คำพูดของซองจูที่ฟังดูมีเหตุมีผลอย่างมาก ทำเอาเส้นเลือดบนหน้าผากของซองฮีปูดนูนขึ้นมา แต่ว่ามันก็ไม่ใช่คำพูดที่ผิดตรงไหน ดังนั้นจึงไม่อาจโต้แย้ง สุดท้ายซองฮีก็แสดงท่าทางโมโหพร้อมกับพูดเสียงดัง
“ตอนซ้อมดนตรีก็ไปใช้ห้องซ้อมของเราอยู่แล้วเหอะ”
“เรื่องนั้นรู้อยู่แล้วหรอก แล้วเมื่อไหร่จะซ้อมดนตรีที่ว่าล่ะ”
“ก็ต้องเรียบเรียงเพลงให้เสร็จก่อนสิ! แค่นี้ก็ไม่รู้ ยังจะมีหน้ามาพูดขัดอีก”
ซองฮุนที่มองดูซองฮีตอบโต้กลับไปพร้อมกับหอบหายใจนั้น ได้แต่บ่นออกมาเสียงเบา
“ไม่ใช่เด็กๆ กันสักหน่อย สองคนนั้นน่ะ ทำไมเจอกันทีไรเป็นต้องทำตัวเป็นเด็กแบบนั้นก็ไม่รู้”
“ก็ตอนนั้นไม่ได้ทะเลาะกันไง ก็เลยมาทะเลาะกันตอนนี้ ปกติพวกเด็กๆ ก็ต้องทะเลาะกันซะบ้าง ถึงจะรู้จักโตละนะ”
“หมดคำจะพูด”
ซองฮุนเค้นเสียงเฮอะออกมา ก่อนจะตรงไปนั่งที่โต๊ะซึ่งเอาไว้ใช้สำหรับประชุม ในตอนที่พวกเขาเตรียมการสำหรับการประชุม ซองฮีก็ยกมือขึ้นกดนวดศีรษะที่ปวดตุบๆ พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าลึก
‘ถึงยังไง ตอนเด็กๆ ก็เหมือนจะเป็นเพื่อนเล่นที่ดีต่อกันนะ’
มองท่าทางเช่นนั้นของซองฮีแล้ว ซองจูก็พลันนึกถึงเรื่องตอนเด็กๆ ขึ้นมา
เมื่อลองคิดดู ซองฮีนั้นเป็นน้องชายที่น่ารักมากจริงๆ
ถึงตอนนี้จะโตมาดูดุดันแบบนั้น กลายเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่มีกลิ่นอายของความน่ารักหลงเหลืออยู่ แต่ว่าซองอีตอนยังเด็ก ตัวเล็กแล้วก็น่ารักมากๆ เส้นผมดำสนิทที่ติดจะยุ่งเหยิงสักเล็กน้อย แล้วก็ท่าทางที่คอยเรียกพี่แบบนั้น มันน่ารักเอามากๆ ซองจูถึงกับดวงตาเป็นประกายออกมา
“เมื่อก่อนน่ารักจริงๆ เลยนะ”
คำพูดนั้นทำให้มือของซองฮีที่หยิบโน้ตเพลงออกมาจากกระเป๋าถึงกับชะงักไป
“ว่าไงนะ”
“นายไง บอกว่าตอนเด็กๆ น่ะนายน่ารักมากเลยนะ หัวกระเซอะกระเซิง คอยตามตูดฉันต้อยๆ ทุกวัน แล้วก็เรียกพี่ พี่ แบบนั้นน่ะ”
“ประสาทกลับแล้วสินะ”
ทั้งที่ด่ากลับอย่างเปิดเผยแบบนั้นแล้ว ซองจูก็ยังไม่หยุดพูด
“ตอนไหนนะ ตอนที่นายกับฉันเล่นเป็นหมอกับคนไข้ไง…”
“อ้อ วันที่เกือบเป็นฆาตรกรฆ่าคนน่ะเหรอ”
คำพูดของซองฮีทำให้บรรยากาศโดยรอบเงียบสนิทอีกครั้ง
“ฆาตรกรฆ่าคนเหรอ เกินไปมั้ง”
