ซองจูจ้องมองไปทางจองอูที่ทอดสายตามองมาทางเขาด้วยเช่นกัน เพราะแสงที่สะท้อนมา ทำให้เขามองหน้าอีกฝ่ายได้ไม่ชัดเจนนัก คิมจองอูที่ยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น ยังคงมีสภาพหม่นๆ เช่นเคย โดยด้านหลังของเจ้าตัวถูกแต่งแต้มเอาไว้ด้วยแสงอาทิตย์ที่ลุกโชน ทั้งตัวยังคงสวมใส่เสื้อผ้าสีดำสนิท ที่เอวก็คาดผ้ากันเปื้อนสีดำเอาไว้ ภาพลักษณ์ของอีกคนดูราวกับยมทูต และการที่ทำให้เขารู้สึกใจแกว่ง กระทั่งหายใจก็ลำบากเต็มทนได้แบบนี้แล้ว อีกคนอาจจะเป็นยมทูตจริงๆ ก็ได้ ความคิดนั่นทำให้ซองจูรู้สึกหายใจไม่ออกขึ้นมาเสียดื้อๆ
เจ้าตัวขยับอ้าปากเพื่อกอบโกยลมหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกอึดอัดภายในใจจางหายไปได้เลย ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องหายใจ เขาเผยอปากออกมาคล้ายกับต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง เขาไม่อาจทนเก็บกลืนความโกรธที่พลุ่งพล่านออกมาเรื่อยๆ จึงได้แต่กำหมัดแน่น พร้อมกับจ้องมองไปทางจองอูอยู่เช่นนั้น
“คือว่า…”
เจ้าของร้านที่ไม่สามารถทนต่อบรรยากาศกดดันที่แผ่ปกคลุมไปจนทั่วร้านได้ เอ่ยปากออกมาพร้อมขยับถุงพลาสติกจนมันส่งเสียงกรอบแกรบออกมา
“เหมือนฉันจะลืมอะไรไปสักอย่าง งั้นเดี๋ยวขอออกไปข้างนอกแป๊บนึงนะ หืม?”
เจ้าตัวพูดออกมาเช่นนั้น ก่อนจะก้าวเร็วๆ ไปที่ประตู แล้วก็ออกจากร้านไป
ตอนนี้ภายในคาเฟ่เหลือเพียงจองอู ซองจู แล้วก็มินซิกเท่านั้น มินซิกเองก็ไม่อาจทนกับบรรยากาศตอนนี้ได้อีกต่อไป จึงได้ส่งสายตาไปทางซองจู พร้อมกับเอ่ยปากออกมาทันที
“พี่ครับ งั้นผมออกไปรอข้างนอกแล้วกันนะครับ”
ซองจูหันกลับมาสบตากับมินซิกครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปจ้องจองอูอีกครั้ง
“อื้อ นายออกไปก่อนก็ได้”
จบคำนั้น มินซิกก็ลุกจากที่นั่งอย่างรวดเร็ว แล้ววิ่งออกไปข้างนอกในทันที ตอนนี้ในคาเฟ่แคบๆ แห่งนี้ จึงเหลือเพียงจองอูกับซองจูแค่สองคนเท่านั้น
ซองจูที่ไม่อาจอดทนต่อความโกรธที่พลุ่งพล่านขึ้นมาเรื่อยๆ จึงได้ลุกขึ้นจากที่นั่งทันที เขากัดฟันกรอดพร้อมจ้องมองไปที่จองอูซึ่งมองเขาด้วยสีหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เขาอยากจะคว้าคอเสื้อของอีกคน แต่เขามีสิทธิ์อะไรที่จะไปแสดงท่าทีแบบนั้นกันล่ะ
สีหน้าของจองอูที่มองมายังซองจูซึ่งเริ่มมีน้ำตาเอ่อคลอในดวงตา ก็ไม่ได้ดูสดใสเท่าไหร่นัก ทั้งคู่เพียงมองหน้ากันไปมาเช่นนั้นอยู่ครู่หนึ่ง โดยที่ต่างก็ไม่มีคำพูดใดๆ หลุดออกมา
มีคำพูดมากมายที่อยากพูด แต่ก็ไม่สามารถพูดมันออกมาได้เลย ไม่รู้ว่าต้องพูดอะไรออกมา ถึงจะกระตุ้นความรู้สึกระหว่างกันได้ เพราะเขารับรู้ว่านี่มันไม่ใช่แค่ความบังเอิญ ซองจูรู้สึกเกลียดความดื้อรั้นของตัวเองเหลือเกิน
