ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 48 บนต้นไทรย้อย

แสงดวงดาวที่อยู่ด้านนอกหน้าต่างราวกับสายน้ำ เฉินฉางเซิงกับลั่วลั่วนั่งอยู่บนพื้นรับประทานอาหารว่างยามค่ำคืน ขนมที่ประณีตสวยงามหลายชนิด ข้าวต้มที่ไม่รู้ว่าเป็นสมุนไพรชนิดใดสองถ้วยและยังมีเนื้อตากแห้งรสชาติไม่เลว อาจารย์และศิษย์ทั้งสองหยิบตะเกียบขึ้นมารับประทาน มิได้สนใจสนทนากัน

ข้าวต้มและขนมหมดเกลี้ยง ลั่วลั่วจึงมีเวลาว่างพูดคุย คิดว่าก่อนหน้านี้อยู่ที่ตรอกข้างประตูหน้าสำนักเทียนเต้ามองเห็นรถม้าคันนั้น สะกดกั้นความอยากรู้อยากเห็นในใจไม่ได้ ด้านหนึ่งเคี้ยวเนื้อตากแห้งอีกด้านหนึ่งเอ่ยถาม “อาจารย์ ท่านกับจวนขุนพลเทพตงอวี้แท้จริงแล้วมีบุญคุณความแค้นอะไรกัน”

เฉินฉางเซิงเข้าใจว่าเรื่องน่าแปลกใจนี้ถูกสะกดไว้อย่างยากยิ่งมานาน สำหรับปัญหาของนางเขาได้เตรียมคำตอบไว้ใจมาเป็นเวลานานแล้ว เพียงเอ่ยสองประโยคที่อยากจะเอ่ย แล้วก็เปลี่ยนหัวข้อ สิ่งที่เขาเตรียมไว้ก็คือการโกหก อาศัยฐานะของอาจารย์โกหก คิดแล้วก็เป็นเรื่องไม่ค่อยยากเย็นนัก

เพียงแค่ดวงดาวค่ำคืนนี้สวยงามยิ่งนัก ลั่วลั่วแท้จริงแล้วทนไม่ได้ เห็นเขาไม่ยินยอมตอบคำถาม เบิกดวงตากลมโต กลอกดวงตาสีดำไปมา ทดสอบหยั่งเชิงถามความเป็นไปได้หลายอย่าง คาดการณ์ว่าไม่น่าจะห่างจากเรื่องที่เป็นบุตรของสหายมากนัก เกิดเป็นโครงเรื่องที่สับสนวุ่นวายเกี่ยวกับการเนรคุณ

เฉินฉางเซิงเลื่อมใสความสามารถในการจินตนาการของนางอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร จึงเงียบนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใดเสีย

ลั่วลั่วจ้องมองท้องฟ้าด้านบนของสำนักฝึกหลวงที่เต็มไปด้วยดวงดาวพร่างพราว ขมวดคิ้วคิดอย่างจริงจัง มือน้อยๆ ที่อยู่ด้านหน้าเก็บส้มจี๊ดที่อยู่ในป่านำกลับมาด้วยผลหนึ่ง เอาใส่ปากเคี้ยวโดยไม่รู้รสชาติ ทันใดนั้น นางชักแววตากลับมามองที่เขาร้องตกใจทีหนึ่ง

เฉินฉางเซิงคิดว่านางถูกความเปรี้ยวฝาดของส้มจี๊ดทำให้ตกใจ ส่ายศีรษะตะโกนออกไป “ข้าบอกแล้วว่าเปรี้ยวยิ่งนัก กินไม่ได้ และยังไม่ดีต่อกระเพาะอย่างยิ่ง”

ลั่วลั่วกลืนส้มที่ยังไม่สุกเข้าไปในท้อง ท่าทางไม่ได้รู้สึกถึงความเปรี้ยวแม้แต่ครึ่ง จ้องมองเฉินฉางเซิงตกตะลึงพลางเอ่ย “อาจารย์ ท่านกับสวีโหย่วหรงคงไม่ใช่หมั้นหมายกันตั้งแต่ยังไม่เกิดใช่หรือไม่”

เฉินฉางเซิงอ้าปากเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรจะกล่าวสิ่งใดออกมา นอกจากนับถือ ไม่มีทางเลี่ยงอย่างยิ่ง จึงเตรียมตัวที่จะยอมรับ

