ทันทีที่จีฮุนตอบกลับมาด้วยคำพูดที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรแบบนั้น ก็ทำให้เขาเกิดความรู้สึกคัดค้านขึ้นมาบ้าง แต่จะให้แย้งออกไปตอนนี้ มันจะมีประโยชน์อะไรกันล่ะ ซองจูจึงได้แต่นิ่งเงียบไว้ ถึงอย่างไรคนที่ขี้ขลาดที่สุดในความสัมพันธ์นี้ มันก็คือตัวเขานั่นล่ะ
“ถ้างั้นที่เอามาคืนให้ มันหมายความว่าไงล่ะ ให้มาสอดแนม เพราะฉันใช้ชีวิตอยู่ดีกินดีมีความสุขงั้นเหรอ”
เสียงพึมพำแผ่วเบานั่นทำให้จีฮุนหน้าบูดบึ้งขึ้นมา คิดดูแล้ว แม้จะไม่ได้มีจิตใจคิดร้ายอะไรแบบนั้นเลยเสียทีเดียว แต่จะให้ทำท่ายอมรับก็คงจะเป็นไปไม่ได้
“คงอยากจะบอกว่า รีบๆ ทิ้งผมไปซะล่ะมั้ง”
“อะไรนะ?”
ที่เขาได้ยินนี่มันอะไรกัน ซองจูแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เมื่อได้ยินคำพูดที่เหนือความหมายนั่นด้วยตัวเอง
“แล้วก็คงอยากจะบอกต่อว่าคุณต้องปล่อยผมไป ถึงจะสามารถเดินหน้าต่อไปได้ แล้วต่อไปได้โปรดช่วยดูแลคนๆ นั้นให้ดีด้วย”
ซองจูไม่อาจเอ่ยคำใดออกมาได้ เขานั่งอยู่ริมโซฟา ได้แต่ทอดสายตามองกระเป๋าสตางค์ที่เซจองทิ้งไว้ให้เท่านั้น
ภาพของเซจองในอดีตที่กำลังแสดงความโกรธเกรี้ยวต่อเขา ภาพที่เขาซ่อนมันไว้ภายในใจผุดวาบขึ้นมา แม้จะรู้ดีว่าเขาไม่สามารถหวนกลับไปในช่วงเวลานั้นได้แล้ว แต่พอนึกถึงเซจองขึ้นมา เขาก็ยังคงรู้สึกเสียใจอยู่ดี สิ่งที่เขาทำให้ไม่ได้นั้น มันมีมากมายกว่าสิ่งที่เขาได้ทำให้อีกคนได้เสียอีก แม้จะบอกออกไป มันก็ไม่มีสิ่งใดกลับคืนมาได้อีกแล้ว ตอนนี้เขาไม่ได้แกล้งไม่ยอมรับเหมือนเช่นเมื่อก่อน แต่เพราะปฏิเสธความรู้สึกนั้นไปตั้งแต่ต้น จึงทำให้จิตใจที่เจ็บปวดนั้นไม่อาจเดินต่อและถูกแช่แข็งไปเช่นนั้น
ไม่ว่าจะคบหากับใคร เขาก็ไม่สามารถลืมเซจองได้ ก่อนที่เขาจะได้พูดว่า ‘งั้นเหรอ’ เป็นคำบอกลาที่แสนสั้นนั้น เขารู้ดีอยู่แล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างเรามันไม่เหมือนเดิม ดังนั้นแม้เขาจะตัดสินใจปล่อยเซจองจากไป แต่ภายในใจลึกๆ แล้ว มันกลับร่ำร้องคัดค้านไม่ให้ปล่อยอีกคนไป
การกระทำที่ขัดแย้งกับหัวใจ ความสัมพันธ์ที่เหมือนแถบเมอบีอุส[1]นั้น ตอนนี้เขาตระหนักได้แล้วว่ามันถึงเวลาที่ต้องปล่อยมือจากกันไปเสียที อย่างที่จีฮุนได้พูดเมื่อครู่ การได้เห็นท่าทีไม่ยอมแพ้และยึดติดเช่นนั้น มันช่างน่าสมเพช ซองจูพยักหน้าอย่างเงียบๆ
“คำพูดนั้น หมายความว่าตอนนี้ เซจองก็จะทิ้งฉันด้วยใช่ไหม”
“ใช่แล้ว”