ทำไมเขาถึงทำอย่างที่ทำกับคนอื่นไม่ได้ ทั้งที่เขาใช้ชีวิตเหมือนกับไร้ชีวิต เสแสร้งแสดงละครตลอดมา หากเป็นต่อหน้าคิมจองอูแล้ว เขากลับไม่สามารถทำแบบนั้นได้ มันช่างเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ ในตอนนี้ก็ด้วย หากเป็นปกติเขาคงต้องแผดเสียงตะโกนออกมาให้รู้สึกสบายใจ แต่ทว่าเขากลับทำแบบนั้นออกมาไม่ได้ ซองจูรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเมื่อถูกสายตาของจองอูจ้องมองมาเช่นนั้น หยาดน้ำตาค่อยๆ รินไหลลงมาจากดวงตาทั้งคู่ ไหล่ทั้งสองข้างก็สั่นไหวอย่างรุนแรง เมื่อจองอูได้เห็นสภาพเช่นนั้นของซองจู จึงได้รีบก้าวเข้าไปหาอีกคนทันที
ทั้งที่ระยะห่างระหว่างกันนั้นเหลือเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น จองอูกลับยังเว้นระยะห่างเอาไว้หนึ่งก้าว แล้วหยุดยืนอยู่ตรงนั้น ทำท่าทางขยับยื่นแขนออกมาเพื่อสัมผัสซองจู พร้อมกับเม้มริมฝีปากเอาไว้อย่างอดกลั้น จองอูแสดงท่าทีลังเลอยู่เช่นนั้น พร้อมกับมองสบมาที่ใบหน้าของซองจู ก่อนเจ้าตัวจะรวบรวมความกล้าออกมาอีกครั้ง แล้วยื่นมือออกไปสัมผัสใบหน้าของซองจู
ปลายนิ้วที่แตะสัมผัสลงบนแก้มอย่างแผ่วเบา พร้อมเกลี่ยเช็ดน้ำตาที่รินไหลออกมา ซองจูเพียงหลับตารับสัมผัสนั้น แก้มนุ่มนิ่มที่ผูกมัดหัวใจหยาบกระด้าง ท่าทางการขยับแนบชิดร่างกายลงบนมือของเขา ดวงตาที่หลับลง พร้อมทั้งไหล่ที่สั่นไหวอย่างรุนแรง ทำให้ความรู้สึกลึกๆ ในใจที่ไม่อาจเข้าใจได้นั้น ปะทุออกมา แล้วจองอูก็ยื่นมือข้างที่เหลือออกไปคว้าตัวซองจูเข้ามากอดไว้
ร่างกายอ่อนแรงที่สติยังคงไม่กลับคืนมานั้น สัมผัสแนบลงกับแผ่นอกแกร่งอย่างง่ายดาย เจ้าตัวทิ้งกายให้แนบชิดไปกับแผ่นอกแกร่งนั่น จองอูลูบไล้ลงบนกลุ่มผมของซองจูอย่างแผ่วเบา ในยามสอดแทรกปลายนิ้วไปบนเรือนผมซึ่งถูกจัดแต่งทรงด้วยแวกซ์ มันทำให้เกิดความรู้สึกดีอย่างน่าประหลาด ความอบอุ่นของซองจูที่สัมผัสได้จากปลายนิ้ว และยังกลิ่นกายของอีกคน มันทำให้รู้สึกดีจริงๆ ทำไมตัวเขาถึงได้หนีจากสิ่งที่ทำให้รู้สึกดีพวกนี้กันนะ เพราะความโง่เขลาของตัวเองแท้ๆ นั่นจึงทำให้เขาดึงตัวซองจูเข้ามากอดแน่นขึ้นอีก
ถึงอย่างนั้นร่างกายของซองจูก็ไม่มีท่าทีจะสงบลงเลยสักนิด ยังดีที่อีกคนไม่ถึงกับสะอึกสะอื้นออกมา แต่ร่างกายที่สั่นเทาเช่นนั้น มันกลับทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดในหัวใจขึ้นมา เป็นแบบนี้คงจะไม่เกิดปัญหาอะไรขึ้นมาอีกใช่ไหม จองอูที่กำลังรู้สึกกังวลใจ ก้มหน้าลงไปมองสำรวจสีหน้าของซองจูอย่างเงียบๆ แก้มเปียกชื้นนั้น แดงระเรื่อขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“…ไม่เป็นไรนะ?”