“อายุแค่ห้าขวบ แต่ถูกเอาสำลียัดจมูกเป็นสิบๆ อันเพราะจะได้สมบทบาทคนไข้นั่นน่ะ นั่นไม่เรียกว่าฆาตรกรฆ่าคนแล้วคืออะไรล่ะ”
“โธ่ ก็ยังเด็กอยู่นี่ จะไปรู้เรื่องอะไรกันล่ะ ฉันน่ะเห็นว่านายออกจะน่ารักเหอะ”
“ความน่ารักเป็นเป้าหมายของฆาตรกรงั้นสิ เหอะ! ไม่ยักกะรู้”
ซองฮียังคงเอาแต่คอยขัดคำพูดของซองจูพร้อมกับท่าทางไม่พอใจ
ถึงอย่างนั้นริมฝีปากที่ประดับด้วยรอยยิ้มของซองจูก็ยังไม่เลือนหายไปแม้สักนิด
“ยังไงซะ นายก็น่ารักนั่นแหละ ตอนนี้ก็ยังมีมุมอ่อนโยนไม่ต่างจากนั้นอยู่นี่”
“นี่! เพราะมีปากนายก็เลยคิดจะพูดอะไรตามใจชอบก็ได้งั้นเหรอ”
ซองจูที่มองท่าทางพูดไปหอบไปของซองฮีก็ถึงกับยกยิ้มออกมา
“ตอนนี้ก็ยังเป็นนะ นายยังพอมีท่าทางแบบตอนเด็กอยู่สินะ รูปร่างก็พอดูได้ ถึงนิสัยดูจะเกินรับได้ไปสักหน่อย”
“เวรเอ๊ย นี่มันไม่ใช่เรื่องที่จะพูดไหม…”
ซองฮีบ่นพึมพำออกมาด้วยสีหน้าไม่คาดคิด แต่ทว่าซองจูก็ยังไม่คิดที่จะปิดปากตัวเองลงง่ายๆ เจ้าตัวหาวออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มพูดต่อ
“ที่จริงแล้วตอนเด็กๆ ฉันน่ะไม่ค่อยชอบนายหรอกนะ เคยเป็นเด็กดีมากๆ แต่เพราะนายเกิดมา ทั้งครอบครัวก็เอาแต่ไปคอยสนใจนาย หากเป็นตอนนี้ก็คงไม่คิดจะใส่ใจแล้วปล่อยให้ผ่านไป แต่ว่ายังเป็นเด็กน่ะสิ พอถูกแย่งความสนใจไปจนหมด ก็เลยยิ่งไม่ชอบใจเข้าไปใหญ่”
ซองจูกล่าวออกมาเช่นนั้น แล้วหาวออกมาอีกครั้ง ร่างกายที่อ่อนเพลียมาหลายวันแล้ว ยิ่งรวมกับการร่วมรักเมื่อคืนที่ผ่านมาดูเหมือนจะไม่เป็นผลดีสักเท่าไหร่
“เพราะงั้นพูดตามตรงแล้ว ก็เลยคอยแกล้งอยู่บ้าง แต่ว่าตอนที่เรียกพี่ๆ แล้วก็วิ่งตามหลังมาต้อยๆ แบบนั้น มันดูน่ารักยังไงไม่รู้สิ รู้สึกดีนะ ที่มีเด็กที่หน้าตาต่างกับฉันสุดๆ มาคอยตาม เหมือนกับว่าตัวเองมีลูกสมุนเลย เพราะไม่มีเพื่อนเล่นเวลาออกไปข้างนอก นายก็เลยเหมือนเป็นเพื่อนเล่นคนนึงเลย”
“เพื่อนคงชอบหรอก นายรังแกเพื่อนเหรอ โรคจิตหรือไง”
“ยังไงก็ชอบแหละนะ กลิ่นแป้งเด็กแบบที่ตัวฉันไม่มี เวลานอนแล้วกอดกันก็นุ่มนิ่มด้วย”
ซองจูไม่ใส่ใจคำโต้แย้งของซองฮีตั้งแต่ต้น พอเห็นแบบนี้แล้ว คำพูดของซองฮีก็ไม่ผิดเลย เปลี่ยนไปมากจริงๆ แต่ว่าถึงอย่างไรเนื้อแท้ก็ไม่ได้เปลี่ยนไป คนที่อยู่ในห้องทำงานมาตั้งแต่เมื่อครู่กำลังมองการทะเลาะกันของสองพี่น้องด้วยสายตาลำบากใจ