คนที่ยินดีกับความจริงข้อนั้นที่สุดก็คือคิมจีฮุนนี่แหละ แล้วซองจูก็ได้ตระหนักอีกว่า ผู้ชายตรงหน้าเขาคนนี้ เป็นคนที่อำมหิตอย่างที่สุด
ตลอดเวลาสี่ปี คนที่เขากอดเก็บเอาไว้ยังคงเป็นเศษเสี้ยวของคนรักเก่าที่ฝังอยู่ในซอกหลืบของความรู้สึก แม้ว่าอีกคนจะรับรู้เรื่องนั้น แต่ก็ยังยอมให้เขาได้กอดเก็บมันไว้ เหมือนกับว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้น และท้ายที่สุดคนนั้นก็มาถึงที่นี่ด้วยตัวเอง เพื่อกระชากสิ่งที่เขาโอบกอดไว้แล้วโยนมันทิ้งไป ความจริงนี้ทำให้ซองจูถึงกับรู้สึกขนลุกขึ้นมา เขาไม่อยากที่จะต้องมาพัวพันกับคนแบบคิมจีฮุนเลยสักนิด
“เอาล่ะ ตอนนี้มันจบแล้ว แต่ฉันไม่เอากระเป๋าใบนี้ไปด้วยแน่ ฝากนายจัดการให้เรียบร้อยด้วยก็แล้วกัน”
“ฉัน? นั่นไม่ใช่สิ่งที่เซจองต้องการสักหน่อย”
“ถ้าฉันยังเก็บกระเป๋านี่เอาไว้ อาจจะเป็นเรื่องขึ้นมาก็ได้”
เพราะการโต้กลับอย่างเจ็บแสบของซองจู ทำให้ใบหน้าที่เรียบเฉยของจีฮุนเริ่มตึงขึ้นมาทีละนิด
“จะทิ้งก็ทิ้งกับมือนายเองสิ มันคือของแทนความรู้สึกนี่ โยนเรื่องมาให้ฉันแล้วตัวเองก็หนีไป มันใช้ได้เหรอ?”
“นี่”
“ถ้าไม่อยากฟังก็จัดการซะ เอาไป”
จีฮุนเดินออกไปด้วยท่าทางราวกับไม่อยากทนฟังคำพูดไร้สาระอะไรอีกต่อไปแล้ว นั่นทำให้ซองจูเกิดความรู้สึกกลัดกลุ้มขึ้นมา เขาไม่ได้อยากจะเอากระเป๋านี่ไปด้วย แต่ว่าทำแบบนั้นก็เหมือนเมินเฉยต่อความรู้สึกของเซจอง อย่างที่จีฮุนพูดไว้นั่นแหละ ถึงไม่แน่ใจว่าในอนาคตจะได้เจอกันอีกหรือไม่ แต่เขาก็ไม่ได้อยากให้มันจบลงด้วยวิธีนี้
แต่ว่ากระเป๋าใบนั้นมันหนักเหลือเกิน
ความรู้สึกที่บรรจุอยู่ในนั้นมันช่างหนักหนาและเกินกำลังที่เขาจะรับได้ ความรู้สึกที่ไม่สามารถปล่อยมันไปได้นั้น ไม่อยากจะคิดเลยว่าตลอดทางที่กอดเก็บมันเอาไว้จะต้องทนเจ็บปวดและทรมานมากแค่ไหนกัน ดังนั้นซองจูจึงได้แต่นิ่งค้างอยู่หน้ากล่องใบนั้นอย่างไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไร ก่อนจะหลับตาทั้งสองข้างลง
“ฉันขอตัวก่อน ถ้าเป็นไปได้ก็อย่ามาเจอกันอีกเลย ถือว่าขอร้องก็แล้วกัน”
จีฮุนทิ้งท้ายความต้องการที่ไม่มีทางเป็นได้นั้นไว้แล้วจึงเดินจากไป ทันใดนั้นซองจูก็พรั่งพรูลมหายใจออกมาด้วยท่าทางอย่างคนที่แหลกสลาย
“เฮ้อ…จบแล้วสินะ”
แทบจะในเวลาเดียวกันกับที่เอ่ยประโยคนั้นออกมา เขารีบคว้าฝากล่องนั่นมาปิดเอาไว้ ไม่สำคัญอีกแล้วว่าจะจัดการกับกระเป๋าสตางค์ใบนั้นอย่างไรต่อไป ก่อนอื่นต้องรีบเอามันออกไปให้พ้นจากสายตาเสียก่อน
ซองจูรู้สึกว่าตัวเขาอ่อนล้าเหลือเกิน
ปัง!