น้ำเสียงทุ้มต่ำที่ดังออกมาอย่างกะทันหัน ทำเอาซองจูกัดฟันกรอดขึ้นมา คิมจองอูช่างเป็นมนุษย์ก้อนหินเสียจริง ซองจูที่ไม่อาจเอาชนะความรู้สึกที่ปะทุออกมา จึงได้แผดเสียงตะโกนออกมา
“ไม่เป็นไรนะงั้นเหรอ? ในสายตานายตอนนี้ ฉันดูสบายดีรึไง!”
จองอูไม่ได้ตอบอะไรกลับมา มีเพียงแค่สายตาที่สะท้อนความหนักใจจ้องมองกลับมาที่ตัวเขาเท่านั้น และเพราะท่าทางของอีกคน ที่ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธอะไรออกมา นั่นจึงทำให้ซองจูกลัวขึ้นมาจับใจ
เป็นแบบนี้แล้ว อีกคนคงจะไม่หนีหายไปอีกใช่ไหม ตอนนี้เขาหวาดกลัวเหลือเกินว่าอีกคนจะไม่ยอมพูดด้วยอีก ทำไมน้ำตามันเหมือนจะไหลออกมาอีกแล้วล่ะ ลองอดทนอีกสักหน่อย พอคิดได้แบบนั้นน้ำตาก็เอ่อคลอออกมาอีกครั้ง ซองจูที่ยังไม่ทันได้หยุดพักความรู้สึก ก็รู้สึกเจ็บปวดจนแทบจะหายใจไม่ออก แล้วเจ้าตัวก็ซุกหน้าลงกับอกของจองอู พร้อมทั้งกอดเอวจองอูเอาไว้แน่น หากไม่ทำเช่นนี้ มันเหมือนกับว่าอีกคนอาจจะหนีหายไปอีก
“ฮึก…”
และแล้วน้ำตาที่ไหลทะลักออกมาอีกครั้งก็เริ่มทิ้งรอยเปียกชื้นบนเสื้อเชิ้ตสีดำของจองอู เพราะศักดิ์ศรีที่ยังเหลืออยู่ ทำให้เขาไม่กล้าร้องไห้โฮออกมา แม้จะรู้ว่าท่าทางสะอึกสะอื้นแบบนั้นก็ไม่ได้น่าดูเลยสักนิด แต่เขาก็หยุดมันไม่ได้ ที่จริงเขาอยากจะคว้าขากางเกงของอีกคนเอาไว้ด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่กล้าพอที่จะทำ การกระทำไร้ค่าที่ทำอยู่นี้ก็ทำลายศักดิ์ศรีของตัวเองไปมากพอแล้ว
แต่ทว่ามันก็ไม่ได้ถึงกับไร้ค่าขนาดนั้น หากทำเช่นนี้แล้วจะสามารถคว้าตัวเจ้าคนที่เอาแต่เมินเฉย และไม่สนใจใยดีกันไว้ได้แล้วล่ะก็ หากทำให้อีกคนกลับมาอยู่เคียงข้างเขาได้อีกครั้งแล้วล่ะก็ มันก็ไม่มีอะไรที่เขาทำไม่ได้ ซองจูจับเสื้อของจองอูเอาไว้ด้วยความระมัดระวัง ก่อนจะเอ่ยปากออกมา
“…กลับมาเถอะนะ”
จองอูไม่ได้ตอบรับอะไรกลับมา แต่กลับออกแรงกอดซองจูแน่นขึ้นไปอีกแทน จนทำให้อีกคนไม่สามารถขยับไปไหนได้ กักอีกคนเอาไว้ในอ้อมแขนเช่นนี้ หน้าอกที่แนบชิดกัน ทำให้รู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นตึกตักของกันและกัน หัวใจเต้นรัวจนไม่อาจแยกได้ว่าเป็นของใคร ไม่รู้ทำไมมันถึงไม่ยอมสงบลงบ้างเลย ซองจูซุกใบหน้าลงกับลาดไหล่ของจองอูมากยิ่งขึ้น
“ไม่ได้เหรอ?”
