EP.162 คันศรกลืนปีศาจ
ทางฝั่งหลังเขา ต้นสนหลายต้นเริ่มโผล่หลังหิมะละลาย ต้นเมเปิลที่ยังไม่แห้งเหี่ยวปรากฏใบสีแดงเพลิงให้ความรู้สึกถึงฤดูใบไม้ผลิท่ามกลางลมหนาว
กองทหารองครักษ์อวี้หลินจับอาวุธและเดินเข้าไปสำรวจภายในถ้ำ และรายงานกลับมา “ไม่มีสิ่งใดในถ้ำขอรับ”
“เยี่ยมมาก”
เมื่อแร่ต่างๆ ที่เตรียมไว้ถูกนำไปเก็บไว้ข้างในตามคำสั่งแล้ว หลินมู่อวี่จึงเข้าไปในถ้ำลำพัง และให้ฉู๋หว๋ายเหมี่ยนเฝ้าทางเข้าไว้ พื้นที่ในถ้ำกว้างขวาง มีแอ่งน้ำเล็กๆ ที่สามารถใช้เพื่อแช่อาวุธหลังหลอมเสร็จได้ หลินมู่อวี่เสียบคบเพลิงไว้กับผนังและนำแร่ที่เตรียมไว้ออกมาทีละชิ้น
หลินมู่อวี่เริ่มต้นด้วยการแปรธาตุก่อน ซึ่งต้องใช้พลังและปราณยุทธ์อย่างมหาศาล
หลินมู่อวี่ที่คุ้นชินกับการปรุงโอสถฝันคืนสู่สูงสุดเป็นอย่างดี ไม่ถึงชั่วโมงเขาก็ปรุงโอสถสี่สิบขวดสำหรับจินเสี่ยวถังได้สำเร็จ และปรุงเก็บไว้ใช้เองอีกเจ็ดขวด เมื่อออกจากถ้ำก็พบฉู๋หว๋ายเหมี่ยนกำลังแกว่งดาบฮัมเพลงรอเขาอยู่ สหายผู้นี้ค่อนข้างมีรสนิยม เป็นที่ชื่นชอบของหญิงสาว ไม่เหมือนฉินเหลยและเฟิ้งจี้สิง
“อาอวี่…เจ้าหลอมอาวุธเสร็จแล้วหรือ?” ฉู๋หว๋ายเหมี่ยนประหลาดใจ
“เรียบร้อยแล้วขอรับ” หลินมู่อวี่ยิ้ม “ทว่าเสร็จเพียงโอสถยังไม่ได้เริ่มหลอมอาวุธขอรับ”
หลินมู่อวี่หยิบโอสถฝันคืนสู่สูงสุดเจ็บขวดออกมา ก่อนจะยิ้มและกล่าว “ท่านพี่ฉู๋ ท่านรู้จักสิ่งนี้หรือไม่?”
“มันคือ…โอสถฝันคืนสู่สูงสุดใช่หรือไม่? ฉู๋หว๋ายเหมี่ยนเป็นคนรอบรู้ เพียงสังเกตเล็กน้อยก็บอกได้ทันทีว่าโอสถวิเศษขวดเล็กๆ นี้คือสิ่งใด
หลินมู่อวี่พยักหน้าและยิ้มตอบ “ถูกต้องแล้วท่านพี่…มันคือโอสถฝันคืนสู่สูงสุดที่ใช้กับการเรียนรู้ได้อย่างดีเยี่ยม เพียงหลับไปสามวันจะเทียบเท่ากับการฝึกถึงสามปี ข้าทำไว้ให้ท่านพี่ ท่านเฟิงจี้สิง ท่านฉินเหลย องค์หญิงฉินอิน รวมไปถึงเว่ยโฉว ท่านพี่ฉู่เหยาและเสี่ยวซีด้วย แต่โอสถนี้สามารถใช้ได้เพียงคนละครั้งเท่านั้น จงคิดให้ถี่ถ้วนก่อนจะใช้มัน”
“เช่นนั้นหรือ?”
ฉู๋หว๋ายเหมี่ยนเผยท่าทีตื่นเต้น “อาอวี่…เจ้ารู้หรือไม่ว่าท่านเฟิงจี้สิงและท่านฉินเหลยนั้นติดอยู่ขั้นสูงสุดของขอบเขตเทวะชั้นที่หนึ่ง บางทีโอสถฝันคืนสู่สูงสุดของเจ้าอาจช่วยพวกเขาผ่านไปถึงชั้นสองได้เสียที เจ้าช่วยพวกเขาได้ทันเวลา เพราะตอนนี้พวกเสินเวยช่างเหิมเกริมนัก!”