ประตูเหล็กที่ปิดกระแทก ส่งเสียงดังสนั่นออกมา แม้เสียงนั่นจะทำให้เจ็บจี๊ดที่หู แต่ซองจูก็ไม่ได้ใส่ใจ ก้าวเดินฉับๆ เข้าไปภายในห้องชุด
ไม่รู้เหมือนกันว่าเขามีสติขับรถกลับมาถึงที่นี่ได้อย่างไร เขาเองยังรู้สึกทึ่งกับตัวเองมากๆ มือที่จับส่วนบนของถุงกระดาษสีดำเอาไว้ เขาขยุ้มอย่างแรงจนมันยับย่น ขณะที่เท้าหนักๆ ก้าวไปข้างหน้าแต่ละก้าวนั้น พาลเตะสะเปะสะปะไปทั่วตลอดทางที่เดินผ่าน
ทันทีที่วางถุงกระดาษลงบนโต๊ะ เขาก็ถอดเสื้อโค้ทที่สวมอยู่ออกก่อนจะโยนไปพาดไว้บนโซฟา ปลดกระดุมตรงคอปกของเสื้อเชิ้ตที่ถูกรีดจนเรียบออกด้วยความอึดอัด รวมไปถึงกระดุมตรงแขนเสื้อด้วย ซองจูสูดหายใจเข้าออกอย่างทรมาน
แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังไม่อาจควบคุมความโกรธที่ตีตื้นขึ้นมาจนแทบจะสำรอกมันออกมา เขาจึงได้รีบพุ่งตัวไปทางห้องครัว เพราะซองจูเป็นคนโมโหง่ายจึงมักจะมีถุงน้ำแข็งเตรียมเผื่อไว้เสมอ เขาแกะมันออกแล้วเทใส่ลงในแก้ว จากนั้นจึงนำไปเติมน้ำจากที่กดน้ำตรงตู้เย็นในโฮมบาร์ การออกแรงด้วยมือที่สั่นเทาเช่นนี้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด และเพราะมือที่ยังคงสั่นอยู่ก็ทำให้เขาผลักหัวก๊อกไปผิดทาง ซ้ำร้ายน้ำที่ล้นออกจากมือยังหกกระจายไปทั่ว ทำให้พื้นหน้าตู้เย็นตอนนี้กลายสภาพเป็นทะเลขนาดย่อมไปเสียแล้ว
“เวรเอ๊ย บ้าชะมัด…”
ซองจูที่สบถออกมาเสียงเบาด้วยความกระวนกระวายใจ ทันใดนั้นมือของเขาก็ถูกมืออบอุ่นคว้าไปจับเอาไว้อย่างเงียบๆ
“พอเถอะ เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
จองอูนั่นเอง ไม่รู้ว่าอีกคนโผล่มาจากไหน ฝ่ายนั้นถอนหายใจออกมาแผ่วเบา ก่อนท่อนแขนยาวและแข็งแกร่งนั่นจะโอบประคองตัวของซองจูที่กำลังสั่นเทาไว้ ส่วนมืออีกข้างก็ทาบทับลงมาบนมือของเขา แล้วค่อยๆ ยื่นแก้วเข้าไปรองรับน้ำจากที่กดน้ำ
น้ำที่เอ่อล้นออกจากแก้วไหลไปตามมือที่สั่นเทาเรื่อยไปจนถึงพื้นเบื้องล่าง แม้จะยืนอยู่ท่ามกลางน้ำเจิ่งนอง แต่ทั้งคู่ต่างก็ไม่มีมีใครใส่ใจกับความเป็นจริงนั้น สำหรับจองอู สิ่งที่ต้องสนใจเป็นอันดับแรกก็คือซองจู เขาประคับประคองตัวของอีกคนเอาไว้ พร้อมกับตบเบาๆ ลงไปบนหลังอย่างปลอบโยน ซองจูที่เหมือนถูกกอดเอาไว้ในอ้อมแขนใช้สองมือสั่นเทาประคองแก้วขึ้นมา ก่อนจะดื่มน้ำเย็นในแก้วเข้าไป
“เฮ้อ…”
น้ำเย็นที่ไหลผ่านลำคอเข้าสู่ร่างกายทำให้อุณหภูมิเย็นวาบของมันแผ่ไปทั่วร่าง ในตอนนั้นเองเขาถึงได้รู้สึกว่าหายใจได้โล่งขึ้น แล้วจู่ๆ ร่างกายของซองจูก็หมดแรงเอาเสียดื้อ ๆ
“เดินไหวไหม”
เมื่อจองอูที่ประคองร่างโงนเงนอยู่นั้นเอ่ยถามขึ้นมา ซองจูจึงได้พยักหน้าอย่างอ่อนแรงกลับไป จองอูเชื่อคำพูดอีกฝ่ายจึงค่อยๆ คลายอ้อมแขนออก แต่ไม่ทันไรก็ต้องเข้าไปคว้าร่างของซองจูที่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ดันลื่นน้ำที่เจิ่งนองบนพื้น สุดท้ายจองอูก็ทำเพียงถอนหายใจออกมาก่อนจะเอ่ยถามอีกฝ่าย
“จะไปไหน เดี๋ยวพาไป”
“…ไปห้อง”
“ห้องนอน?”
“อือ”
ทันทีที่บทสนทนาแสนสั้นจบลง จองอูซึ่งประคองร่างของซองจูเอาไว้ จึงค่อยๆ ก้าวไปทีละก้าวอย่างเชื่องช้า หากเป็นเวลาปกติซองจูคงได้แสดงท่าทีหงุดหงิดรำคาญใจออกมาแล้ว แต่เวลานี้เจ้าตัวเพียงก้าวเดินไป ทั้งที่ยังคงอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างสงบเสงี่ยม นั่นทำให้เขารู้สึกประหลาดใจไม่น้อย แน่นอนว่าจองอูไม่ได้พูดมันออกมา เพราะถ้าหากทำอย่างนั้นแล้ว ซองจูคงจะไม่นิ่งเฉยอยู่แบบนี้แน่ แต่มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร เขากลับดีใจเสียด้วยซ้ำที่อีกฝ่ายยอมพึ่งพาเขาแบบนี้ ทั้งเขายังต้องคอยบังคับริมฝีปากที่มันคอยแต่จะสัมผัสลงไปบนเส้นผมซองจูที่อยู่ในระยะสายตาของเขาตอนนี้อีกด้วย
ผมของซองจูต่างจากเขาที่มีผมสีดำสนิท เส้นผมสีสว่างที่เขาคิดว่ามันช่างเหมือนกับผู้เป็นเจ้าของ แล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะยกมืออีกข้างที่ว่างลูบศีรษะของอีกคน ในตอนนั้นเองน้ำเสียงแข็งทื่อก็ร้องท้วงขึ้นมาในทันที
“เอามือออกไป”
การตอบรับที่ไม่ต่างจากปกติ ทำเอาจองอูถึงกับหัวเราะเบาๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัว ร่างกายที่สั่นไหวของอีกคนที่ประคองตัวเองเอาไว้ทำให้ซองจูรู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายที่สั่นระริกของเขามันค่อยๆ สงบลง และอีกไม่กี่ก้าวต่อมา พวกเขาก็เดินมาถึงหน้าห้องนอนโดยไม่ทันได้รู้ตัว
“ให้พาไปส่งถึงข้างในเลยไหม”
แม้จะถามออกมาตามมารยาท แต่ทว่าแรงพยุงที่แขนนั้นมันกลับไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย ถึงแม้จะปฏิเสธออกไปแต่ซองจูก็รู้สึกได้นิดๆ ว่า อย่างไรเสียอีกคนก็คงดึงดันจะพาเข้าไปส่งถึงข้างในอยู่ดี จึงได้แต่พยักหน้ารับอย่างอ่อนแรงออกไป
“อย่ามาบ่นทีหลังก็แล้วกัน”
“ไม่ได้เป็นพวกที่ชอบกลับคำพูดซะหน่อย”
ทันทีที่ได้รับคำตอบห้วนๆ กลับมา เท้าที่หยุดชะงักลงเมื่อครู่ก็เริ่มก้าวเดินต่อ ซองจูที่พักพิงร่างกายไว้กับอีกฝ่าย ก้าวเดินเข้ามาถึงภายในห้องอย่างเลื่อนลอย ด้วยการเคลื่อนไหวที่สม่ำเสมอเหมือนกับจังหวะการเต้นของหัวใจ
หลังจากที่จองอูพยุงซองจูนั่งลงบนเตียงแล้ว เจ้าตัวก็เดินออกจากห้องไปเงียบๆ เมื่ออีกคนออกไปจากห้องแล้ว สักพักหนึ่งก็มีเสียงเท้าย่ำลงบนน้ำดังขึ้นมา ในตอนนั้นเองซองจูจึงรู้ว่าจองอูกำลังจัดการทำความสะอาดพื้นห้องครัวที่มีน้ำเจิ่งนองเหมือนแม่น้ำฮันขนาดย่อมนั่นอยู่
“นี่ เดี๋ยวฉันจะทำ…”
ซองจูตะโกนเสียงสูงออกไป แล้วก็ต้องตกใจออกมา เมื่อจู่ๆ ก็เหมือนมีมวลความหนาวเย็นถาโถมเข้ามา ดูท่าว่าคงจะไข้ขึ้นอย่างแน่นอน
เขาเอื้อมมือที่สั่นเทาไปคว้าผ้าห่มมาพันรอบตัว ตั้งแต่เด็กๆ แล้ว หากไม่สามารถควบคุมอารมณ์โกรธได้ เขาก็มักจะเป็นเช่นนี้เสมอ ต่อหน้าพ่อแม่เขาไม่สามารถแสดงอารมณ์โกรธออกมาได้ พอลองพยายามที่จะผ่อนคลาย สุดท้ายจึงจบด้วยการเจ็บป่วยเช่นนี้ เวลาเป็นแบบนี้ทีไร ซองฮีมักจะเรียกมันว่า ‘อาการคลุ้มคลั่งกำเริบ’ พ่อแม่มักจะคิดว่าซองจูแค่ร่างกายอ่อนแอ แต่ว่าซองฮีที่รู้สาเหตุที่แท้จริงของอาการป่วยนี้ มักจะส่งเสียงเฮอะลับหลัง พาลให้ความโกรธของซองจูทวีคูณขึ้นไปอีก ซึ่งนั่นมันก็ผ่านมาเนิ่นนานมาก จนเหลือเพียงแค่ความทรงจำเท่านั้น แล้วน้ำเสียงทุ้มต่ำของจองอูก็ดังขึ้นที่ข้างหู ในขณะที่ตัวเขานั้นยังห่อหุ้มร่างกายด้วยผ้าห่มผืนบาง
“เสื้อเอาไปเก็บที่ห้องแต่งตัวให้แล้วนะ อันนี้จะให้วางตรงไหน ถุงกระดาษมันขาดแล้ว ก็เลยเอาไปไว้ตรงที่ทิ้งขยะ จะให้ไปเอากลับมาไหม”
[1] แถบเมอบีอุส พื้นผิวชนิดหนึ่ง ซึ่งมีด้านเพียงด้านเดียวและมีขอบเพียงข้างเดียว สิ่งที่น่าสนใจทางคณิตศาสตร์ก็คือ ไม่ว่าเราจะเลือกสองจุดใดๆ บนแถบ เราสามารถที่จะลากเส้นเชื่อมต่อสองจุดนั้นได้โดยที่ไม่ต้องยกปากกาหรือว่าลากเส้นผ่านขอบ