“เฮ้อ…”

ไม่รอให้เขาโต้ตอบออกมา ลั่วลั่วโบกมือต่อเนื่อง ใบหน้าเรียวเล็กเต็มไปด้วยความขบขันตนเองและเก้อเขิน เอ่ยว่า “ข้าโง่เขลาเสียจริง คิดไม่ถึงว่าจะคิดเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ได้อย่างไร นั่นคือสวีโหย่วหรง จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า”

เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยสิ่งใดออกมา รู้สึกเขินอายเล็กน้อยจึงปิดปากไม่เอ่ยสิ่งใด ในใจครุ่นคิดเรื่องนี้แท้จริงเหลวไหลอย่างยิ่ง ลั่วลั่วปรกติก็เคารพตน คาดไม่ถึงว่าจะคิดเช่นนี้ ตนกับสวีโหย่วหรงจะเป็นไปไม่ได้ได้อย่างไร

“กลับไปนอนเถอะ” เขาคิดไตร่ตรอง จึงเอ่ยกับลั่วลั่ว “พรุ่งนี้ข้ามีธุระ เจ้ามาช้าสักหน่อย”

ลั่วลั่วรู้สึกตึงเครียด เอ่ยถามด้วยความไม่สงบ “อาจารย์ ท่านโกรธใช่หรือไม่”

เฉินฉางเซิงกล่าวว่า “วันนี้เจ้าทำสิ่งใดให้ข้าโกรธหรือไม่”

ลั่วลั่วคิดไตร่ตรองอย่างจริงจัง พบว่าตนไม่ได้ทำเรื่องราวที่ให้อาจารย์ไม่ยินดี ก่อนหน้านี้ที่อยู่ในการชุมนุมไม้เลื้อย ถึงแม้จะแสดงความอวดดี ไม่เหมือนเวลาปกติที่น่ารักน่าเอ็นดูคอยคล้อยตาม แต่อาจารย์เคยกล่าวว่าไม่ได้ตำหนิตน เช่นนั้นก็ไม่ตำหนิอย่างแน่นอน

นางจะคิดได้อย่างไรว่าประโยคที่นางเอ่ยออกมา จะทำร้ายจิตใจของเฉินฉางเซิง

นางเอ่ยออกไปเรื่อยเปื่อยจริงๆ แต่ก็ทำร้ายเขาไม่เบาเสียจริง ๆ

หลังจากลั่วลั่วเดินจากไป เฉินฉางเซิงเก็บกวาดกล่องอาหารและของจิปาถะและนำกองตำราที่วางอยู่บนโต๊ะแบ่งหมวดหมู่หอบกลับไปวางบนชั้นตำราให้เรียบร้อย ดับคบไฟ เดินออกมายังด้านหน้าประตูหอตำราจึงหันไปมองชั่วครู่ราวกับว่ากล่าวลา จึงอาศัยความมืดยามราตรีออกไป

กลับมาถึงอาคารหลังเล็ก เขาจึงเริ่มเก็บสัมภาระ นำสิ่งของที่จำเป็นเก็บเข้าเป็นกล่องด้วยกัน หลังจากนั้นชักกระบี่สั้นออกมาจากเอว นั่งลงข้างเตียงเริ่มหลับตาทำจิตใจและร่างกายให้สงบ เขาไม่ได้ดึงแสงดวงดาวชำระล้างกระดูก แต่ว่ากำลังรอคนบางคนมาถึง

การชุมนุมไม้เลื้อยในค่ำคืนนี้ ลั่วลั่วได้จัดการเทียนไห่หยาเอ๋อร์ คงจะก่อให้เกิดเรื่องยุ่งยากอย่างยิ่ง เป็นเรื่องยุ่งยากต่อนางและก็เป็นเรื่องยุ่งยากต่อเขา ยิ่งไปกว่านั้นคือยุ่งยากต่อสำนักฝึกหลวง เขามิอาจรู้ว่าอีกสักครู่คนที่จะก่อให้เกิดความยุ่งยากคือผู้ใด แต่เขารู้ว่าคนผู้นั้นจะต้องน่ากลัวอย่างยิ่ง

