EP.153 คู่อสูรเกล็ดทองคำ
เกล็ดหิมะที่ลอยในอากาศเหมือนใบมีดลมที่เชือดเฉือนเนื้อพวกเขา สภาพอากาศในป่าล่ามังกรทางเหนือนั้นแตกต่างจากทางใต้อย่างสิ้นเชิง หลังจากผ่านไปสี่วัน หลินมู่อวี่กับคนอื่นๆ ก็จะอยู่ที่นี่ครบครึ่งเดือนแล้ว แต่ทั้งหมดยังไม่เห็นวี่แววเกล็ดของอสูรเกล็ดทองคำเลยแม้แต่ชิ้นเดียว
“ท่านแม่ทัพ”
เว่ยโฉวพ่นลมหายใจไปยังสองฝ่ามือเพื่อเพิ่มความอบอุ่น และเงยหน้าขึ้นมองหิมะบนพื้นโดยรอบ “ดูจากหิมะบนพื้นแล้ว เขาลูกนี้จะถูกปิดผนึกในอีกหนึ่งอาทิตย์ หากเรายังหาอสูรเกล็ดทองคำนั่นไม่เจอโดยเร็ว มีหวังเราได้ใช้เวลาช่วงฤดูหนาวอยู่ในป่าล่ามังกรนี้เป็นแน่”
“อืม…”
หลินมู่อวี่ยังคงควบม้าไปด้านหน้าอย่างไม่ใส่ใจนักขณะตอบกลับเว่ยโฉว ก่อนจะหันไปถาม “อาหารม้ายังมีเพียงพออยู่หรือไม่?”
ทหารองครักษ์ตอบอย่างนอบน้อม “ยังมีเพียงพอจนถึงสามวันข้างหน้าขอรับ”
หลินมู่อวี่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด “งั้นเคลื่อนพลต่อ”
…
กระทั่งย่ำพลบค่ำ ตอนนี้หิมะตกหนักและไม่มีทีท่าว่าจะหยุด กองทัพจึงจำเป็นต้องเคลื่อนทัพอย่างช้าๆ เพื่อมุ่งตรงไปที่หุบเขาน้ำเต้า เว่ยโฉวอดยิ้มไม่ได้ “ท่านแม่ทัพ วิญญาณยุทธ์ของท่านเป็นรูปน้ำเต้ามิใช่หรือ บางทีนี่อาจเป็นหุบเขานำโชคของเราก็ได้!”
หลินมู่อวี่ยิ้มรับพร้อมพยักหน้า ทักษะชีพจรวิญญาณถูกปล่อยออกไปจนสุดระยะ หลินหมู่อวี่สัมผัสได้ถึงพลังงานอันแรงกล้าทันทีที่เดินทางมาถึงในหุบเขาแห่งนี้ พลังงานนั้นมีความผันผวนที่แข็งแกร่งมาก นั่นจึงทำให้เขายกมือขึ้นทันทีและพูดว่า “ระวัง…มีสัตว์วิญญาณตัวหนึ่งกำลังใกล้เข้ามา มันแข็งแกร่งมาก เตรียมตัวให้พร้อม!”
ทุกคนลงจากม้าและชักดาบเตรียมพร้อม ทหารหลายคนคนดึงธนูออกมาด้วยความสั่นเทา อาจเป็นเพราะอากาศที่หนาวเย็นเกินไปเลยทำให้คันธนูส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดออกมาเหมือนพร้อมจะหักได้ทุกเมื่อ
“มันมาแล้ว!”
เมื่อราตรีมาเยือน มีเสียงคำรามก้องของสัตว์ร้ายดังมาจากทางหุบเขา แสงทองสว่างไปทั่วผืนฟ้า เว่ยโฉวเผยท่าทางปีติยินดี “ท่านแม่ทัพ มันคืออสูรเกล็ดทองคำ!”