“คิดว่าตัวเองไม่มีกลิ่นแป้งหรือไง เด็กที่ไหนก็เหมือนกันหมดนั่นแหละ อายุห่างกันแค่สองปี พูดซะอย่างกับโตกว่าหนักหนา ประสาท”
เมื่อได้ยินคำพูดเหน็บแนมอย่างรุนแรงของซองฮี ซองจูก็หาวออกมาอีกครั้ง เปลือกตาที่ปิดลงก่อนหน้านี้เริ่มหนักอึ้นขึ้นทุกที
“แต่ว่านะ ก็เป็นเด็กที่โตเกินวัย…ทั้งดูดีแบบนั้น แต่ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ทิ้งฉันแล้วก็เกลียดกันน่ะ ถึงจะเศร้าอยู่บ้าง แต่ว่าฉันเองก็ไม่ได้ดูดีขนาดนั้น มันก็ช่วยไม่ได้…”
ซองฮีมีสีหน้าเก้อเขินเมื่อได้ยินคำพูดนั้นของพี่ชาย
ถึงจะห่างกันเพียงแค่สองปีเท่านั้น แต่ว่าไม่เคยรู้เลยว่ารู้สึกอะไรแบบนั้นด้วย พอคิดดูแล้ว ซองจูนั้นโตเกินวัย รู้จักนึกคิดก่อนเด็กคนอื่นๆ แล้วก็ใช้ชีวิตวัยรุ่นโดยที่เชื่อฟังคำของพ่อแม่เท่านั้น มันก็แค่มารยา ถึงจะรู้ว่าเป็นแค่เรื่องโกหก แต่ว่าภายในนั้นก็มีเรื่องราวที่ซองจูต้องอดทนและสิ่งที่ต้องเสียสละ ถึงตอนนี้จะไม่รับรู้ก็ตาม
หากตัวเขาโตกว่านั้นอีกสักหน่อย แล้วก็หากเป็นเพื่อนเล่นของซองจูที่ใช้ชีวิตภายใต้หน้ากากอย่างโดดเดี่ยวนั่น ท่าทางของอีกคนในตอนนี้จะต่างไปหรือไม่ จู่ๆ ก็เกิดมีความคิดนั้นผุดขึ้นมา
“ยังไงซะ บางครั้งแกล้งทำเป็นเหมือนว่าสนิทกันบ้างก็ดีนะ เอาแต่ตะโกนใส่ทุกวัน…”
ศีรษะของซองจูที่พูดออกมาแบบนั้นค่อยๆ โน้มลงไป จองอูที่นั่งอยู่ข้างๆ รีบเข้ามารับเอาไว้ แล้ววางลงบนไหล่ของตัวเอง ซองฮีได้แต่มองภาพนั้นด้วยความสงสัย
พี่ชายที่เขาจำได้นั้น ไม่เคยต้องการพึ่งพาใครเลย
“มาพูดก่อกวนคนอื่นเอาไว้แบบนั้น แล้วก็มาหลับแบบนี้เหรอ ถ้าจะนอนไม่ขึ้นไปนอนข้างบนสบายๆ จะมานอนตรงนี้ทำไมกัน”
น้ำเสียงที่ลงท้ายอย่างเหน็บแนมนั้นกลับเต็มไปด้วยความห่วงใย สายตาของเพื่อนทั้งสองคนที่มองซองฮีเอ่ยคำพูดย้อนแย้งแบบนั้นออกมา เต็มไปด้วยความเอือมระอา
“ปล่อยไปเถอะครับ บอกให้ขึ้นไปแล้ว ก็ยังว่าที่นี่สบายไม่รู้จะทำยังไงแล้วครับ”
“เพราะนายตามใจแบบนั้นไง ก็เลยทำแบบนั้นทุกครั้ง ดูแล้วเหมือนจะไม่ค่อยปกติสักเท่าไหร่นี่”
“ช่วงนี้บอกว่าปวดเนื้อปวดตัวน่ะครับ ก็เลยเอาแต่อยู่บนห้อง ดูแล้วคงจะยังไม่หายดี เดี๋ยวคงได้อยู่แต่ในห้องไปอีกหลายวัน ช่วยไม่ได้นะ”
“นายเองก็เหนื่อยน่าดู อย่างกับคอยเลี้ยงเด็กโข่งอย่างนั้นแหละ”
ท่าทางของซองฮีที่ส่ายหน้าไปมานั้นทำให้จองอูยกยิ้มออกมา
“งั้นตอนนี้ก็คืนดีกัน แล้วก็กลับมาสนิทกันได้แล้วใช่ไหมครับ ให้ผมดูแลคนเดียวมันก็ออกจะเกินกำลังอยู่บ้างนะครับ”
“คืนดีอะไร ไม่เคยทะเลาะกัน แล้วมีเหตุผลอะไรให้คืนดี”
“พอเถอะครับ แค่ดูก็รู้แล้วว่าเป็นพี่น้องกันจริงๆ เจ้าตัวเองก็คงจะตอบว่าคืนดีกันอยู่แล้ว ช่วยเลิกทำตัวเป็นเด็กเถอะครับ”
คำพูดที่ระเบิดออกมาอย่างไม่คาดคิด เสียงของเพื่อนทั้งสองก็ดังมาให้ซองฮีได้เกร็ง
“จองอูพูดถูก พวกเราต้องมานั่งดูพวกนายสองพี่น้องทะเลาะกันไปถึงเมื่อไร นี่มันก็เกินสิบปีแล้วนะ”
“ใช้โอกาสนี้คืนดีกันซะก็จบ ไม่งั้นก็ไปเคลียร์กันเองสองคน”
ซองฮีที่โมโหขึ้นมาด้วยคำพูดยั่วยุของคนอื่นๆ ได้แต่พยายามกดมันเอาไว้ ไม่ใช่แค่คำพูดนั้นมันถูกต้องแล้ว แต่เพราะเพื่อนๆ รู้ดีกว่าใครว่าพวกเขาพี่น้องจะทะเลาะกันไปเรื่อยจนหลังค่อม
“แล้วจะให้เราทำไงได้”
น้ำเสียงแข็งกระด้างนั้นชวนให้อยากจะหัวเราะออกมา ซองฮีบ่นพึมพำออกมา แล้วจึงหันไปโมโหใส่จองอูแทน
“นี่ นายคิดจะอยู่แบบนั้นไปตลอดหรือไง ไม่ประชุม?”
“นั่นต้องทำอยู่แล้ว…คนเดียวผมยกไม่ได้หรอกครับ พี่ช่วยหน่อยได้ไหมครับ”
จองอูกล่าวออกมาเช่นนั้นพร้อมกับสีหน้ายุ่งยากใจ ซองจูที่พิงอยู่กับไหล่ของจองอูเกาะแขนอีกคนเอาไว้ ท่าทางที่จับมือเอาไว้ทั้งที่ยังกอดอกอยู่นั้น ทำให้ได้แต่ถอนหายใจออกมา
“แล้วจะแกะออกยังไง”
“ค่อยกล่อมให้ปล่อยมือออก”
พูดออกมาแบบนั้น แล้วจองอูก็ใช้มืออีกข้างค่อยๆ แกะนิ้วมือของซองจูออกทีละนิ้ว ไม่ได้จับไว้แน่นอย่างที่คิด ยอมคลายมือออกตามการสัมผัสจากจองอู จนมือนั่นตกลงบนต้นขา แล้วจองอูก็ค่อยๆ ขยับแขนออกอย่างระมัดระวัง คลายออกจากร่างกายของซองจูอย่างช้าๆ จองอูมองไปทางซองฮีอย่างขอร้อง
“ช่วยยอุ้มเจ้าตัวไปนอนบนโซฟาหน่อยนะครับ แขนผมเป็นเหน็บน่ะ…”
เห็นจองอูยกยิ้มละล้าละลังแล้ว ซองฮีก็พรูลมหายใจออกมา ก่อนยกตัวซองจูขึ้นอุ้ม
“เบากว่าที่คิดซะอีก”
เจ้าตัวพึมพำออกมาเสียงเบา
