EP.160 ตั้งตารอ
หลินมู่อวี่ถอนหายใจนอนมองแมลงเต่าทองคลานไปมาบนเตียงนุ่ม ฐานของหน่วยอินทรีช่างใกล้ชิดกับธรรมชาติเสียจริง
หลินมู่อวี่เลิกสนใจเจ้าแมลงและหลับตาลง ค่อยๆ ขยายทักษะชีพจรวิญญาณออกไป
หลายวันที่ผ่านมาหลินมู่อวี่หันไปให้ความสนใจทักษะชีพจรวิญญาณที่เห็นผลดีกว่าการอ่านตำราหลอมกระดูมังกร การใช้พลังสองประทีปทำให้สิ้นเปลืองพลังวิญญาณมาก ทว่าต่อจากนี้เขาใช้มันติดกันสามครั้งก็คงไม่มีปัญหานั่นก็เพราะพลังฌานเจ็ดประทีปเป็นวิชาที่แข็งแกร่งที่สุด การฝึกด้วยชีพจรวิญญาณจึงทำได้ง่ายกว่า
ยิ่งไปกว่านั้นชีพจรวิญญาณยังเคยช่วยให้หลินมู่อวี่รอดจากเจดีย์ทงเทียนด้วย เหล่ยหงเคยกล่าวว่าผู้คิดค้นทักษะนี้เป็นคนบ้า แต่สำหรับหลินมู่อวี่มองว่าเหมือนอัจฉริยะเสียมากกว่า
ด้วยฌานสัมผัสที่แผ่ขยาย ต่อให้หลินมู่อวี่หลับตาก็สามารถเห็นพื้นที่โดยรอบได้ชัดเจนกว่าตาเห็น มีแมลงเต่าทองคลานบนหญ้า บนเพดานกระโจมมีแมงมุมสีดำโหนใยอยู่ ทั้งยังทำให้รู้อีกว่าปีนี้ฤดูหนาวจะมาเร็วกว่าปกติ ซึ่งเหล่าสัตว์ยังไม่รู้ตัวและยังไม่เข้าจำศีล พลังนี้ทำให้เขาเห็นไปไกลถึงยอดเขาอินทรีที่มีทุ่งหน้าปรากฎหลังหิมะละลาย
ไกลออก…เขาเห็นกลุ่มทหารองครักษ์อวี้หลินตั้งวงดื่มเหล้า มีกงฉวนและฉู่เจ๋งอยู่ด้วย แม้จะห่างจากที่พักของหลินมู่อวี่กว่าร้อยยี่สิบเมตร แต่ทักษะชีพจรวิญญาณยังทำงานได้อย่างดีเยี่ยมจนได้ยินชัดเจนว่าคนพวกนั้นกำลังคุยสิ่งใดกัน ช่างเป็นวิชาที่ลึกล้ำเสียจริง!
“สักวันข้าต้องเด็ดหัวมันให้ได้!” กงฉวนกระแทกแก้วไวน์ลงกับโต๊ะ
ฉู่เจ๋งพูดขึ้น “หมัดของหลินมู่อวี่รวดเร็วและทรงพลัง ไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำว่ามันทำลายเกราะปราณของข้าตอนไหน”
กงฉวนตอบ “มีเพียงสวรรค์ที่รู้ว่ามันเรียนวิชาประหลาดทั้งหมดนั้นมาจากไหน มิเช่นนั้นเราคงไม่แพ้ง่ายดายเพียงนี้ ถ้าเรื่องถึงหูท่านเจิ้งอี้ฝาน ท่านคงผิดหวังในตัวเราเป็นแน่”
ฉู่เจ๋งยิ้ม “มีสายของท่านเจิ้งอี้ฝานอยู่ทั่วเมืองหลันเยี่ยน ป่านนี้คงทราบเรื่องแล้ว ท่านพี่กงฉวนอย่าได้กังวลไป หลินมู่อวี่ยังต้องเจอกับท่านเจิ้งอี้ฝานอีกหลายครา ท่านผู้นั้นไม่ปล่อยมันไปง่ายๆ แน่นอน รอให้ท่านส่งคนฝีมือดีมาจัดการเจ้าสารเลวนั่นดีกว่า”
กงฉวนยังคงโมโห “หากมีโอกาส…ข้าอยากเป็นคนตัดหัวมันเสียเอง!”
