่ไกลลิบๆ สองดวง
เปลวแสงที่บริสุทธิ์และเยือกเย็นทั้งสองดวงนั้น ไม่มีสีแม้แต่นิดเดียว
ราวกับไฟที่เย็นเยือกมาจากความมืด
เปลวแสงสองดวงค่อยๆ เข้าใกล้เฉินฉางเซิง
ความคุกคามที่น่าหวาดกลัว ปกคลุมทั่วทั้งพื้นที่ว่าง
เฉินฉางเซิงทนรับต่อไปไม่ไหว ริมฝีปากมีเลือดสดไหลซึมออกมา
ในเปลวแสงสองดวงพลันก่อเกิดเป็นสิ่งที่เรียกว่าความรู้สึกของสรรพสิ่ง
แรกเริ่มผิดหวังห่อเหี่ยว ต่อมาตกตะลึง หลังจากนั้นยินดี ตามมาด้วยแปลกประหลาดใจ สุดท้ายกลายเป็นความเหน็บหนาวกับโหดเหี้ยม
นี่ไม่ใช่เปลวไฟโลกันตร์จริงๆ นั่นเป็นดวงตาที่ไร้ความรู้สึกคู่หนึ่ง ใหญ่โตมากกว่าร่างกายของเฉินฉางเซิง
สิ่งมีชีวิตที่มีดวงตาเช่นนี้ แล้วควรเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดใหญ่แค่ไหนเล่า ไข่มุกราตรีออกจากมือของเฉินฉางเซิง ล่องลอยออกไป สุดท้ายแล้วร่วงหล่นบนโดมโค้งมน
ทันใดนั้น ทั่วทั้งโดมโค้งมนมีแสงสว่างขึ้นมา เพราะส่วนโค้งประดับไปด้วยไข่มุกราตรีหลายพันเม็ด ก่อนหน้านั้นเฉินฉางเซิงกำลังจ้องมองมหาสมุทรเงิน คิดว่าดวงดาวในท้องฟ้ายามราตรีล้วนแต่มาถึงยังโลกมนุษย์ ในเวลานี้เขาเพิ่งจะเข้าใจ เดิมทีที่นี่ก็มีท้องฟ้ายามราตรี และก็มีดวงดาวเต็มท้องฟ้า
ด้านล่างของท้องฟ้ายามราตรีค่อยๆ สว่างไสว
หินผาสีดำก้อนนั้นปรากฏกลางช่องว่างครึ่งหนึ่ง
ต่อมา สีดำของหินผายิ่งนานยิ่งปรากฏเป็นสีดำ
หินผาสีดำก้อนนั้นดูดกลืนแสงสว่างที่กำลังกระจายลงมาจากโดมโค้งมน มิได้ซึมออกไปแม้แต่น้อย
เฉินฉางเซิงมองเห็นชัดเจนแล้ว นั่นมิใช่หินผา แต่คือเกล็ด
หินผาสีดำแผ่นมหึมา ก็คือเกล็ดสีดำแผ่นหนึ่ง
บนโลกใบนี้ มีเพียงเกล็ดชนิดเดียวที่สามารถใหญ่โตได้ถึงเพียงนี้…เกล็ดมังกร
มังกรยักษ์สีดำที่น่าหวาดกลัวค่อยๆ ปรากฏจากความมืดยามราตรี
มันจ้องมองเฉินฉางเซิงตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ดวงตาทั้งสองราวกับเปลวไฟโลกันตร์ ทั้งเย็นชาและโหดเหี้ยม