เขารู้ว่าฐานะของลั่วลั่วลึกลับซับซ้อน ภูมิหลังไม่ธรรมดา มิเช่นนั้นการชุมนุมไม้เลื้อย เหมาชิวอวี่เจ้าสำนักเทียนเต้าคงไม่ปกป้องนางอย่างลับๆ แต่นางได้จัดการเด็กประหลาดคนนั้น ถึงอย่างไรก็เป็นหลานชายของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ เป็นคนของตระกูลเทียนไห่ เป็นตระกูลที่น่าเกรงกลัวที่สุดในดินแดนต้าลู่

ถ้าหากเมื่อแรกเริ่ม เฉินฉางเซิงยังมุ่งหวังว่าความเป็นมาของลั่วลั่วจะสามารถทำให้ฝ่ายตรงข้ามสั่นสะเทือนอย่างน้อยไม่กล้าที่จะก่อความวุ่นวายภายนอก แต่เมื่อสวีซื่อจีกล่าวว่าหลังจากค่ำคืนนี้อาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้าจะต้องฆ่าตัวตาย เขาจึงไม่ได้โอบอุ้มความหวังต่อเรื่องนี้มากมาย

โลกทุกวันนี้ แม้แต่ราชวงศ์เฉินก็ต้องพึ่งตระกูลเทียนไห่หายใจ อาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้าเสียชีวิต เพราะว่าเทียนไห่หยาเอ๋อร์พิการ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามก่อเกิดความพิการก็คือลั่วลั่วกับตน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฝ่ายตรงข้ามเดิมทีอยากจะจัดการสำนักฝึกหลวง

เขารอคอยให้คนผู้นั้นมาถึง เตรียมตัวที่จะจากไป ถึงแม้จะตัดใจละทิ้งสำนักฝึกหลวงไม่ได้ แม้ว่าเขาเสียใจที่จะพลาดการสอบใหญ่ในปีหน้า แต่ก็เกิดเรื่องที่ไม่สามารถแก้ไขได้ เช่นนั้นอย่างน้อยจะต้องทำให้เรื่องนี้มีผลสุดท้ายที่ตรงกัน

ในการคาดเดาของเขา อีกสักครู่สำนักฝึกหลวงก็จะแปรเปลี่ยนเป็นทะเลเพลิง

เขาจะต้องมีหนทางที่จะออกไป

สำนักฝึกหลวงจะต้องชดใช้ให้สาสมกับการทำเทียนไห่หยาเอ๋อร์พิการ ลั่วลั่วไม่ใช่คนธรรมดา คิดแล้วฝ่ายตรงข้ามคงจะพึงพอใจ

ค่ำคืนนี้

เฉินฉางเซิงตัวคนเดียว

นั่งตามลำพังในห้อง

เท้าข้างหนึ่งของเขาวางอยู่บนหีบหนังเก่าชำรุดข้างหนึ่ง

เขาเงียบนิ่งรอคอยชีวิตที่เปลี่ยนแปลงอีกครั้งหนึ่ง

เขากำลังรอคอยอย่างเงียบนิ่งเยือกเย็นห่างจากอายุของตนมาก

ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ เขารอคอยอยู่ในสำนักฝึกหลวงเป็นเวลาหนึ่งคืนเต็ม จนกระทั่งหลังจากไม่กี่ปีมานี้ ยังคงไม่มีผู้ใดล่วงรู้ มีเพียงตัวเขาที่รู้ ค่ำคืนนี้ยาวนานอย่างยิ่ง ลำบากยากเข็ญอย่างยิ่ง เพราะเหตุนี้เขาจึงทุ่มเทความกล้าหาญมากมาย

จนกระทั่งแสงอรุณสาดส่องเข้ามาในสวน ไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นทั้งสิ้น

ยามราตรีนี้ ยังมีผู้คนจำนวนมากที่ให้ความสนใจสำนักฝึกหลวงเงียบๆ

คนเหล่านั้นเหมือนกับเขา คิดว่าบรรดาขุนนางที่โหดเหี้ยมของกรมอาญาจะแอบเข้ามาในสำนักฝึกหลวงในยามค่ำคืน พาเขาไปอยู่ในคุกหลวงที่มีขุนนางแกร่งกล้าผู้เพียงได้ยินชื่อก็เกรงกลัว หรือว่าผู้มีฝีมือของพระราชวังหลีใช้ความมืดยามราตรีคอยคุ้มกันเพื่อมาที่นี่ หลังจากนั้นสังหารคนวางเพลิงอย่างไร้ร่องรอย นำสำนักฝึกหลวงที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไม่ชื่นชอบแปรเปลี่ยนเป็นทะเลเพลิงที่น่าเกรงกลัว

แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่มิได้เกิดขึ้น

แสงรุ่งอรุณเหมือนกับเมื่อวาน ในตรอกไป๋ฮวามีควันจากปล่องไฟทำอาหาร มีเสียงระฆังดังจากพระราชวังที่อยู่ไม่ไกลออกไป

เฉินฉางเซิงลืมตาขึ้น เดินไปยังริมหน้าต่างจ้องมองไปยังทิวทัศน์ยามรุ่งเช้าของเมืองจิงตู มีบางอย่างไม่เข้าใจ หลังจากนั้นจึงเข้าใจ

เพราะว่าคำสั่งของเขาเมื่อคืนวาน จนกระทั่งเที่ยงตรงลั่วลั่วจึงมาถึงสำนักฝึกหลวงจากสวนร้อยหญ้า แน่นอนว่าไม่ลืมที่จะถือกล่องอาหารหนักอึ้งมาด้วย

เฉินฉางเซิงให้นางไปสืบถามข่าวคราว

อาหารเที่ยงยังรับประทานไม่แล้วเสร็จ กำแพงทางด้านนั้นก็มีเสียงขลุ่ยดังขึ้นมาหนึ่งเสียง ลั่วลั่วก้มศีรษะลง นิ่งเงียบฟังเพียงชั่วครู่

“ไม่มีผู้ใดพบอาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้า”

นางแหงนหน้าขึ้นมา มองเฉินฉางเซิงพลางเอ่ยว่า “รองเจ้าสำนักจวงรับหนังสือลาออก ดูแล้วคงจะเป็นการขอลาออกจากตำแหน่ง”

เฉินฉางเซิงเงียบนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใด มองท่าทางของเขา ลั่วลั่วก็เข้าใจอะไรบางอย่าง

หลังจากลาออกจากตำแหน่งก็ไม่มีร่องรอยข่าวคราวการกลับบ้านเกิดเพื่อปลดเกษียณอันทรงเกียรติ หรือว่าเข้าไปบำเพ็ญเพียรยังเทือกเขาลึก เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ ในระยะเวลาสั้นๆ ก็หมดหนทางที่จะสืบหา

ไม่ใช่การลาออกจากตำแหน่ง อาจจะเป็นการลาจากโลก

เมื่อคืนวานที่จวนของอาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้า มีแพรต่วนสีขาวเพิ่มมาหนึ่งอัน หรือว่าแม่น้ำลั่วยามรุ่งอรุณจะมีเถ้ากระดูกจมอยู่ในโคลนก้นแม่น้ำแล้ว

บุคคลผู้ยิ่งใหญ่ก็คงจะเสียชีวิตอย่างไร้ร่องรอยเช่นนี้

เฉินฉางเซิงรู้สึกเย็นยะเยือก มองดวงตาของลั่วลั่วแล้วรู้สึกสับสน

นี่คือแผนการ เป็นแผนการที่มุ่งเป้ามายังสำนักฝึกหลวง หรืออาจจะพูดได้ว่าเป็นการวางแผนร้าย

อาจารย์ผู้ดูแลสำนักเทียนเต้าให้เด็กแปลกประหลาดหอจงซื่อลงมือ ไม่ว่าสำนักฝึกหลวงจะโต้ตอบอย่างไร ล้วนแต่มีเรื่องราว…เพราะว่าเขาคือหลานชายของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ถ้าหากเขาชนะแล้ว สำนักฝึกหลวงจะต้องถูกตีย่อยยับ หากเขาพ่ายแพ้ สำนักฝึกหลวงก็จะต้องต้อนรับความโกรธแค้นจากในพระราชวัง