หลินมู่อวี่พยักหน้ารับ “อืม…ปัญหาคือเมื่อใช้แล้วต้องหลับใหลไปถึงสามวัน ดังนั้นคนที่ยังตื่นอยู่ต้องกะเวลาให้เหมาะสม มิเช่นนั้นแผนการเราได้พังเป็นแน่”
“ข้ารับปากว่าจะทำให้รอบคอบ”
“อืม…เช่นนั้นข้าขอตัวไปหลอมอาวุธต่อขอรับ”
“ไปเถิด…ข้าจะคอยเฝ้าจนกว่าเจ้าจะแล้วเสร็จเอง”
หลินมู่อวี่หยิบศิลาวิญญาณจากเสื้อออกมาเพื่อเริ่มทำการหลอมอาวุธ ศิลาที่ดีที่สุดที่เขามีอยู่เป็นธาตุอัสนีอายุแปดพันเจ็ดร้อยปี การจะต่อกรกับยอดฝีมือได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับศิลาก้อนนี้ หลินมู่อวี่มองกระบี่เหลียวหยวนของตนที่หลอมด้วยศิลาอัคคีอายุเก้าพันปีอยู่ ซึ่งแข็งแกร่งกว่าศิลาก้อนนี้มาก เขาจึงต้องใช้เหล็กนิลหมื่นปีที่อยู่ตรงหน้าแทนเหล็กนิลธรรมดา และต้องใช้ไฟหลอมและปราณยุทธ์ของเขาอย่างมาก
หลินมู่อวี่เคยใช้ติ่งหลอมยักษ์และไฟปฐพีระดับสามในการสร้างกระบี่เหลียวหยวนขึ้น แต่ตอนนี้เขาใช้ไฟโลกันต์ระดับห้าได้แล้ว อาวุธที่หลอมต้องมีคุณภาพแตกต่างจากเดิมมากเป็นแน่
ด้วยพลังแห่งอัสนีอันรุนแรงนี้เหมาะจะหลอมอาวุธที่แข็งแกร่ง…เช่นหอกยาว!
การรบบนหลังม้าหอกยาวถือเป็นราชันย์ในบรรดาอาวุธทั้งหลาย ไม่เพียงเท่านั้นยิ่งหอกระดับสูงยิ่งขายได้ราคาดีนัก
หลินมู่อวี่เรียกติ่งหลอมยักษ์ออกมา และใส่เหล็กนิลหมื่นปีราวหนึ่งร้อยปอนด์ลงไป เหล็กนิลค่อยๆ ลอยขึ้นขณะที่หลินมู่อวี่ปล่อยปราณยุทธ์ ไฟในติ่งหลอมเริ่มโหมกระหน่ำและหลอมละลายเหล็กนิลหมื่นปี หลินมู่อวี่สัมผัสได้ถึงความรู้สึกประหลาดจากเหล็กนิลราวกับมันกำลังตื่นเต้นที่จะได้เกิดใหม่
ใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วโมงในการหลอมเหล็กนิลหมื่นปี กระทั่งเกิดประกายไฟปลิวว่อน สิ่งสกปรกถูกชำระจนสิ้น หลินมู่อวี่ใช้เวลาอีกราวสิบนาทีกว่าจะแล้วเสร็จ ในที่สุดเหล็กนิลหมื่นปีก็ถูกเปลี่ยนเป็นของเหลวสีแดงเพลิงอยู่ในติ่งหลอมยักษ์พร้อมสำหรับการสร้างอาวุธใหม่!
หลินมู่อวี่โยนศิลาวิญญาณอัสนีลงไปในเตาหลอม ไฟโลกันต์โหมกระหน่ำ ไม่นานเปลือกศิลาชั้นนอกก็แตกออก!
“โฮก!”
ทันใดนั้นอสูรร่างคล้ายมังกรอัสนีปรากฏกายออกมาจากศิลาวิญญาณ! ลู่ลู่ส่งเสียงเตือนในหัวหลินมู่อวี่ว่า “ท่านพี่…หากท่านพบอสูรอัสนีบาต จงระวังตัวให้ดี…พลังอัสนีของมันรุนแรงยิ่งนัก!”
อย่างที่คาดอสูรอัสนีบาตแยกเขี้ยวและเข้าจู่โจม! สายฟ้าสีม่วงถูกรวบรวมไว้ที่ปากอันมหึมา! มันพร้อมสังหารหลินมู่อวี่แล้ว!
หลินมู่อวี่ที่กำลังควบคุมติ่งหลอมอยู่ จะปล่อยให้อสูรมังกรมาทำพังไม่ได้! หลินมู่อวี่พุ่งเข้าจู่โจมอสูรโดยพลัน!
‘สามประทีปทรกรรมชีวี!’
“เปรี้ยง!”
อสูรอัสนีบาตแหลกสลายทันทีหลังถูกโจมตี วิญญาณอสูรจากศิลาที่มีพละกำลังเพียงครึ่งเดียวของตัวจริงทั้งยังอยู่ในติ่งหลอม…ย่อมมิอาจทนการโจมตีของสามประทีปได้
วิญญาณอสูรอัสนีบาตที่น่าเวทนาครวญครางและรวมเข้ากับเหล็กหลอม ลู่ลู่นำหอกยาวหลากรูปแบบออกมาให้เลือก หลินมู่อวี่เลือกอันที่ดูแข็งแกร่งที่สุด พลังงานรายล้อมค่อยๆ รวมเข้าไปในแม่พิมพ์จากติ่งหลอม เมื่อเหล็กหลอมและวิญญาณยุทธ์ผสานเข้ากับแม่พิมพ์ หอกยาวจึงปรากฏเป็นรูปร่าง!
ทว่ายังไม่แล้วเสร็จ…เมื่อหอกเย็นลง หลินมู่อวี่เริ่มสร้างคมปลายหอกที่ต้องรับการปะทะมากที่สุดด้วยไฟโลกันต์ เนื่องจากเขาไม่มีทางรู้ว่ามันจะหักลงเมื่อใด หากต้องทำการฟาดฟัน หักกระดูกหรือทะลวงเกราะ!
หลินมู่อวี่ค่อยๆ ปล่อยฌานสัมผัสด้วยทักษะชีพจรวิญญาณ เมื่อฌานเข้าใกล้กับคมหอก หลินมู่อวี่รู้สึกเหมือนตนกำลังใช้กล้องจุลทรรศน์ซึ่งช่วยเพิ่มความแม่นยำในการสร้างอย่างมาก เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าทักษะชีพจรวิญญาณจะสามารถนำมาใช้กับงานสร้างได้ดีเช่นนี้
กระบวนการหลอมอาวุธใช้เวลาร่วมสามชั่วโมง ในที่สุดการหลอมหอกยาวก็เสร็จสิ้น!
“ซ่า…”
กลุ่มไอน้ำพวยพุ่งออกมาจากตัวหอกที่ถูกนำไปแช่น้ำ หลินมู่อวี่รีบดึงหอกขึ้นจากน้ำมาตรวจสอบน้ำหนัก ตัวหอกมีความคงทนดีเพราะด้านในกลวง มิเช่นนั้นหากด้ามตันหมดมันจะดูเป็นแหลนเสียมากกว่า หลินมู่อวี่นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ตั้งชื่อให้อาวุธตน จึงเริ่มใช้ไฟโลกันต์อีกครั้งเพื่อสลักชื่อ…หอกอัสนีโลกันต์!
ช่างเป็นชื่อที่ดี…หอกสายฟ้าที่หลอมด้วยไฟโลกันต์
หลินมู่อวี่หยุดพักก่อนจะเริ่มหลอมอาวุธชิ้นต่อไป
อาวุธชิ้นที่สองจะใช้ศิลาวิญญาณน้ำแข็งอายุหกพันสี่ร้อยปีในการหลอม หลินมู่อวี่ครุ่นคิดก่อนตัดสินใจสร้างเป็นกระบี่รบ แม้ส่วนตัวจะไม่ชอบกระบี่นัก ทว่ามันเป็นอาวุธที่ถูกใช้มากที่สุดในสนามรบ เมื่อสู้รบ กระบี่ไม่เพียงแต่พุ่งจู่โจม แต่ยังสามารถพลิกแพลงได้มากกว่าดาบ ซึ่งเหมาะกับทหารในสงครามอย่างยิ่ง
หลินมู่อวี่เริ่มทำการหลอมเหล็กนิลหมื่นปีที่เป็นขั้นตอนพื้นฐานในการหลอมอาวุธอีกครั้ง ตามด้วยหลอมศิลาวิญญาณซึ่งในครั้งนี้ง่ายกว่าครั้งก่อนหน้า เมื่อวิญญาณอสูรปรากฏตัว เขาใช้เพียงประทีปที่หนึ่งก็จัดการได้แล้ว ก่อนจะหลอมต่อจนสำเร็จ
หลินมู่อวี่เลือกแม่พิมพ์กระบี่รบที่ดูทรงพลังมาก ส่งผลให้ตัวกระบี่มีน้ำหนักมากกว่าร้อยปอนด์ มันมีสีฟ้าใสที่มาจากการหลอมศิลาน้ำแข็งเข้าไปจึงได้ชื่อว่า…กระบี่วิญญาณน้ำแข็ง หลินมู่อวี่ไม่ลืมสลักชื่อลงบนคมกระบี่ด้วยลายมือห่วยๆ ของตน
จนถึงตอนนี้หลินมู่อวี่เหลือปราณยุทธ์เพียงสามในสิบเท่านั้น
กว่าจะออกจากถ้ำท้องฟ้าก็มืดเสียแล้ว ฉู๋หว๋ายเหมี่ยนกำลังนั่งล้อมรอบกองไฟย่างหมูป่ากับเหล่าองครักษ์มังกร ซ่า…ซ่า…น้ำมันหมู่ป่าครึ่งตัวที่ถูกมัดย่างหยดใส่กองไฟร้อน เมื่อฉู๋หว๋ายเหมี่ยนเห็นหลินมู่อวี่เดินมา เขายิ้มและเอ่ยทัก “เจ้าออกมาได้เวลาพอดีอาอวี่ มากินหมูย่างและเหล้าอุ่นๆ กับพวกข้าสิ”
หลินมู่อวี่เหนื่อยหน่ายจนไม่ต้องการสิ่งใด เขานั่งลงข้างฉู๋หว๋ายเหมี่ยนก่อนที่ทหารองครักษ์คนหนึ่งจะปาดเนื้อหมูย่างมาให้หลินมู่อวี่ “แม่ทัพหลิน ทานสักนิดเถิดขอรับ…”
องครักษ์มังกรแม้เดิมทีจะมีศักดิ์สูงกว่าหน่วยองครักษ์อินทรีนัก แต่ด้วยความแข็งแกร่งของหลินมู่อวี่ องครักษ์มังกรจึงให้ความเคารพเขา
หลินมู่อวี่หยิบเนื้อย่างหอมๆ เข้าปากเคี้ยว พร้อมกับกระดกเหล้าไปด้วย…มันให้ความรู้สึกราวกับอยู่บนสวรรค์ เขาใช้พลังไปมากกับการหลอมหอกอัสนีโลกันต์และกระบี่วิญญาณน้ำแข็ง ดังนั้นเพียงได้กินเนื้อกับเหล้านี้ เขาก็ไม่ต้องการสิ่งใดอีก หลินมู่อวี่หัวเราะออกมาอย่างสุขสม “รู้สึกดีเสียจริง!”
ฉู๋หว๋ายเหมี่ยนหัวเราะร่วม “อาอวี่ เจ้าเป็นใครมาจากไหนจึงสามารถเรียนรู้ศาสตร์แปรธาตุและหล่อหลอมไปพร้อมกันได้ เท่าที่ข้านึกออกยังไม่มีผู้ใดสามารถทำได้เลยสักคน”
หลินมู่อวี่ไม่รู้จะตอบหรืออธิบายเช่นไร “เป็นความลับขอรับ…จะเป็นการดีกว่าหากท่านพี่ไม่รู้ รู้แค่ว่าข้าจะทำดีต่อท่านและพี่ฉู่เหยาตลอดไปก็พอขอรับ”
“พูดได้ดี! เช่นนั้นเรามากินให้อิ่มหนำเถิด!”
“ได้เลยท่านพี่!”
หลังจากเติมพลังกายและฟื้นฟูปราณยุทธ์แล้ว หลินมู่อวี่จึงกลับเข้าไปหลอมอาวุธต่อ
ศิลาวิญญาณชิ้นต่อไปคือศิลาของปีศาจหนามพิษอายุห้าพันหนึ่งร้อยปี หลินมู่อวี่คิดจะนำไปหลอมรวมกับเหล็กนิลหมื่นปีเพื่อสร้างเป็นคันธนูยาว ต่อเมื่อเสร็จแล้ว เขาจึงไปร้านค้าจักรวรรดิเพื่อซื้อเอ็นวัวมาทำสายธนูให้สมบูรณ์
หลินมู่อวี่หยิบลูกธนูจากทหารและทาบกับคันธนู ตอนปล่อยลูกธนูออกไปมีเสียง ฟู่…และพิษก็เริ่มกระจายคลุมลูกธนูไว้ ปึก…ลูกธนูปักลงบนก้อนหิน หลินมู่อวี่วิ่งไปหมายเก็บลูกธนู เขาพบว่าโดยรอบของจุดที่ธนูปักอยู่มีรอยดำคล้ายพิษกระจายไปทั่ว
คันศรนี้สามารถปล่อยพิษได้! ช่างวิเศษยิ่งนัก!
เช่นนั้นเขาจึงคิดชื่อให้คันศรนี้ว่า…คันศรกลืนปีศาจ
หลินมู่อวี่คิดอย่างถี่ถ้วน ตนไม่เหมาะจะใช้คันศรนี้ เขาจึงตัดสินใจจะมอบมันให้เว่ยโฉว เนื่องจากทักษะด้านธนูของเว่ยโฉวนั้น ในหน่วยองครักษ์หามีผู้ใดเทียบไม่ เป็นการดีแล้วที่จะมอบคันศรกลืนปีศาจให้แก่ผู้ที่คู่ควร ยิ่งไปกว่านั้นการให้คันศรนี้ต้องทำให้เว่ยโฉวอยากอยู่รับใช้เขาตลอดไปเป็นแน่