คำพูดนั้นทำให้สีหน้าของจองอูเข้มขึ้น ในดวงตามีประกายของความวิตกเผยให้เห็น เจ้าตัวหยิบหนังยางรัดผมสีดำที่ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อออกมาเส้นหนึ่ง แล้วจึงจัดการมัดรวบเส้นผมไปด้านหลัง
“โอเคยัง?”
“เฮ้อ มันยังปิดตาอยู่เลย ผมข้างหน้ามันบังหน้าไปตั้งครึ่งนึง”
“พอแล้ว หน้าร้อนฉันก็จะอยู่แบบนี้แหละ”
“…ตามใจ ยิ่งสนใจก็ยิ่งหงุดหงิด”
ซองจูบ่นพึมพำออกมา พร้อมกับยกกาแฟที่มีน้ำแข็งเต็มเปี่ยมขึ้นมาดื่มอึกหนึ่ง
“วันนี้กาแฟรสแปลกๆ นะ”
“อ้อ ฉันเปลี่ยนเมล็ดกาแฟน่ะ”
“เหรอ? แต่ละชนิดรสชาติไม่เหมือนกันเหรอ?”
“อืม ถูกใจไหม”
“ถึงจะไม่เท่าครั้งก่อน แต่ก็นับว่าไม่เลว”
แม้จะพูดไปแบบนั้น แต่รสชาติที่ไม่ได้เลวร้ายอะไรก็ทำให้ซองจูยังคงดื่มมันต่อไป เสียงน้ำแข็งกระทบแก้วตามการขยับของอีกคนดังก้องไปทั่วห้องนั่งเล่นอันเงียบเชียบ
“วันนี้พวกเด็กๆ เงียบไปเลยแฮะ ปกติเวลานี้ต้องโหวกเหวกโวยวายลั่นสนามเด็กเล่นกันแล้วแท้ๆ”
ซองจูบ่นงึมงำออกมาแผ่วเบา ก่อนจะเอนหลังพิงตัวลงบนตัวโซฟาอย่างช้าๆ เขาชอบความรู้สึกที่ตัวเองถูกโอบไว้ด้วยโซฟานุ่มนิ่ม แต่เหมือนมันยังมีบางอย่างที่ขาดหายไปนะ ความคิดว่าอาจจะมีอะไรติดอยู่บนโซฟาหรือไม่ แต่พอหันกลับไปดูก็ไม่พบปัญหาอะไร ทำไมถึงรู้สึกโหวงๆ อย่างประหลาดกันนะ
“ทำไมเหรอ มีตรงไหนไม่สบายตัวรึไง”
“ไม่นะ ไม่ใช่แบบนั้น…”
ท่าทางของซองจูที่หันซ้ายหันขวาไปมาราวกับแถวนั้นมีอะไรแปลกๆ ในที่สุดเจ้าตัวก็ตระหนักได้ว่าอะไรคือปัญหาที่แท้จริง มันยังขาดความอบอุ่นที่ถูกส่งผ่านมาที่เขานั่นเอง มันก็ถูกแล้วที่จะต้องไม่มีความอบอุ่นที่ให้ความรู้สึกปลอดภัยแบบนั้น แต่ว่าซองจูกลับไม่ได้นึกถึงความจริงข้อนั้นเลย ตัวเขาจึงค่อยๆ เอียงตัวไปพิงจองอู
“ทำอะไร…ของนาย?”
“หือ ก็แบบนี้มันสบายดีออก นายอยู่เฉยๆ ได้ไหม”
“เห็นฉันเป็นเฟอร์นิเจอร์รึไง”
“เอ๊ะ อยู่นิ่งๆ หน่อยได้ไหม มันไม่สบายเลยเนี่ย”
คนเอาแต่ใจไม่ได้ใส่ใจกับการทำตัวไม่ถูกของจองอูเลยสักนิด และเพราะการกระทำแบบนั้นของซองจูจึงทำให้ห้องนั่งเล่นที่เคยสงบสุขเกิดความวุ่นวายขึ้นมาอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะได้เปิดศึกกัน ในตอนนั้นเอง โทรศัพท์มือถือของซองจูที่วางทิ้งไว้บนโต๊ะก็เริ่มส่งเสียงออกมา ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอก็คือ มินซิกนั่นเอง
“อืม มินซิก มีอะไรล่ะ”
“พี่ครับ ตอนนี้อยู่ไหนครับ”
ถึงจะกดรับสายในทันที แต่น้ำเสียงที่ได้ยินกลับดูรีบร้อนกว่าเขาเป็นเท่าตัว ซองจูตอบคำถามของมินซิกอย่างไม่เต็มใจนัก
“ที่ไหนอะไรกันล่ะ ก็ต้องที่ห้องน่ะสิ แล้วจู่ๆ โทรมามีอะไร”
“พี่ครับ อย่าออกมาข้างนอกนะ อยู่แต่ในห้องนะครับ ออกกำลังกายก็ไม่ต้องไปนะครับ เข้าใจแล้วใช่ไหมครับ”
“อะไรของนาย นี่ อยู่ๆ มาห้ามไม่ให้ไปออกกำลังกายนี่มันใช่เรื่องรึไง หา? นี่จะกักบริเวณกันรึไง?”
“คือว่าตอนนี้มันเกิดเรื่องใหญ่น่ะสิครับ มีข่าวลือหลุดออกมาครับ เดี๋ยวผมจะรีบไปเล่ารายละเอียดให้ฟังนะครับ ตอนนี้กำลังอยู่บนรถแล้วครับ”
“ว่าไงนะ? ข่าวลือ? นี่ มันเรื่องบ้าอะไร หา! มินซิก! นี่!”
เรื่องบ้าอะไรอีกแล้วเนี่ย ยังไม่ทันได้อธิบายอะไรเลยสักอย่างเลย จู่ๆ ก็มาบอกกันว่ามีข่าวลือหลุดออกมาเนี่ยนะ เขาได้แต่สบถพึมพำออกมา พร้อมกันนั้นซองจูก็เชื่อมต่อเข้าไปในหน้าเว็บไซต์บนมือถือทันที จองอูที่เห็นเช่นนั้นก็พาลทำหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาด้วยอีกคน
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรวะ! เลิกกันงั้นเหรอ ตั้งแต่เมื่อไร!”
“พี่ครับ ใจเย็นลงก่อน”
“หนวกหูน่า พูดมาให้หมดเดี๋ยวนี้ ทำไมเรื่องซอยอนมันถึงได้หลุดออกมาตอนนี้? ใครมันปล่อยข่าว หา? คนไหน? พูดมาสิวะ!”
“พี่ครับ ขอร้องละ ใจเย็นลงหน่อยเถอะครับ ตอนนี้เรากำลังจัดการทุกอย่างให้อยู่ พี่แค่ต้องเก็บตัวอยู่ในบ้านไปก่อนนะครับ นะครับ?”
“ที่พูดมานี่มันใช่เรื่องแล้วรึไง ตลอดห้าปีที่คบกันไม่เห็นมันจะมีปัญหาอะไรเลย แต่ทำไมพอเลิกกันมันถึงได้มีข่าวหลุดออกมาได้วะ มันต้องมีคนอยู่เบื้องหลังใช่ไหม มีแค่ไม่กี่คนที่รู้เรื่องของฉันกับคิมซอยอน มันเป็นใคร? นายรู้ใช่ไหม? หา?”
พอมินซิกมาถึงก็ถูกอีกฝ่ายคาดคั้นอย่างเอาเป็นเอาตายทันที เมื่อเจ้าตัวเริ่มที่จะเข้าใจสถานการณ์ขึ้นมาบ้าง บนหน้าผากของซองจูก็ปรากฎรอยเส้นปูดชัดออกมา แม้จะพยายามอ้อนวอนขอร้องให้ใจเย็นอย่างไร น้ำเสียงที่โกรธขึ้งก็ไม่ได้ลดทอนลงเลยแม้แต่น้อย แม้จะอยากให้อีกคนได้ออกไปเดินสูดอากาศเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ แต่เพราะแถวนี้มีนักข่าวอยู่เต็มไปหมด ถึงจะไม่ชอบใจอย่างไร แต่ก็คงต้องถูกขังอยู่ในห้องไปสักระยะ ตอนนี้จึงไม่สามารถให้ทำอะไรแบบนั้นได้ ช่างเป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริงๆ มินซิกเองก็ไม่สามารถทำนั่นนี่ได้มากนัก แต่ก็ยังคงพยายามจ้องสบตาซองจูเพื่อห้ามปรามอีกฝ่าย
“พี่ครับ ก่อนอื่นช่วยใจเย็นลงหน่อยเถอะครับ ถ้ายังเป็นแบบนี้เดี๋ยวห้องข้างๆ คงได้มากดกริ่งแน่”
“ห้องข้างๆ อะไร? นายก็รู้ว่าห้องนี้เก็บเสียงได้ดีขนาดไหน นายคิดจะทำอะไรอีก? รีบบอกมา เรื่องนี้เป็นฝีมือคิมซอยอนงั้นสินะ!”
“พี่ครับ ขอร้องล่ะ…”
มินซิกเริ่มกระวนกระวายใจมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยจนปัญญาไม่รู้จะทำอย่างไรกับซองจูที่กำลังหัวร้อนสุดๆ อยู่ในตอนนี้
ไม่ผิดแน่ มันเป็นแบบนั้นจริงๆ สินะ ในตอนที่เขาเลิกกับเซจอง นอกจากตอนนั้นที่เกิดข่าวลือขึ้นเพราะการบงการของพ่อแม่เซจอง จนถึงตอนนี้เจ้าตัวก็ไม่เคยต้องเจอกับข่าวลือเรื่องรักๆ ใคร่ๆ อีกเลย แต่ว่า อย่างที่ซองจูพูดนั่นแหละ ตลอดห้าปีที่คบกันมา มันไม่เคยมีข่าวลือหลุดออกมาเลยสักครั้ง แต่กลับมาเกิดเอาตอนนี้มันคงไม่ใช่เรื่องธรรมดาๆ แล้ว ดังนั้นจึงเข้าใจได้ไม่ยากว่าทำไมซองจูถึงได้หัวร้อนขนาดนี้
อย่างไรเสียมินซิกก็เข้าข้างซองจูอยู่แล้ว
แม้ปากยังคงพร่ำบ่นออกมาเรื่อยๆ อย่างไร แต่มันกลับไม่สามารถหยุดเรื่องที่ติดค้างอยู่ในใจได้เลย แน่นอนว่าคนที่บริษัทยังไม่มีใครรู้ แต่ในตอนนี้เรื่องที่เขากับจองอูมีความสัมพันธ์ถึงขั้นนอนท้องชนกันมันคือเรื่องจริง หากว่าเรื่องนี้รู้ไปถึงคนรอบตัว ข่าวลือของเขากับซอยอนกลายเป็นเรื่องขี้ปะติ๋วไปเลย ถ้าหากเรื่องนี้หลุดออกไปแล้วล่ะก็ เรื่องของเซจองก็คงโดนสาวออกมาด้วยอย่างแน่นอน เขาต้องหยุดมันเสีย สุดท้ายแล้วมันก็ไม่มีวิธีอื่นนอกจากขังตัวเองอยู่ในห้องเงียบๆ ตามคำสั่งไปสักระยะหนึ่ง
“เวรเอ๊ย ต้องทนอุดอู้อยู่ในห้องไปช่วงนึงงั้นสินะ”
“ครับ ช่วยทำตามนั้นด้วยเถอะครับ นั่นมันก็เพื่อเราทุกคนนะครับพี่”
เห็นท่าทางประกบมืออ้อนวอนของมินซิกแบบนั้นแล้ว ทำเอาสีหน้าของซองจูเปลี่ยนเป็นปลงตกโดยไม่รู้ตัว แต่ว่านอกจากเรื่องนี้แล้วมันยังมีปัญหายุ่งยากอื่นอีก ปัญหาที่คราวนี้จองอูไม่ยอมให้ปล่อยผ่านไปอย่างง่ายดาย
“คนไม่ได้ทำผิดอะไร แต่กลับสั่งกักบริเวณให้อยู่เฉยๆ ในห้องเนี่ยนะ? แล้วเรื่องอาหารล่ะ? อย่างน้อยก็ต้องให้ออกไปซูเปอร์มาร์เก็ตสิ”
“พวกอาหารผมจะเป็นคนซื้อมาให้เองครับ หากต้องการอะไรก็บอกเอาไว้ล่วงหน้าได้เลย ชอปปิ้งออนไลน์ก็ต้องงดไปช่วงนึงด้วยนะครับ”
“ฉันทำแบบนั้นไม่ได้หรอกนะ”
“พี่ครับ ทำไมพี่ก็เป็นไปด้วยล่ะ…”
ทันทีที่เกิดเรื่องขึ้น อันดับแรกก็คือต้องพยายามหยุดยั้งพายุโทสะของซองจู คราวนี้ก็ต้องมารับมือกับจองอูผู้สงบนิ่งดังขุนเขา หนีเสือปะจระเข้จริงๆ เลย มินซิกที่สุดจะทน จ้องเขม็งไปยังจองอูที่ไร้ซึ่งความหวั่นไหวใดๆ
“มันต่างจากการบอกให้ไปอยู่ในคุกตรงไหนกัน คิดว่ามันใช่เรื่องรึไง อีกอย่างนักข่าวจะรู้เรื่องที่ฉันอยู่ที่นี่ได้ยังไง จากระบบความปลอดภัยของที่นี่ พวกนักข่าวไม่มีทางขึ้นมาดักคอยถึงหน้าห้องได้ ฉันคงทำแบบนั้นไม่ได้หรอก”
จนถึงตอนนี้ นี่คงเป็นครั้งแรกที่จองอูพูดยาวที่สุด สีหน้าของมินซิกที่จ้องมองอีกฝ่ายอยู่นั้น ราวกับจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ
“นักข่าวน่ะทำได้ทุกอย่างแหละครับ หากแม้ข้างห้องหรือพวกพนักงานรักษาความปลอดภัยเกิดปากสว่างขึ้นมาล่ะก็ เป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ ครับ”
“ข้างบ้านน่ะ ออกไปตั้งแต่เช้าตรู่ กลับมาก็ดึกดื่นทุกวัน แล้วกับพวกพนักงานรักษาความปลอดภัย ให้ทางบริษัทจัดการปิดปากซะก็สิ้นเรื่อง”
“คือว่า เรื่องนั้นน่ะ มันไม่ใช่คำพูดผมแต่เป็นคำสั่งท่านประธาน…”
กระทั่งจองอูก็ยังไม่ยอมฟังคำพูดเขา ท่าทางที่ทรุดตัวอยู่บนพื้นของมินซิกก็ยิ่งทรุดฮวบลงไปอีก จองอูที่ได้เห็นท่าทางน่าสงสารนั่น ก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาพร้อมกับขยับถอยไปหนึ่งก้าว
“เอาเถอะ ถ้าแค่ให้ฉันไม่ออกไปตลาดบ่อยๆ อย่างที่ไปปกติ แบบนั้นก็คงไม่เป็นปัญหาอะไรหรอกนะ แต่มาบอกให้ซ่อนตัวอยู่แต่ในห้องสักพักแบบนี้ จะให้ยอมรับง่ายๆ อย่างงั้นเหรอ”
“แต่แบบนั้นท่านประธานว่ามันจะจัดการทุกอย่างได้สะดวกกว่า แล้วก็หวังด้วยว่าอีกฝ่ายคงจะไม่ก่อเรื่องใหญ่อะไรเพิ่มอีกน่ะครับ”
“นั่นไง คิมซอยอนแน่ล่ะ ไม่สิ ยัยนั่นเป็นคนบอกเลิกก่อนแท้ๆ ทำไมตอนนี้ถึงได้เกิดบ้าปล่อยข่าวลือเสียๆ หายๆ ออกมาแบบนี้กันล่ะ รู้สึกโคตรไม่ยุติธรรมเลยว่ะ”
ซองจูพูดเช่นนั้น ก่อนจะแอบเหลือบมองคนข้างๆ ตั้งแต่เมื่อครู่แล้วที่เขารู้สึกไม่สบายใจกับสีหน้าที่ดูเคร่งเครียดขึ้นของจองอู ไม่รู้ว่าอีกคนจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจความรู้สึกของซองจูในตอนนี้ จองอูก้มหน้ากอดอกอย่างคิดหนัก พอเห็นแบบนั้นมันทำเอาเขารู้สึกคอแห้งขึ้นมาเสียเฉยๆ
“มินซิก ช่วยไปเอาน้ำมาให้หน่อยสิ”
“อ้า ครับ พี่จะเอาอะไรไหมครับ”
“หือ ไม่ล่ะ”
จองอูเงยหน้าขึ้นมาด้วยความตกใจกับการถูกเรียกหาอย่างกะทันหัน มินซิกยกยิ้มออกมาก่อนจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วก้าวฉับๆ ไปทางห้องครัว ซองจูเมื่อเห็นแผ่นหลังเล็กๆ นั่นออกไปไกลแล้ว จึงได้หันไปทางจองอูอย่างเงียบๆ
“ไม่ต้องสนใจหรอก”
“หือ?”