อย่างไรก็ตามไม่มีผู้ใดคาดคิด ผลสุดท้ายของแผนการร้ายนี้ กลับเป็นอาจารย์ผู้ดูแลสำนักเทียนเต้าที่รับความโกรธแค้นของพระราชวัง เปลี่ยนเป็นคนเสียชีวิตไปแล้ว หนุ่มสาวของสำนักฝึกหลวง กลับไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้นอย่างนั้นหรือ เพราะลั่วลั่วแข็งแกร่งยิ่งใหญ่ เพราะความเป็นมาของลั่วลั่วยิ่งทำให้แข็งแกร่งยิ่งใหญ่…สรุปแล้ว ลั่วลั่วแข็งแกร่งยิ่งใหญ่อย่างยิ่ง

เฉินฉางเซิงจ้องมองนาง ถอดทอนหายใจพลางเอ่ย “มองแล้ว เจ้ายอดเยี่ยมกว่าที่ข้าคิดไว้”

ลั่วลั่วรู้สึกเขินอาย กล่าวว่า “อาจารย์ ท่านถึงจะเป็นคนที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง”

เฉินฉางเซิงเกาศีรษะ พลางเอ่ย “พวกเราต่างก็ชมกันไปชมกันมา นี่เหมาะสมแล้วหรือ”

เฉินฉางเซิงคิดมาตลอด ชีวิตคนเราอยู่บนโลกมานานหลายร้อยปี กาลเวลาหมุนผ่านไปง่ายดาย พึงต้องเห็นคุณค่า ถ้าหากมีเพียงหลายสิบปี เช่นนั้นก็จะต้องทะนุถนอมเช่นนี้ ในเมื่อไม่มีสิ่งใด ก็จะต้องอ่านตำราฝึกบำเพ็ญเพียรต่อไป เวลาพลบค่ำมาเยือน เขากับลั่วลั่วถึงวางตำราลง รับประทานอาหารเย็นที่ส่งมาจากสวนร้อยหญ้าแล้วจึงเริ่มเดินเล่นอยู่ตามริมทะเลสาบในสำนักฝึกหลวง

การเดินเล่น มองแล้วก็เป็นการสิ้นเปลืองเวลาอย่างยิ่ง แต่เขามิได้สนใจ เพราะเขาชัดเจนยิ่งนักการทำเช่นนี้มีประโยชน์ต่อร่างกาย

ทั้งสองเดินมาถึงทะเลสาบ อยู่ใต้ต้นไทรย้อยที่มีลำต้นขนาดใหญ่ เฉินฉางเซิงพลันเกิดนิสัยบ้าระห่ำอย่างที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย เสนอให้ปีนขึ้นไปดูทิวทัศน์ ลั่วลั่วแต่ไหนแต่ไรมาเชื่อฟังและทำตามเขาตลอด ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่สนุกสนานเช่นนี้ มีเหตุผลใดที่จะไม่ทำตามเล่า

เพียงชั่วครู่ ทั้งสองปีนขึ้นไปอยู่กลางต้น ยืนอยู่บนกิ่งใหม่ที่ใหญ่แข็งแรงจึงมิได้กังวลว่าจะหักแตก ระยะห่างจากพื้นดินสิบกว่าจั้ง สายตาสามารถมองเห็นที่ที่ไกลออกไป สามารถมองเห็นตรอกทางเดินที่อยู่ไกลๆ ถึงขนาดมองเห็นเค้าโครงพระราชวังหลีรางๆ

พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า ทิวทัศน์ของเมืองจิงตูที่จริงแล้วก็ไม่เลวนัก

ตรอกไป๋ฮวาที่อยู่นอกกำแพงสำนักฝึกหลวง เพียงสายตามองออกไปก็เห็นภาพทั้งหมด สงบเงียบเหมือนเวลาปรกติ แต่เขากับลั่วลั่วต่างล่วงรู้ ตรอกไป๋ฮวากับเมื่อก่อนไม่เหมือนกัน ภายใต้เงามืดเหล่านั้น ภายใต้ชายคาริมบ่อน้ำ ไม่รู้ว่ามีสายตาที่เพ่งมองมาในกำแพงมีเท่าไหร่

“อาจารย์ ข้าขอโทษ”

ลั่วลั่วเอ่ยเสียงเบา นางรู้สึกเพราะตนเป็นสาเหตุ เฉินฉางเซิงถึงถูกลากเข้ามาในน้ำที่สกปรก นางรู้ว่าเขาทะนุถนอมเวลาอย่างยิ่ง ให้ความสำคัญกับชีวิตการฝึกบำเพ็ญเพียงอย่างเงียบสงบ ดังนั้นความรู้สึกเสียใจของนางมาจากส่วนลึกมาจากเนื้อแท้