เจ้าอสูรเกล็ดทองคำนั้นเป็นสัตว์ที่ประหลาด เป็นอสูรที่หาพบได้ยากและมีพลังอันสามารถกลืนกินหรือปล่อยลำแสงได้
หลินมู่อวี่ที่กำลังนั่งอยู่บนหลังม้าและชักกระบี่ออกมา ยังไม่ทันตั้งตัวเจ้าอสูรร้ายก็ได้เหยียบย่างพื้นหิมะ และหยุดอยู่ตรงหน้าเขา มันมีหัวเป็นเสือโคร่งแต่ลำตัวเป็นเสือชีตาห์ มันขู่ครางเสียงต่ำ อีกทั้งยังจดจ้องมาที่พวกหลินหมู่อวี่ด้วยดวงตาสีเลือดอันแข็งกร้าว ลายที่กำลังเปล่งแสงเรืองรองปรากฏบนหัวของมันมีสีทองสี่เส้นและสีเงินแปดเส้น
“ข้าเกรงว่าเราคงไม่มีทางเลือกอื่น…”
หลินมู่อวี่ลงจากหลังม้า “เจ้าอสูรตัวนี้ออกมาล่าอาหาร ต่อให้เราไม่จู่โจมมันก่อน มันก็ทำเราอยู่ดี เพราะงั้นอย่าได้ยั้งมือ ยิงมัน!”
“ขอรับ!”
ฟิ้ว…ฟิ้ว…เสียงกระหน่ำยิงคลื่นธนูของกองทหารดังอย่างต่อเนื่อง ทักษะธนูของทหารองครักษ์นั้นนับได้ว่าดีเยี่ยม ถึงจะพลาดเป้าไปบ้างก็เถอะ ฉึก…ฉึก…ฉึก ลูกศรปักลงกลางร่างของสัตว์ร้าย กระนั้นแสงสีทองรอบตัวมันยังคงสว่างไสวอยู่ ราวกับว่ามันมีเกราะป้องกันใต้ผิวหนัง ทำให้ธนูยิงไม่เข้า
“ลูกธนูใช้ไม่ได้ผลขอรับ ทำอย่างไรดี?” เว่ยโฉวตื่นตระหนก
“ยิงต่อไป!” หลินมู่อวี่กล่าว “เกราะแสงนั่นจำต้องใช้พลังในการสร้าง ระดมยิงต่อไปเพื่อผลาญพลังมัน อย่าได้หยุดจนกว่าจะถึงตอนที่มันต้องรวมพลังใหม่อีกครั้ง”
“ขอรับ!”
ลูกธนูสาดเป็นห่าฝนอย่างไม่ลดละ หลินมู่อวี่เอื้อมมือดึงกระบี่เหลียวหยวนที่เอวออกมา คมกระบี่ส่งเสียงหวีดหวิวบินตรงไปยังอสูรเกล็ดทองคำอย่างรวดเร็ว ไม่พอ…หลินมู่อวี่กางฝ่ามือ จู่ๆ มีประกายแสงออกมา จากนั้นสายฟ้าจากมือก็พุ่งไปผสานกับกระบี่เหลียวหยวน!
“เคร้ง!”
ขณะที่กระบี่กำลังพุ่งไป เจ้าอสูรคำรามออกมาด้วยความเกรี้ยวกราดและพุ่งจู่โจมอย่างบ้าคลั่ง! กงเล็บที่รวมแสงสีทองเอาไว้ง้างออก “ซูม!” พลังแสงจากกงเล็บที่ถูกยิงออกมารุนแรงมาก!
หลินมู่อวี่เร่งฝีเท้าพุ่งไปป้องกันเว่ยโฉวโดยเร็ว ก่อนจะเรียกกระดองเต่าทมิฬ ปราการเกล็ดมังกร และกำแพงน้ำเต้าออกมาด้วยพลังขั้นสูงสุด หิมะบนพื้นแยกออก เสียงดังสนั่นกึกก้องขณะที่เขาพยายามหยุดยั้งการโจมตีของอสูร เจ้านี่แข็งแกร่งมาก! ทั้งที่มันใช้พลังส่วนใหญ่หมดไปกับการป้องกันธนูแล้วแท้ๆ!
“โฮก!”
เจ้าอสูรร้ายอ้าปากคำรามลั่น! พุ่งเข้าจู่โจมหลินมู่อวี่! ลมหายใจร้อนผ่าวน่าขนลุกแผ่ไปทั่วบริเวณ ลำคอของมันขยายใหญ่ขึ้น แสงสีทองจากปลายขนไหลไปรวมกันที่ปาก มันคิดจะปล่อยพลังแสง! หลินมู่อวี่ไม่ยอมแพ้ เขาใช้ฝีเท้าดาวตกพุ่งไปด้านหน้าเจ้าอสูร และชกหมัดขวาที่เคลือบด้วยพลังงานสีเลือดออกไป!
‘หนึ่งประทีปพิฆาตชีวัน!’
“ตูม!”
หลินมู่อวี่ซัดกำปั้นไปยังกรามล่างของอสูร จนพลังแสงในปากมันสะท้อนกลับลงท้อง ขณะเดียวกันก็ใช้กระบี่เหลียวหยวนที่ห่อหุ้มด้วยแก่นเพลิงมังกรเสียบเข้าไปอย่างเร็ว “ฉึก!” กระบี่ยาวแทงทะลุลำคอของอสูร! มันร้องโหยหวนออกมาอย่างน่าสมเพชก่อนจะสิ้นใจ
เว่ยโฉวตลึงงัน เขาไม่คิดว่าหลินมู่อวี่จะจัดการกับอสูรเกล็ดทองคำที่มีอายุตั้งสี่พันแปดร้อยปีได้ง่ายดายถึงเพียงนี้ เหล่าทหารองครักษ์คนอื่นๆ ก็จดจ้องไปที่ผู้บัญชาการคนนี้ด้วยท่าทีเดียวกัน ทว่าสายตาพวกเขากลับเต็มไปด้วยความยำเกรงและปีติเป็นอย่างยิ่ง
“เอาล่ะ ไปเอาศิลาวิญญาณของมันมา” หลินหมู่อวี่กล่าว
“ขอรับ!”
เว่ยโฉวเดินไปยังหัวของอสูรร้ายและใช้มีดสั้นขุดหาศิลาวิญญาณด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ทัพ ขนของเจ้าปีศาจนี่คือของดีนักเชียว ท่านจะว่าอะไรไหม หากข้าจะขอเวลาสักเดี๋ยวเพื่อถลกหนังมัน”
“เอาสิ” หลินมู่อวี่พนักหน้าเป็นเชิง “แต่เร็วหน่อยล่ะ อสูรเกล็ดทองคำอีกตัวกำลังจะมา…”
“เพราะเหตุใดกัน!?” เว่ยโฉวตื่นตระหนก
หลินมู่อวี่เผยยิ้ม “เพราะอสูรเกล็ดทองคำมักจะอยู่ด้วยกันเป็นคู่ หากตัวที่นอนตรงหน้าเราเป็นตัวเมียที่ออกมาหาอาหาร และหายไปนานผิดปกติ คู่ของมันคงออกตามหา ยิ่งกว่านั้นอสูรตัวผู้แข็งแกร่งกว่าตัวเมียมากเป็นแน่ ดังนั้นเจ้าจงทำให้ไว ข้าไม่อยากให้เจ้านั่นมาเห็นคู่ของมันกำลังถูกถลกหนัง มันโหดร้ายเกินไป…”
เว่ยโฉวหลุดหัวเราะออกมา “ขอรับท่านแม่ทัพ…ข้าน้อยคนนี้จะเร่งให้ไวเลย”
เว่ยโฉวถลกหนังออกอสูรโดยมีทหารอีกคนทำการหล่อหลอมจิตวิญญาณอยู่ข้างๆ แม้ว่าเขาจะฝึกฝนทักษะธาตุอัคคีมา แต่วิญญาณอสูรเป็นธาตุอรุณ เขาก็มิได้เกี่ยงแม้แต่น้อย เพราะแค่จิตวิญญาณของอสูรระดับสูงก็หายากพอแล้ว ไม่ต้องพูดถึงธาตุอรุณ เขาจึงยินดีอย่างยิ่งที่จะทำหน้าที่นี้