“ข่าวลือน่ะ ยังไงก็ไม่ใช่เรื่องจริงอยู่แล้ว อีกไม่นานก็คงออกไปข้างนอกได้เหมือนเดิม”
“อื้อ ก็นะ มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉันอยู่แล้ว ไม่เป็นไรหรอก”
คำพูดเหมือนไม่คิดอะไรของจองอู จู่ๆ ก็ทำให้ซองจูเกิดรู้สึกใจหายวาบขึ้นมาเสียอย่างนั้น
มันก็ถูกอย่างที่อีกคนพูด เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคิมจองอูเลยสักนิด กลับกัน เขาควรจะต้องขอโทษอีกคนด้วยซ้ำ ที่ทำให้ต้องมาถูกกักบริเวณทั้งๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยแบบนี้ คำพูดเหมือนเราไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันที่ออกมาจากปากของอีกคน มันเป็นความจริงที่แทงใจเขาจนสะเทือนใจอย่างแรง
มันทำไมกันนะ ใจที่ว้าวุ่นยังไม่ทันได้สงบลง มินซิกก็ถือแก้วน้ำเดินกลับเข้ามา
“พี่ครับ น้ำมาแล้วครับ!”
“หา? อ้า อ้อ ขอบใจ”
เขารับแก้วน้ำเย็นใส่น้ำแข็งมาจากมินซิกด้วยความงุนงง ก่อนจะยกมันขึ้นดื่มอึกหนึ่ง แต่ทว่ามันไม่ได้ช่วยให้ใจที่ร้อนรุ่มกระวนกระวายสงบลงเลย
“ถ้างั้นผมกลับก่อนนะครับ ยังไงซะอยู่ที่นี่นานๆ คงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะช่วงนี้ยังมีหลายๆ ฝ่ายคอยติดต่อเข้ามาตลอด ยังไงคงต้องปิดโทรศัพท์เอาไว้สักพัก…ถ้ามีเรื่องอะไรผมจะรีบติดต่อมานะครับ ช่วงนี้ก็พักผ่อนไปก่อนนะครับ”
“รู้แล้ว กลับไปที่บริษัทก็ฝากบอกพี่ดงฮยอนด้วยว่า ถ้าได้เรื่องอะไรบ้างแล้ว ให้เขาติดต่อมาหาฉันด้วย ขืนฉันโทรไปเองคงจะไม่ยอมรับโทรศัพท์แน่”
“ครับ รับทราบครับ ยังไงก็ห้ามออกไปจากห้องโดยเด็ดขาดเลยนะครับ! แล้วก็อย่ารับพวกเบอร์แปลกที่โทรเข้ามาด้วยนะครับ!”
“เข้าใจแล้ว ไอ้เจ้านี่ ไม่ต้องกังวลไปหรอกน่า รีบไปได้แล้ว ฉันจะไม่ไปใกล้ประตูหน้าห้องแน่”
“ครับ พี่จองอู ผมไปแล้วนะครับ”
“อื้อ ไว้เจอกัน”