“คนที่จะขอโทษควรจะเป็นข้า”

เฉินฉางเซิงกล่าวต่อ “ถ้าหากวันนั้นข้าไม่ได้เขียนชื่อเจ้าลงในสมุดรายชื่อ เจ้าก็มิใช่นักเรียนของสำนักฝึกหลวง จะพบเจอกับเรื่องยุ่งยากเหล่านี้ได้อย่างไรกัน ถึงแม้เจ้าไม่กลัวความยุ่งยากเหล่านี้ แต่ความยุ่งยากสุดท้ายก็คือความยุ่งยาก”

เวลามิได้หมุนผ่านตามความแน่วแน่ของผู้คน มิเช่นนั้นเวลาที่อยู่รอบตัวของเฉินฉางเซิงคงจะแข็งแกร่งราวกับก้อนหิน

ผ่านไปหลายวัน การชุมนุมไม้เลื้อยค่ำคืนที่สองก็มาถึง

มองบัตรเชิญที่อยู่บนพื้น เขารู้สึกแปลกประหลาดใจ ไม่ว่าจะเป็นคำพูดของสวีซื่อจีในค่ำคืนนั้นหรือว่าจะเป็นการเตือนจากอาจารย์ซิน กล่าวตามเหตุผล การชุมนุมไม้เลื้อยปีนี้คงจะไม่เหมือนกับปีที่ผ่านมา และยังหลังจากการต่อสู้นองโลหิตของคืนแรก เขาคิดว่าคืนที่สองคงจะต้องล่าช้าไปหลายวัน

ลั่วลั่วเอ่ยถาม “อาจารย์ พวกเราไม่เข้าร่วมจริงหรือ”

เฉินฉางเซิงส่ายศีรษะ กล่าวว่า “ไม่ไปแล้ว”

การชุมนุมไม้เลื้อยเป็นการรวมตัวการจัดกิจกรรมของบรรดาสำนักที่อยู่ในจิงตู ไม่ได้ส่งผลต่อการสอบใหญ่ปีหน้า เขาไปเข้าร่วมในค่ำคืนแรก สิ่งสำคัญเพื่อที่จะเข้าใจเกี่ยวกับกฎระเบียบการสอบใหญ่และก็คิดอยากจะไปเห็นสวีซื่อจีว่าแท้จริงแล้วเป็นคนอย่างไร ตอนนี้เป้าหมายทั้งสองได้บรรลุแล้ว เหตุใดจะต้องไปอีกเล่า

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชุมนุมไม้เลื้อยค่ำคืนที่สอง จะต้องมีคนจำนวนนับไม่ถ้วนเพ่งมองสำนักฝึกหลวง เพ่งมองเขากับลั่วลั่ว เขาไม่คุ้นเคยกับความรู้สึกเช่นนี้

ลั่วลั่วคิดไม่ถึงว่าเขาบอกว่าไม่ไปก็ไม่ไปจริงๆ มีบางอย่างไม่เข้าใจและรู้สึกเสียใจ กล่าวว่า “ถ้าหากไป อาจจะสามารถชิงลำดับที่ดีได้จริงๆ”

การชุมนุมไม้เลื้อยเหลือการสอบเขียนและการทดสอบยุทธ์ มีการจัดอันดับตามกฎระเบียบของการสอบใหญ่ที่เป็นเอกฉันท์ ทั้งยังไม่จบลงเหมือนกับการประลองที่วุ่นวายในคืนแรกนั่นอย่างแน่นอน ถ้าหากลั่วลั่วเข้าร่วมการทดสอบยุทธ์ต่อ เฉินฉางเซิงเข้าร่วมการสอบความรู้ อาจจะทำให้สำนักฝึกหลวงมีเกียรติยศเปล่งประกายอีกครั้ง

เฉินฉางเซิง กล่าว “มิได้มีความหมายมาก”

ลั่วลั่วมองเขาอย่างชื่นชม พลางเอ่ย “อาจารย์มองชื่อเสียงดุจเมฆที่ล่องลอยอยู่บนอากาศ ทำให้เลื่อมใสจริงๆ”