“ข้าก็คิดเช่นเดียวกัน!”
หลินมู่อวี่ขมวดคิ้วและปล่อยพลังวิญญาณอย่างต่อเนื่อง ทว่าไม่ได้ยินเสียงของผู้ใดอีก ชัดเจนว่าระยะจำกัดอยู่ที่หนึ่งร้อยยี่สิบเมตร เพราะทักษะชีพจรวิญญาณจะกระจายตัวเป็นคลื่นแล้วสะท้อนข้อมูลกลับมา ฉะนั้นหากเกินระยะเสียงจะเลือนรางฟังไม่ออก
หลินมู่อวี่ฝึกฝนจนดึกดื่น ก่อนจะสัมผัสถึงความง่วงและหลับไป
…
เช้าวันถัดมา เมื่อหลินมู่อวี่ตื่นขึ้นก็พบสำนักวิญญาณอัคคีกำลังทำอาหารเช้าอยู่ที่ด้านนอกกระโจม
เว่ยโฉวเอ่ยถามด้วยความเคารพจากด้านนอก “ท่านแม่ทัพ ตามธรรมเนียมของรังอินทรีต้องฝึกสี่ชั่วโมงก่อนทานอาหารเช้าขอรับ”
“อืม”
หลินมู่อวี่ลุกขึ้นล้างหน้าแปรงฟัน เนื่องจากที่โลกนี้ไม่มีแปรงสีฟัน เขาจึงต้องใช้สิ่งที่เรียกว่า ‘ผงขัดฟัน’ ที่ทำมากจากพืชบดเป็นผงทำความสะอาดฟันแทน และแม้โลกนี้จะไม่มีโฟมไว้สำหรับล้างหน้า แต่ด้วยผิวหน้าของหลินมู่อวี่ดีอยู่แล้ว เขาจึงไม่ใส่ใจนัก ส่วนจางเหว่ยและเว่ยโฉวที่ไม่เคยใช้แม้แต่ผงขัดฟัน ได้แต่ยืนมองอย่างหน่ายใจ
หลังแปรงฟันเสร็จ สัมผัสวิญญาณของหลินมู่อวี่ตรวจจับใครบางคนแอบอยู่หลังที่พักของตนได้!
หลินมู่อวี่ชักกระบี่เหลียวหยวนและค่อยๆ ย่องไปด้านหลัง เขากระโดดออกไปก่อนจะพบว่ามีทหารองครักษ์อวี้หลินสวมเกราะขาวกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ สังเกตจากน้ำแข็งที่เกาะตามชุดคงอยู่ที่นี่มาสักพักแล้ว
“ท่านพี่ฉู๋หว๋ายเหมี่ยนหรือ? หลินมู่อวี่ประหลาดใจเมื่อเห็นว่าเป็นกลุ่มของฉู๋หว๋ายเหมี่ยน เหรียญตรารูปมังกรสีทอง คือสิ่งบ่งชี้ว่าเป็นกลุ่มองครักษ์มังกร
ฉู๋หว๋ายเหมี่ยนประหลาดใจเช่นกัน เข้ายิ้มและกล่าว “อาอวี่…เจ้าเห็นเราด้วยหรือ?”
หลินมู่อวี่ไม่เข้าใจ “พวกท่าน…เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่เล่า? แล้วพวกท่านมาตั้งแต่เมื่อใด…”
“พวกข้ามาตั้งแต่เมื่อคืน”
“เหตุใดข้าจึงไม่รู้สึกตัว…” หลินมู่อวี่คิดในใจ คงเป็นเพราะเขาหลับลึกเกิน ทักษะชีพจรวิญญาณจึงตรวจจับการมาของกลุ่มองครักษ์มังกรไม่ได้
รวมฉู๋หว๋ายเหมี่ยนแล้วองครักษ์มังกรที่ยืนอยู่นี้มีทั้งหมดสิบคน
หลินมู่อวี่เอ่ยถาม “ท่ายพี่ฉู๋หว๋ายเหมี่ยน มีธุระอันใดถึงมาที่รังอินทรีได้ขอรับ? มิใช่ว่าพวกท่านควรอารักขาตระกูลหยินในตำหนักเจ๋อเทียนหรือ?”
ฉู๋หว๋ายเหมี่ยนปัดน้ำแข็งออกจากบ่าก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เมื่อวานนี้เจิ้งอี้ฝานทำการเปิดศึกกับองครักษ์อวี้หลินด้วยการสังหารรองผู้บัญชาการซ่งฮั่นหยวน เป็นครั้งแรกที่เขากล้ายั่วโมโหฝ่ายเราและคงมีครั้งต่อไปเป็นแน่ ผู้บัญชาการฉินเหลยคาดการณ์ว่าเจ้าอาจเป็นรายต่อไป จึงส่งข้าและพี่น้ององครักษ์มังกรมาคุ้มกันเจ้าอย่างลับๆ แต่กลับถูกเจ้าจับได้เสียก่อน…”
หลินมู่อวี่ทั้งรู้สึกปลาบปลื้มและวิตกกังวล “ข้าเกรงว่าจะเป็นภาระต่อท่านพี่เสียมากกว่า พาทุกคนกลับตำหนักเจ๋อเทียนเสียเถิด อย่าห่วงข้าเลย ที่นี่มีองครักษ์เจ็ดสิบนายและกองทหารอีกกว่าร้อยนาย หากเจิ้งอี้ฝานจะบุกมาคงไม่ใช่เรื่องง่าย”
“ฮ่าๆ เจ้าอย่าทำให้ข้าลำบากใจเลย” ฉู๋หว๋ายเหมี่ยนหัวเราะอย่างผ่อนคลาย “เจ้าก็รู้ว่าท่านฉินเหลยพูดคำไหนคำนั้น เมื่อมอบหมายภารกิจแล้วก็ต้องทำให้เสร็จ เขาสั่งให้พวกข้ามาคุ้มกันเจ้าจนกว่าจะถึงวันบวงสรวงหน้าหนาวอีกสามวันข้างหน้า ฉะนั้นช่วยทนพวกข้าไปสักพักเถิด”
“เช่นนั้นข้าไม่ขัดข้องขอรับ…”
หลินมู่อวี่ทำหน้าจำยอมและยอมรับในสถานการณ์ตอนนี้
หลินมู่อวี่เข้าร่วมการฝึกช่วงเช้ากับคนอื่น เป็นการฝึกง่ายๆ เช่นขี่ม้า ฟันดาบ ใช้มีด และตามด้วยธนู หลังจากใช้ชีวิตในเมืองหลันเหยี่ยนมานาน ฝีมือการขี่ม้าของเขานับได้ว่าอยู่ระดับแนวหน้า ทักษะดาบทั้งสี่สำนักเองก็ไม่ต้องฝึกมากพอๆ กับทักษะมีด แต่ทักษะยิงธนู…คงต้องเรียนรู้เพิ่มเติมจากเว่ยโฉวอีกสักหน่อย
“กุบกับ…กุบกับ!”
เสียงม้าวิ่งดังสนั่นไปทั่วสนามฝึก เว่ยโฉวควบม้าพร้อมดึงลูกธนูสามดอกออกจากฝัก “ปึก…ปึก…ปึก” ธนูสามดอกพุ่งเข้ากลางเป้าทั้งหมด เด็กคนนี้ไม่เพียงเก่งกาจด้านการยิงเป้านิ่งเท่านั้น แม้แต่การยิงธนูบนหลังม้าเองเขาก็โดดเด่นที่สุดในหน่วยองครักษ์อินทรี เหล่าทหารรอบๆ รวมถึงฉู๋หว๋ายเหมี่ยนต่างส่งเสียงให้กำลังใจเขา
ถึงตาหลินมู่อวี่…เขาควบม้าไปพร้อมกับยกคันธนูขึ้นเพื่อฝึกยิงมัน
“ชิ้ง!”
พลังปราณต่อสู้ผสานรวมกับลูกธนูก่อนจะถูกปล่อยออกไป!
“ฟิ้ว!”
ลูกธนูพลาดเป้า…ทุกคนหัวเราะเยาะ วินาทีถัดมาลูกธนูพุ่งโดนกลางต้นไม้ที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางสามสิบเซ็นติเมตร “เปรี้ยง!” ต้นไม้ใหญ่ล้มลงก่อนที่ทุกคนจะเงียบไป ถึงจะไม่แม่นยำทว่าพลังทำลายนั้นมหาศาลนัก
เมิ่งฟางไม่รู้จะทำหน้าอย่างไร จึงกล่าวขึ้น “ฝีมือการยิงธนูของท่านแม่ทัพ…ช่างเหนือความคาดหมายจริงๆ ของรับ!”
หลินมู่อวี่โค้งคำนับโดยไม่กล่าวสิ่งใดตอบ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ช่างน่าอายเสียจริง…
…
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ หน่วยองครักษ์อินทรียังต้องฝึกต่อ กระทั่งหลังจากทานอาหารกลางวันพวกเขาถึงจะได้พัก
หลินมู่อวี่พาเว่ยโฉว องครักษ์สิบนายและทหารอีกสามสิบนายลงเขาไปซื้อเสบียง โดยมีทหารของฉู๋หว๋ายเหมี่ยนทั้งสิบนายติดตามไปห่างๆ องครักษ์มังกรผู้ทรงเกียรติมีหน้าที่คอยอารักษาเหล่าขุนนางและเจ้าหญิง แต่ตอนนี้มาคอยอารักขาเขาเช่นนี้น่าละอายเสียจริง
ผู้บัญชาการเมิ่งฟางหันไปมองขบวนทัพแล้วได้แต่ถอนหายใจ “คนแก่อย่างข้า…ไม่เข้าใจโลกนี้เสียจริงๆ”
ขณะที่กำลังลงจากเขา หลินมู่อวี่สังเกตเห็นศิลาวิญญาณเหลืออยู่หลังจากส่งภารกิจ หนึ่งในศิลาที่เหลือนั้นมีศิลาบรรพตอายุสี่พันปี ศิลาอัคคีอายุห้าพันปี และศิลาพิษอายุห้าพันหนึ่งร้อยปี ศิลาวิญญาณเหล่านี้สามารถนำไปทำอาวุธได้เพียงไม่กี่อย่าง ในย่ามของตนก็มีเหรียญเพชรเพียงสองเหรียญ เงินเท่านี้จะเพียงพอต่อการซื้อเสบียงสำหรับหนึ่งร้อยสิบคนได้อย่างไร? เขาคงต้องไปร้านค้าแห่งจักรวรรดิเสียแล้ว
ณ เมืองหลวง ถนนรอบเมืองยังคงคึกคักเช่นเคย
เมื่อมาถึงร้านค้าแห่งจักรวรรดิ หลินมู่อวี่และเว่ยโฉวเข้าไปข้างในโดยให้ทหารที่เหลือเฝ้าอยู่ด้านนอก
เกราะเทวะของหลินมู่อวี่และเกราะองครักษ์อวี้หลินของเว่ยโฉวเป็นที่สะดุดตาอย่างมาก เมื่อผู้จัดการร้านเห็นเป็นหลินมู่อวี่จึงรีบมาต้อนรับด้วยรอยยิ้มทันที “ท่านหลินจื้อ…ไม่เจอกันนานนะขอรับ ท่านกำลังมองหาเสี่ยวถังอยู่ใช่หรือไม่?”
“อืม…ท่านอย่าเรียกข้าว่าหลินจื้อเลย แค่หลินมู่อวี่ก็พอ…”
“ขอรับ!”
ไม่นาน จินเสี่ยวถังปรากฏตัวด้วยสีหน้าตื่นเต้น นางเข้าไปกอดแขนของหลินมู่อวี่อย่างออกหน้า “ท่านหลินจื้อ…ท่านไม่มาหาข้าเสียนาน รู้หรือไม่ว่าข้าตั้งตารอท่าน…ขออภัยข้าต้องเรียกท่านว่าหลินมู่อวี่ใช่หรือไม่”
ร้านค้าแห่งนี้มีเส้นสายมากมาย ไม่มีเรื่องใดที่ไม่รู้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากจินเสี่ยวถังจะรู้ข่าวคราวของเขา…
หลินมู่อวี่พยักหน้าแล้วยิ้ม “ข้าอยู่นี่แล้ว”
ถึงจะไม่เหมาะสมแต่หลินมู่อวี่รู้สึกเหมือนที่นี่เป็นซ่องนางโลมเก่า ยิ่งก้มมองใบหน้าสวยที่เต็มไปด้วยความระริกระรี้เขายิ่งรู้สึกผิด หากจินซ่านปังรู้ว่าเขามองลูกสาวตนเช่นนี้ หลินมู่อวี่ได้หัวหลุดจากบ่าแน่!