เทียบกับตัวเขาหรือจองอูก็ถือว่าเตี้ย แต่ก็สูงเกินร้อยแปดสิบซม.นะ ทว่าร่างกายของซองจูกลับเบากว่าที่คาด ถึงจะเคยป่วยหนักมา แต่นั่นก็ผ่านมาเป็นปีแล้ว หลังจากนั้นก็เริ่มดูแลร่างกายตัวเองอีกครั้ง ถึงได้มีรูปร่างที่ดูดีอย่างตอนนี้ แต่ว่าเบาขนาดนี้เลยเหรอ หากพออายุมากขึ้นก็เริ่มต่างกันตั้งแต่เรื่องน้ำหนัก แต่พอลองคิดถึงเรื่องนั้นแล้ว กลับรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา ซองฮีค่อยๆ วางร่างของพี่ชายตัวเองลงบนโซฟา
“ทั้งที่ก็ออกกำลังอยู่ตลอด แต่ทำไมดูอ่อนแอแบบนี้ได้ล่ะ”
พึมพำออกมาพร้อมกับขยับตัวลุกขึ้น ในตอนนั้นปลายนิ้วก็สัมผัสถูกกัน ส่วนปลายนิ้วที่สัมผัสกัน ให้ความรู้สึกถึงความอบอุ่น ซองฮีจึงทำหน้าแปลกใจ เขาคิดว่าตัวของพี่ชายจะเย็นอยู่ตลอด แต่มันกลับอุ่นกว่าที่คิด
“เพราะภูมิคุ้มกันอ่อนแอน่ะสิ ตอนเด็กๆ พี่เขาเลือกกินไม่ใช่เหรอ เพราะแบบนั้นพอโตมาก็เลยไม่แข็งแรงแบบนี้”
คำพูดของเซจุนที่ตอบรับคำบ่นของซองฮีอย่างไม่คิดอะไร ทำให้ซองฮีขมวดคิ้วมุ่น
“ก็เหมือนจะเป็นแบบนั้น”
“ยังไงซะนายเองก็ดูจะห่วงพี่ชายตัวเองอยู่นะ เจ้าคนย้อนแย้งเอ๊ย”
จ้องเขม็งพร้อมกับจิ๊ปากไม่พอใจให้เซจุน ก่อนซองฮีจะหันหลับไปมองทางโซฟาอีกครั้ง และได้สบสายตากับจองอูที่ยังคงนั่งอยู่ปลายโซฟา สายตาของอีกคนที่มองมายังซองจูที่นอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่บนโซฟา มันเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก
“อื้อ…”
ซองจูที่ยับพลิกตัวเพราะนอนไม่สบาย ควานมือไปรอบๆ เพื่อหามือของจองอูที่อยู่ใกล้ๆ ก่อนจะคว้ามาจับไว้อย่างรวดเร็ว แล้วยกยิ้มพึงพอใจออกมา รอยยิ้มอ่อนโยนของพี่ชายที่ไม่เคยเห็นมันมาก่อนเลยนั้นทำให้ซองฮีที่รู้สึกอึดอัดใจได้ผ่อนคลายลงชั่วขณะ
‘แค่นั้นก็คงพอแล้วสินะ’
เจ้าตัวคิดเช่นนั้นก่อนจะค่อยๆ หันหลังให้กับโซฟา
รอยยิ้มของซองจูที่ไม่เคยเห็นมันเลยสักครั้ง ด้วยสิ่งนั้นมันทำให้เกิดความเชื่อมั่นว่าทุกอย่างจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี สีหน้าของซองฮีที่เดินไปทางโต๊ะประชุมที่เพื่อนๆ นั่งคอยอยู่ เริ่มมีรอยยิ้มสดใสปรากฏออกมาโดยไม่รู้ตัว
– จบบริบูรณ์ –