เฉินฉางเซิงกล่าวอย่างสัตย์จริง “สิ่งสำคัญก็คือเกรงว่าจะยุ่งยากต่างหาก”

การชุมนุมไม้เลื้อยค่ำคืนที่สอง สำนักเทียนเต้าคงจะคึกคักไม่ธรรมดา สำนักฝึกหลวงยังคงเงียบเชียบเหมือนเวลาปกติ ตรอกไป๋ฮวาด้านนอกสำนักในที่สุดก็ได้รับความสงบเงียบอย่างแท้จริง ผู้คนที่เพ่งมองสำนักฝึกหลวงมาหลายวัน ล้วนจากไปเนื่องจากการชุมนุมไม้เลื้อย

ทุกคืนหลังจากอาหารเย็น ก็จะเดินเล่นตามแนวทะเลสาบ แสงระยิบระยับของทะเลสาบและเงาของต้นไม้ถึงแม้จะงดงาม แต่เมื่อมองเห็นหลายต่อหลายครั้งก็ก่อเกิดความเบื่อหน่ายได้ง่าย ต่อให้ปีนป่ายต้นไทรย้อยที่สูงใหญ่หลายต่อหลายครั้ง ก็ไม่ได้มีความหมายมากมาย พบเห็นผู้คนที่ขวางหูขวางตาในตรอกไป๋ฮวาน้อยลงไปมาก ลั่วลั่วจะยินยอมพลาดโอกาสนี้ไปได้อย่างไร พยายามทำกระเง้ากระงอดน่ารักอย่างยิ่ง ในที่สุดจึงพาเฉินฉางเซิงลากออกมาจากพื้นหอตำราได้ ทั้งสองเดินออกมาจากประตูที่เต็มไปด้วยไม้เลื้อย เดินออกไปยังตรอกไป๋ฮวาเพื่อเดินท่องเที่ยว

ห่างจากตรอกไป๋ฮวาไม่ไกล ก็คือตลาดกลางคืนที่มีชื่อเสียงในตรอกหว่าน่ง ภายใต้การปกครองของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ จิงตูสงบสุขมาเป็นระยะเวลายาวนาน บ้านเมืองและประชากรเจริญรุ่งเรืองอุดมสมบูรณ์ เป็นธรรมดาที่ตลาดกลางคืนจะคึกคักไม่ธรรมดา ผู้คนที่เดินตามทางเดินเบียดเสียดแออัด บนแผงขายของมีอาหารหลายแบบหลายสี กลิ่นหอมแตะจมูก เป็นสิ่งที่ดึงดูดใจผู้คนอย่างยิ่ง

เฉินฉางเซิงซื้อพุทราเคลือบน้ำตาลให้ลั่วลั่วหนึ่งไม้ ลั่วลั่วรู้สึกแปลกใจ หลังจากนั้นจึงรับมาด้วยความดีใจ ไม่มีความเกรงใจแต่อย่างใด กตัญญูต่ออาจารย์มองสิ่งของกับอาหารสามมื้อเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล อาจารย์ซื้อขนมให้ตนก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลเช่นเดียวกัน

นางถือพุทราเคลือบน้ำตาลเคี้ยวอย่างระมัดระวัง เป็นกังวลหากไม่ระมัดระวังเพียงแค่เคี้ยวทีเดียวจึงเหลือเพียงแค่แท่งไม้ ทำให้อาจารย์ตกตะลึง

รูปร่างเล็กๆ น่ารักอย่างยิ่ง

เดินไปถึงแผงขายหอยกาบทอดแป้ง นางจ้องมองหอยกาบในแป้งที่ยังขยับด้วยความแปลกใจ กำลังเตรียมที่จะถามเฉินฉางเซิงว่าสามารถทานได้หรือไม่ พลันมองไปเห็นด้านหลังแผงขายของ มีรูปร่างที่สูงใหญ่คนหนึ่งกำลังนั่งยองๆ ล้างจานอยู่ด้านข้างกำแพง หัวคิ้วของนางจึงขมวดเข้าหากัน

รูปร่างเล็กๆ เคร่งขรึมอย่างยิ่ง

แน่นอนว่ายังคงน่ารักอย่างยิ่ง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset