เซจุนลากอีกสองคนออกจากประตูห้องทำงานไป เสียงปิดประตูใหญ่ดังขึ้น พร้อมกับเสียงล็อกประตูอัตโนมัติดังขึ้นตามมา ซองจูก็ผ่อนคลายลงทันที
“อ้า สติฉัน…”
เสียงบ่นแผ่วเบาที่ดังขึ้นพร้อมกับศีรษะที่โน้มพิงลงมาพาดบนไหล่ของจองอู จองอูขยับจัดท่าทางให้ซองจูรู้สึกสบาย ก่อนจะเอ่ยถามออกมา
“ขึ้นไปข้างบนไหม”
ซองจูส่ายหน้าเล็กน้อยให้กับคำพูดนั้น
“ไม่เอา เพราะเจ้าพวกนั้น นายก็เลยยังทำงานที่ต้องทำไม่เสร็จไม่ใช่เหรอ”
“ทำพรุ่งนี้ก็ได้”
“พรุ่งนี้เจ้าพวกนั้นก็ต้องเข้ามาจัดเตรียมเรื่องการแสดงนั่นอีก แบบนั้นจะไม่ยิ่งวุ่นวายเข้าไปใหญ่หรือไง ช่างเถอะ”
ซองจูกล่าวออกมาเช่นนั้น ก่อนจะเบะปากออกมา
เขารู้ว่านี่คืองานของจองอู เทียบกับเขาแล้วที่พอจบผลงานเรื่องหนึ่งก็จะได้หยุดพัก เขารู้ดีอยู่แล้วว่างานของจองอูนั้นคาดเดาอะไรไม่ได้ เพราะแบบนั้นถึงทำได้แค่คอยตัวติดกับอีกฝ่ายแบบนี้ แล้วก็ใช้เวลาร่วมกันไป ถึงบางครั้งมันจะเกินไปบ้างก็เถอะ
ถึงเขาจะบอกตัวเองว่าต้องเข้าใจว่ามันเป็นงานของอีกคน แต่ด้วยความที่ซองจูไม่เคยเข้าใจเกี่ยวกับงานสายดนตรีเลย ทำให้บางครั้งก็เกิดรู้สึกว่าเราดูเข้ากันไม่ได้ ดังนั้นจึงได้ลองเรียนดนตรีที่เป็นสิ่งที่ไม่ถนัดเลย แล้วก็ลองฟังเพลงของจองอูด้วย การได้มองอีกคนกำลังเอ่ยอะไรบางอย่างอยู่ในที่ไกลๆ แบบนั้น บางครั้งก็ทำให้นึกถึงน้องชายตัวเองขึ้นมา
เวลาที่จองอูอยู่ใกล้ชิดกับดนตรี มันเหมือนได้เห็นเงาของน้องชายตัวเองได้อย่างชัดเจน ในโลกคับแคบของจองอู สิ่งที่มีผลอย่างมากก็ไม่พ้นซองฮีกับพวกเพื่อน นั่นยิ่งทำให้เขาคิดมากไปอีก เพราะแบบนั้น การบอกว่าซองจูคุ้นเคยกับเรื่องดนตรีนั้นยังถือว่าห่างไกลอยู่มาก
ซองจูวางเบสที่ถือไว้ในมือลงบนพื้น แล้วใช้มือหมุนส่วนเฮดของเบส สีหน้าของจองอูที่มองดูเบสที่หมุนเป็นวงช้าๆ ตามการขยับมือของอีกคน ราวกับเป็นลูกข่างแบบนั้นเริ่มเคร่งเครียดขึ้นมา แต่ซองจูไม่ได้รับรู้เลย ถ้ารู้ว่าไอ้นั่นมันราคาเท่าไรคงจะไม่ทำแบบนั้นหรอกมั้ง แต่หากบอกราคาให้ได้รู้ คงถามกลับว่าของเก่าๆ แบบนี้ราคาขนาดนั้นเลยเหรอ หรือไม่ก็คงโอ้อวดด้วยการบอกว่าจะซื้ออันที่ดีกว่าให้แน่ๆ จองอูจึงได้ปิดปากเงียบ
“คีย์บอร์ดก็เล่นยากนะ แต่พวกเครื่องดีดนี่ดูยากยิ่งกว่าอีก”
ซองจูกล่าวออกมา พร้อมกับชะงักมือที่หมุนเบสนั้นลง
“พวกคีย์บอร์ดก็แค่กดลงไป แล้วเสียงก็จะออกมาตามที่กด แต่ว่าไอ้นี่ต้องใช้ทั้งสองมือกดลงไป แค่นั้นก็เกินกำลังแล้ว”
“กีต้าร์เองก็แค่กดลงไป แล้วจะเกิดเสียงออกมาตามที่กดนะ เปียโนเองก็ต้องใช้สองมือนี่”
“เอ๊ะ นายนี่ ก็นั่นแหละ! ยังไงมันก็ต่างกัน ไม่เข้าใจที่ฉันพูดหรือไง”
“ก็นะ เหมือนจะเข้าใจอยู่…”
จองอูเพียงพยักหน้ารับกับคำพูดของซองจู พอได้เห็นท่าทางแบบนั้น เหมือนข้างในจะระเบิดออกมา ซองจูจึงถือเบสขึ้นมาแล้วจัดท่าทาง
“เล่นไปเรื่อยๆ แล้ว ก็ไม่เห็นจะเข้าใจ แปลกดี”
เจ้าตัวกล่าวออกมาแบบนั้น ก่อนจะขยับจัดท่าตามที่จองอูสอน ก่อนจะเริ่มดีดสาย ไม่ใช่ว่าฝึกฝนอยู่บ่อยๆ ทำแบบนี้ก็แค่ตอนที่พอใจจึงไม่มีอะไรที่ดีขึ้น จองอูมองท่าทางเก้ๆ กังๆ ของอีกคน ก่อนจะขยับเข้าไปยืนตรงด้านหลังของอีกคน
“ไม่ใช่แบบนั้น ต้องแบบนี้”
เจ้าตัวพูดออกมาแบบนั้น ก่อนจะขยับเข้ามาใกล้ด้านหลังของซองจู ท่าทางนั่นดูราวกับเขาถูกกอดจากด้านหลังไม่มีผิด
“ใช้นิ้วหัวแม่มือดีดขึ้นแล้วก็ดีดลงเป็นมุมสี่สิบห้าองศาแบบนี้ เวลาดีดลงไปที่สาย ให้ดีดวนเป็นวงกลมเหมือนการเดิน”
เอื้อมมาจับที่มือข้างซ้ายของซองจูแล้วจัดท่าทางที่ถูกต้องให้ ซองจูพยักหน้ารับพร้อมกับพยายามทำตามนั้น
“แบบนี้เหรอ”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่แบบนั้น ให้มันหมุนเป็นวงหน่อย อย่าให้มันดัง แต็ง ต้องให้มันดัง ตึง ออกมา”
“โธ่เว้ย ไม่เห็นได้เลย”
ถึงจะบ่นออกมาแบบนั้น หากซองจูก็พยายามทำตามที่สอน ลองขยับนิ้วอยู่อย่างนั้น
“นี่ นี่ แบบนี้เหรอ แบบนี้ได้ยัง”
“…แทนที่จะใช้นิ้วดีด ฉันสอนแบบใช้ปิ๊กให้ดีไหม”
“มันคืออะไรเหรอ”
“ปิ๊กไง แผ่นพลาสติกบางๆ ที่เอาไว้ใช้ดีดสายน่ะ”
“หา อะไรกัน แบบนั้นมันดูยากกว่าไม่ใช่เหรอ ช่างเถอะ ฉันจะเล่นแบบนี้แหละ”
จองอูที่มองดูซองจูบ่นพึมพำด้วยความหงุดหงิด เพราะทักษะที่ดูจะไม่เพิ่มขึ้นเลยสักนิดนั่น ได้แต่ถอยหายใจอยู่ข้างใน ซองจูที่เล่นเปียโนออกมาได้เก่งขนาดนั้น กับการเล่นเบส มันกลับไม่มีความคืบหน้าเลยสักนิด คิดว่าจะสอนวิธีการเล่นดนตรีแบบอื่นให้ ก็ไม่รู้ว่าจะลืมมันไปตอนไหน แต่พอทำท่าสอนแบบจริงจัง ก็ยิ่งไม่พอใจเข้าไปอีก อย่างไรเสียการสู้รบกับฮันซองจูก็มักจะมีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มาให้ได้ปวดหัวอยู่ตลอด
“นี่ คิดอะไรอยู่”
เมื่อรับรู้ได้ถึงความรู้สึกแบบนั้นของจองอู ซองจูก็เหลือบไปมองทางจองอู มือที่พยายามเล่นให้ได้เมื่อครู่นั้นหยุดชะงักลงนานแล้ว จองอูมองไปที่ซองจู ก่อนจะหลุดขำออกมา
“ไม่ได้คิดอะไรเลย”
“โกหกชัดๆ นายกำลังคิดว่าฉันไม่ได้เรื่องใช่ไหมล่ะ”
“เปล่า”
“พูดแบบนี้ ใช่แน่ๆ”
ซองจูเค้นเสียงเฮอะออกมา ก่อนจะลุกจากที่นั่ง
เอาเบสที่ถืออยู่ในมือกลับไปวางไว้ที่แท่นตามเดิม แล้วก้าวฉับๆ ไปยังโซฟา จองอูเฝ้ามองท่าทางแบบนั้นอย่างประหลาดใจ ซองจูทิ้งจองอูไว้ที่โต๊ะประชุม แล้วหนีไปนั่งที่โซฟา
“นี่”
“หืม”
จองอูลุกจากที่นั่งตามซองจู ระหว่างที่เดินเข้าไปใกล้เขาก็สังเกตสีหน้าที่ดูเหม่อลอยของอีกคน เสียงแผ่วเบาของซองจูดังมาให้จองอูได้ยิน
“นี่ คนอื่นฉันไม่สนหรอก แต่นายห้ามทำแบบนั้นกับฉัน อย่าดูถูกว่าฉันทำไม่ได้แบบนั้น”
“ไม่เคยทำแบบนั้นสักหน่อย”
“…รู้แล้ว ก็แค่พูดเผื่อไว้ในอนาคตเหอะ”
จองอูขยับเข้าไปใกล้ซองจูอย่างช้าๆ
ใบหน้าของซองจูที่นั่งอยู่ใต้หลอดไฟแบบนั้น ทำให้เกิดเป็นเงาสีเข้มพาดผ่าน ความมืดที่ปกคลุมไปเกือบครึ่งของใบหน้าขาวใสนั่นให้ความคุ้นเคยอย่างประหลาด จองอูกระพริบตาซ้ำๆ ก่อนจะนั่งลงข้างๆ กัน
ใบหน้าของซองจูที่โน้มเข้าหาอ้อมกอดของเขานั้นทำให้จองอูรู้สึกหดหู่ไม่น้อย
หลังจากที่เริ่มเตรียมการสำหรับการแสดงคอนเสิร์ต ซองจูก็มักจะโผล่เข้ามาในห้องทำงานนี้เป็นประจำ ตอนนี้บรรดาสมาชิกวงคราฟท์ต่างก็เคยชินกับการมีตัวตนอยู่ของเจ้าตัว จึงไม่มีการทำสีหน้าประหลาดและคอยจับตามองเรื่องของซองจูอีกแล้ว แน่นอนว่าซองจูก็ทำท่าทางว่าห้องทำงานของจองอูนั้น เป็นของตัวเองมาตั้งนานแล้ว จึงไม่มีอะไรให้สนใจอีก
“เดี๋ยวก่อน ตรงนี้เพิ่มจังหวะให้หนักขึ้นอีกหน่อยเป็นไง ทั้งสองเพลงก็เพิ่มความเร็วขึ้นอยู่แล้ว ถ้าเพิ่มช่วงท่อนบริดจ์[1]เข้าไป ก่อนจะเข้าเนื้อร้อง มันจะดูแปลกๆ นะ”
“งั้นเราแก้ตรงส่วนนี้อีกหน่อยดีไหม”
“อือ เอาตามนั้นแหละ”
ตอนนี้ซองจูก็ยังคงนอนคว่ำหน้าอยู่บนโซฟา เฝ้ามองจองอูกับพวกคราฟท์ที่กำลังประชุมกันอย่างเคร่งเครียด ไม่นานมานี้มีบทถูกส่งเข้ามา หากเขาเพียงเก็บมันเอาไว้ แต่ไม่ได้แตะมันแม้แต่น้อย
“งั้นเพลงอะคูสติกก็เลือก Starry Night เป็นไงครับ”
“เพลงนั้นดีที่สุดในบรรดาเพลงอะคูสติกด้วย”
“งั้นพี่ซองฮีก็จะได้มีช่วงพักช่วงนึงด้วยนะครับ”
“เอาไปทั้งสองเพลงเลยไหมล่ะ”
“แบบนั้นฉันไม่โอเค เอาเพลงเดียวพอ”
เพลงอะคูสติกที่ยังคงเป็นปัญหาอยู่ทำให้ซองฮีกับซองฮุนวุ่นวายอยู่กับการถกเถียงกันไปมาแบบนั้น ในบรรดาเพลงของคราฟท์ คนที่อัดเสียงอะคูสติกนั้นไม่ใช่ซองฮีแต่เป็นซองฮุนที่เป็นคนร้อง แต่ว่าเขาเองก็ไม่เคยลองฟังด้วยตัวเองเลยสักครั้ง จึงไม่เข้าใจที่พวกนั้นกำลังคุยกันอยู่เลยสักนิด แล้วเขาไม่ได้มีใจอยากจะลองฟังด้วย
ถึงจะรู้ว่าน้องชายตัวเองทำงานอะไร แต่การไปให้ความสนใจกับแนวทางของอีกคนถึงขนาดนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาพอใจจะทำอยู่แล้ว นั่นก็เพราะท่าทีของพ่อที่สนับสนุนกับการเปลี่ยนแนวทางของน้องชายนั่นแหละ แต่ถึงอายุจะย่างเข้าเลขสามแล้วก็ยังมีร่องรอยของพ่อแม่คอยตามติดอยู่ นั่นยิ่งทำให้ไม่พอใจเข้าไปใหญ่ ถึงจะมีคำพูดที่ว่าต้องแยกห่างจากพ่อแม่จึงจะได้โตเป็นผู้ใหญ่ แม้เขาจะตีตัวออกห่างมา แต่ท่าทางที่ทำเหมือนพวกเขายังเด็ก ไม่อาจปล่อยห่างสายตาได้ของพ่อแม่นั้น ทำให้ไม่นานมานี้ซองจูจึงได้เริ่มออกนอกลู่นอกทางอย่างไม่คิดลังเล
“งั้นก็เล่นทั้งหมดเจ็ดเพลงนี้กันเถอะครับ ไม่ต้องไปยุ่งกับลิสต์เพลงอีกแล้ว มาคิดเรื่องเวลาที่จะใช้ซ้อมแต่ละเพลงกันใหม่ดีกว่า”
“อังกอร์ล่ะ”
“เออ ยังเหลือนั่นอีกนี่นา สรุปแทบตายก็ไม่เคยจบ”
สองแฝดที่รับหน้าที่เล่นคีย์บอร์ดและกีต้าร์ ฮยอนจินกับแฮจินถึงกับจิ๊ปากอย่างไม่พอใจออกมา
ตามคำพูดของจองอู หน้าที่แต่งเนื้อเพลงของคราฟท์ ซองฮุนเป็นคนรับผิดชอบ ส่วนทำนองก็เป็นซองฮุนกับเซจุนแบ่งกัน เมื่อเนื้อเพลงกับทำนองเสร็จเรียบร้อย เซจุนกับสองแฝดก็จะนำมาช่วยกันเรียบเรียงและเพิ่มเติมบางส่วนให้ตรงกับสไตล์ของวง
‘งั้นซองฮีล่ะ’
จบคำอธิบาย เขาก็โพล่งถามถึงซองฮีทันที นอกจากหน้าที่ร้องเพลงแล้ว เจ้าตัวก็ยังทำหน้าที่ในการเป็นวิศวกรที่จับทุกส่วนมารวมกัน แต่ว่าซองจูก็ไม่เข้าใจนักว่ามันคืออะไร
‘แล้วหน้าที่นายล่ะ’
ถามถึงตรงนั้น จองอูก็ชะงักไปครู่ แล้วบอกว่าจะค่อยๆ อธิบายให้ฟังทีหลัง หลังจากนั้นซองจูก็ไม่ได้ถามจองอูเกี่ยวกับเรื่องการทำเพลงอย่างจริงจังอีกเลย
ฝนที่ตกอย่างต่อเนื่องทำให้อากาศชื้นลอยมาแตะที่ปลายจมูก จนต้องฝืนตัวเองที่เกือบจะหลุดจามเอาไว้อย่างยากเย็น แล้วซองจูก็ย่นจมูก
อะไรกันนะ ที่ทำให้เจ้าพวกนั้นมีท่าทางกระตือรือร้นแบบนั้นได้ เขาที่แสดงละครตบตาคนรอบตัวมาตลอดชีวิต ซองจูก็คิดว่ามันก็เป็นแค่งานเท่านั้น แต่ว่าไม่เคยมีท่าทางกระตือรือร้นออกมาแบบนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว การแสดงสำหรับเขา มันเป็นสิ่งที่คุ้นเคย แค่แสดงเพียงครู่ มันก็ทำให้เขาได้ใช้ชีวิตในแบบอื่น แต่ก็ไม่เคยมีความรู้สึกพลุ่งพล่านอะไรแบบนั้นเลย
แน่นอนว่ามันก็รู้สึกปลาบปลื้มเมื่อเห็นผลงานที่ดีและแสดงออกมาได้น่าพอใจ หลังจากที่สัญญาณคัทจบลง ในอกมันฟูฟ่องไปด้วยความรู้สึกพอใจ หรือความรู้สึกที่เอ่อล้นจนไม่อาจทำเมินเฉยได้ ถึงอย่างนั้นการหลงใหลในดนตรีจนหลงลืมว่ามีใครอยู่บ้างและการถกเถียงกันอย่างกระตือรือร้นอย่างยาวนานแบบนั้น ไม่เคยเกิดขึ้นในใจของซองจูเลย มันคงเกี่ยวกับการใช้ชีวิตที่ต่างกัน
เหมือนมีกำแพงที่ไม่อาจทลายลงได้ขวางกั้นระหว่างซองจูกับคนพวกนั้นอยู่ แต่นั่นก็ไม่ใช่เพราะการใช้ชีวิตของซองจูนั้นผิดพลาดไป มันไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาใช้แบ่งแยกแบบนั้นได้ แต่ว่ามันก็น่าเสียดาย หากเปลี่ยนมันตั้งแต่ก่อนหน้านี้ หากเขาเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตให้ต่างไปจากนี้ มันจะเปลี่ยนไปขนาดไหนนะ ช่วงนี้ซองจูมักจะคิดเช่นนี้อยู่เสมอ
โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องที่เหมือนจะคืนดีกัน แต่ก็ยังมีท่าทีไม่คุ้นชินนั่น มันจะเปลี่ยนไปบ้างหรือไม่ เจ้าตัวได้แต่ขบคิดอย่างไร้สาระอยู่อย่างนั้น
ทุกสิ่งมันดูแปลกไปหมด ไม่รู้ว่าเป็นความกังวลที่เกิดขึ้นเมื่อสายไปแล้วหรือไม่ ในเวลานี้ซองจูรู้สึกอึดอัดเหลือเกิน
“โธ่เว้ย”
จิตใจที่หวาดหวั่นของซองจูนั้น ตรงข้ามกับอากาศเย็นชื้นที่คอยวนเวียนอยู่แถวๆ ปลายจมูกอยู่ตลอดเวลาเสียเหลือเกิน
[1] ท่อนบริดจ์ มักจะมาต่อจากท่อนคอรัสที่สอง และเป็นท่อนที่แตกต่างจากท่อนอื่นในเพลง เป็นท่อนสั้นๆ มีเนื้อร้องแค่หนึ่งหรือสองบรรทัด และบางครั้งก็คือท่อนเปลี่ยนคีย์ของเพลง