แต่ทว่าจองอูก็ยังคงไม่ตอบอะไรกลับมาเช่นเดิม
คงไม่ได้สินะ ไม่อยากกลับมาแล้วสินะ
พอคิดได้เช่นนั้น น้ำตาที่เหือดแห้งไปก็เริ่มไหลเอ่อออกมาอีกครั้ง น้ำตาที่รินไหลออกมาอย่างไร้สุ้มเสียง เปียกชื้นลงบนเสื้อของจองอูอีกครั้ง
คลื่นความสิ้นหวังที่ก่อตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ซองจูได้แต่ปล่อยน้ำตาหยดแล้วหยดเล่าให้รินไหลออกมาอย่างเลื่อนลอย
ต้องพูดอะไรออกมาอีกเหรอ ทั้งอ้อนวอนขอให้กลับมา ทั้งถามออกมาว่าได้หรือไม่ แต่ก็ยังไม่มีคำตอบใดกลับมาเลย
คำพูดที่ดูง่ายดายสำหรับคนอื่น กับซองจูแล้ว มันต้องใช้ความกล้ามากมายกว่าจะพูดออกมาได้ จะครอบครัว หรือใครที่ไหน เขาก็ไม่เคยยอมอ่อนข้อให้เลย เวลาที่ต้องเผชิญความลำบากกับเรื่องความรัก หรือต้องเลิกรากัน เขาก็จัดการกับความสัมพันธ์พวกนั้นได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เขาจะยอมพูดคำพวกนี้ออกมา เรื่องนี้คิมจองอูจะรับรู้บ้างหรือไม่
ถึงแม้จะรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของเขา แต่เขาก็คิดว่ามันคงจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง จึงไม่คิดที่จะยึดติดกับมันอีกต่อไปแล้ว ซองจูเตรียมพร้อมสำหรับครั้งสุดท้าย ก่อนจะปล่อยมือออกจากเสื้อของจองอูที่เจ้าตัวได้จับยึดเอาไว้ แขนทั้งสองข้างตกลงข้างตัวอย่างสิ้นแรง เช่นเดียวกับหัวใจของเขา เขาเอ่ยพึมพำแผ่วเบาออกมา ทั้งที่ยังคงก้มหน้าอยู่เช่นนั้น
“จบเท่านี้สินะ? เกลียดกันขนาดนั้นเลยเหรอ”
กับคำพูดพวกนี้ก็ยังคงไม่มีคำตอบใด การยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนและไม่ยอมพูดอะไรออกมาเลยสักคำแบบนั้น จะให้เขาเข้าใจท่าทางของอีกฝ่ายได้ว่าอย่างไร นั่นคงจะเป็นการบอกว่ามันเปล่าประโยชน์ ซองจูฝืนเอ่ยปากออกมาอีกครั้ง
“แค่ตอบอะไรกลับมาบ้าง ก็ไม่ได้เลยเหรอ…”
แล้วเขาก็เปล่งเสียงหัวเราะเย้ยหยันออกมา
“นี่ ไอ้เด็กบ้า ถ้าจะเป็นแบบนี้ แล้วตอนนั้นนายทำแบบนั้นทำไม ถ้านายแกล้งทำเป็นไม่รับรู้ไปซะ มันก็คงจบไปตั้งนานแล้ว กับคนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันเลยน่ะ นายจะยื่นมือเข้ามายุ่งทำไม ถ้านายไม่ทำแบบนั้น มันก็จะไม่เกิดเรื่องอะไรไม่ใช่รึไง ฉันก็อยู่ส่วนฉัน นายก็อยู่ส่วนนาย แค่อาศัยร่วมห้องเดียวกันไปเงียบๆ แค่นั้นก็ได้นี่ แบบนั้นก็ดีอยู่แล้ว…แล้วทำไม ทำไมต้องทำแบบนี้กับฉันด้วย…”
ตอนนี้ความรู้สึกมากมายมันล้นทะลักออกมาแทนน้ำตาที่ไม่หลงเหลือให้ไหลออกมาอีกแล้ว ไม่เคยเลยที่ต้องมาอ้อนวอนเช่นตอนนี้ และซองจูก็ได้พยายามอ้อนวอนอย่างที่สุดแล้ว ความรู้สึกมากมายที่กระทั่งในการแสดงก็ไม่เคยได้สัมผัสมัน ตอนนี้มันล้นทะลักออกมาเพียงเพราะคนๆ นั้น ประสาทการรับรู้ทุกส่วนถูกกระตุ้น ความรู้สึกประหลาดที่กระทบกระเทือนหัวใจ ซองจูแทบไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งนี้ แล้วผู้ชายที่ทำให้เขาเป็นเช่นนี้ คนที่ยืนอยู่ตรงหน้า เขาตระหนักแล้วว่าคงไม่อาจทำให้จองอูล้มเลิกความตั้งใจได้ ซองจูได้แต่พึมพำซ้ำไปซ้ำมาอย่างแผ่วเบา
“ถ้าไม่ได้รู้สึกอะไรเลย มันคงจะเจ็บน้อยกว่านี้ แค่โอกาส นายยังไม่ให้ฉันเลย”
คำพูดนั้น ทำให้จองอูถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา แล้วก้าวถอยห่างออกไป
“ฉัน…”
จองอูพูดออกมาแค่นั้น ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกพยายามควบคุมอารมณ์ ริมฝีปากคู่นั้นไม่ได้ขยับเอื้อนเอ่ยอะไรออกมาอีกแม้เพียงนิด แต่ทว่าถ้ายังไม่พูดอะไรออกไป ซองจูอาจจะจากเขาไปก็ได้ นั่นคือสิ่งที่เขาตระหนักได้ เขาคิดว่ามันคงดีเสียกว่า หากได้พูดแก้ตัวออกไปบ้าง ดีกว่าปล่อยอีกคนให้จากไปโดยที่ยังไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ จองอูใช้เวลาอยู่หลายนาที ก่อนจะเอ่ยพูดออกมาอย่างยากลำบาก
“ฉันอาจจะทำให้นายต้องเสียใจ เพราะฉันนายถึงได้รู้สึกสับสน ฉันไม่ใช่คนที่มีค่าอะไรแบบนั้นหรอก ก็แค่คนที่ไม่มีอะไรเลยแค่นั้น”
“คุณค่าของนายฉันวัดเองได้! ทำไมถึงได้ดูถูกตัวเองแบบนั้น นั่นมันเป็นการกระทำที่เลวร้ายมาก รู้บ้างไหม”
ซองจูแผดเสียงออกมาด้วยความโกรธ เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้นของจองอู จองอูเถียงกลับซองจูที่เป็นเช่นนั้นอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน
“ฉันไม่ใช่คนปกติ ฉันใช้ชีวิตแบบนั้นมาจนเกือบครึ่งชีวิตแล้ว ฉันไม่เคยรู้จักการให้ใจกับใครเลย การพุ่งเข้ามาหาฉันด้วยความรู้สึกดีแบบนั้น มันจะทำให้นายต้องเจ็บซะเอง เห็นนายเป็นแบบนั้น มันยิ่งทำให้ฉันเจ็บ ตัวฉันเหมือนระเบิดเวลา ที่ไม่รู้ว่ามันจะระเบิดออกมาเมื่อไหร่ ฉันมันก็แค่คนที่เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้เลย”
“เพราะอย่างนั้นก็เลยหนีมางั้นเหรอ ทำแบบนั้นแล้วนายสบายใจขึ้นหรือเปล่าล่ะ ก็ไม่ไง! นายเองเจ็บเหมือนกัน! ฉันเจ็บขนาดนี้ แล้วนายไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไรเลยรึไง ทำไมถึงดูไม่เป็นอะไรเลยล่ะ ผอมลงซะขนาดนั้นแล้ว…”
พ่นถ้อยคำไร้สาระพร้อมกับแผดเสียงตะโกนด้วยความโมโห แต่ในใจของซองจูก็ยังคงเจ็บปวด สุดท้ายพวกเขาทั้งคู่ มันก็แค่คนขี้ขลาด
“จับฉันไว้ ก่อนที่จะต้องเสียใจ จับฉันไว้สิ แค่นั้นก็พอแล้ว ฉันจะจับนายเอาไว้เอง”
“ทำแบบนั้น อาจเป็นนายเองที่เสียใจ”
“เรื่องของฉัน ฉันจัดการเองได้ นายแค่จับฉันเอาไว้ก็พอ! ไม่มีฉันนายอยู่ได้เหรอ? สมบูรณ์แบบ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นายอยู่ได้เหรอถ้าต้องเจอหน้าน้องชายฉัน คนรอบตัวฉันน่ะ!”
จองอูไม่ตอบอะไรกลับไปกับคำถามนั้นของซองจู ซองจูจ้องมองไปยังจองอูที่ยืนเหม่ออย่างไร้จุดหมาย ก่อนจะตะโกนออกมาอีกครั้ง
“ก็ไม่ไง ทำไม่ได้ไง เพราะแบบนั้นนายถึงได้หนีไม่ใช่เหรอ นายเกี่ยวข้องกับฉันมากกว่าที่คิดซะอีก นายก็เลยกลัว แล้วก็หนีไป ฮันซองฮี มินซองฮุน แล้วยังคิมเซจุนอีก นายไม่ได้ติดต่อไปหาคนพวกนั้นเลย เมื่อไม่นานมานี้ นายเพิ่งทำงานกับพวกนั้น แต่ก็ไม่โผล่หน้าไปหาเลย แบบนั้นมันคืออะไรกัน นายคิดแค่ว่าต้องหนี แต่ไม่ได้คิดหน้าหลังอะไรเลยใช่ไหมล่ะ เป็นแบบนั้นแล้ว นายยังจะทำเพลงได้อีกเหรอ? หา?”
ยิ่งซองจูพูดออกมาเท่าไหร่ สีหน้าของจองอูก็ยิ่งบิดเบี้ยวขึ้นเท่านั้น จองอูได้แต่หลับตาลง ทุกคำพูดของซองจู เขาปฏิเสธมันไม่ได้เลย
“เพราะอย่างงั้น นายก็แค่จับฉันเอาไว้ซะ จับฉันไว้ แล้วก็เจ็บไปด้วยกัน ฉันจะช่วยให้นายได้เจ็บปวดเอง ถึงฉันจะไม่ชินเท่าไหร่ แต่ก็จะยอมรับเอาไว้เอง นายหายไปแบบนั้น ฉันเองก็สำนึกผิดมากแล้ว ต่อไปนี้ฉันจะพยายามไม่เอาแต่ใจตัวเองอีก…”
ซองจูไม่อาจพูดต่อไปได้ จึงได้สูดหายใจเข้าลึก ถึงขนาดนี้แล้ว เขาก็ไม่รู้ว่าอีกคนจะยอมคว้ามือที่เขายื่นออกไปหรือไม่ แต่เขาก็ไม่อาจยอมแพ้ ทั้งที่ยังไม่ได้ลองทำมัน
“เพราะงั้น ขอร้องล่ะ กลับมาเถอะนะ…”
ในที่สุดเสียงแผ่วเบาก็หลุดลอดออกมาจากริมฝีปากของเจ้าตัว จองอูที่รับฟังคำพูดพวกนั้นของซองจูอย่างเงียบๆ ค่อยๆ แกะแขนที่ถูกซองจูจับยึดไว้ออก แล้วจึงขยับถอยหลังไปทั้งอย่างนั้น
พอได้ยินเสียงสูดหายใจเข้า เขาก็หวาดกลัวกับท่าทางที่ไม่อาจตีความได้นั้น ซองจูได้แต่กะพริบตาถี่ๆ อย่างคิดหนัก ระหว่างนั้นจองอูก็หันหลังเดินกลับไปทางเคาน์เตอร์
จบแล้วสินะ
แต่แล้วจองอูก็เดินกลับมาหาซองจูที่กำลังครุ่นคิดออกมาอย่างสิ้นหวังอีกครั้ง อีกฝ่ายยื่นบางอย่างมาให้เขาโดยไม่มีคำพูดใด เขาได้แต่ยืนมองมันอยู่อย่างนั้น ด้วยสติที่ยังไม่กลับคืนมา ตรงหน้าคือกระดาษเล็กๆ แผ่นหนึ่ง เมื่อเขารับมันมาแล้ว จองอูที่มีท่าทีลังเลเล็กน้อยก็เอ่ยบางอย่างออกมา
“ลองกลับไปคิดทบทวนดูก่อน ถ้ายังรู้สึกเหมือนเดิม ก็โทรมาที่เบอร์นี้”
อีกฝ่ายพูดเช่นนั้นออกมา แล้วจึงค่อยๆ ดึงซองจูเข้าไปกอดไว้
แววตาของซองจูยังคงดูเลื่อนลอย ดวงตายังคงกะพริบถี่อย่างคนสติหลุด กระทั่งในเวลาที่ตกอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่นนั้นแล้วก็ตาม