หลินมู่อวี่สั่งให้ตั้งค่ายพักแรมที่นี่ ภายในหุบเขาน้ำเต้านั้นเต็มไปด้วยหิมะ พวกทหารจึงทำได้แค่กวาดหิมะออกให้พอกางเต็นท์เท่านั้น กองไม้แห้งที่สำนักอัคคีพบ ถูกนำมาก่อกองไฟได้เจ็ดถึงแปดกอง ก่อนจะนำเนื้อหมีที่เก็บไว้ที่หลังม้ามาทำซุป
ไม่นานนัก ทั่วทั้งบริเวณก็ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นซุปเนื้อ
“จ๊อก…จ๊อก…”
กระเพาะไม่รักดีของหลินมู่อวี่ส่งเสียงออกมา แต่เขารู้ดีว่าตนไม่มีเวลามากพอมานั่งกินซุป
อันที่จริง ก่อนที่ทักษะชีพจรวิญญาณจะสัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังงานที่รุนแรง หลินมู่อวี่พุ่งตัวพร้อมชักกระบี่ออกและตะโกนเรียกทุกคนทันควัน “มันมาแล้ว รีบตามข้ามาเร็ว!”
กองทหารองครักษ์ต่างพากันสะดุ้ง สะบัดผ้าห่มออก ทิ้งถ้วยซุป ก่อนจะรีบหยิบอาวุธ แล้วรุดตามหลินมู่อวี่ไปยังไหล่เขา
“สวบ…สวบ…”
หลินมู่อวี่นำทัพไต่เขาหิมะขึ้นไปตรวจดูสถานการณ์โดยรอบ
ไม่นานก็มีเสียงคำรามทุ้มลอยมาตามสายลม แสงสีทองพาดผ่านเกล็ดหิมะ เป็นเวลาเดียวกันกับที่อสูรเกล็ดทองคำปรากฏตัว! บนหัวของมันมีลายสีทองหกเส้น สีเงินสองเส้น แสดงว่าอสูรตัวนี้มีอายุหกพันสองร้อยปี! ตัวที่ใหญ่ยักษ์ทำให้อุ้งเท้ามันจมหายไปในหิมะ อสูรเกล็ดทองคำตัวผู้มองศพคู่รักของตนด้วยแววตาขุ่นมัว มันร้องครวญครางอย่างน่าเวทนา
หลินมู่อวี่ขมวดคิ้วและนิ่งเงียบ ภาพที่เห็นทำให้เขารู้สึกเสียเกียรติ อสูรพวกนี้มีความคิด และการที่เขาสังหารคู่รักของมันนั้นโหดเหี้ยมไปหรือเปล่า?
เว่ยโฉวไม่ได้คิดเช่นเดียวกัน เขาหรี่ตาและเอ่ยขึ้น “ท่านแม่ทัพ เราจะปล่อยให้มันไว้ทุกข์เสร็จก่อนแล้วค่อยฆ่ามันหรือ?”
“ไม่…”
หลินมู่อวี่ยกมือขึ้นสั่งการ “ข้าจะจัดการเอง พวกเจ้าอย่าได้ประมาทเป็นอันขาด! อสูรตัวนี้อายุราวหกพันสองร้อยปี พลังของมันแข็งแกร่งกว่าตัวก่อนหน้านี้ยิ่งนัก เพราะอย่างนั้นจงระวังไว้ พลังแสงของมันสังหารพวกเจ้าได้ในคราเดียว ในฐานะองครักษ์อินทรีข้าไม่อยากให้ใครตายในภารกิจนี้!”
เว่ยโฉวพยักหน้ารับ “เช่นนั้นท่านจงระวังตัวด้วยขอรับ!”
“อืม พวกเจ้าเองก็วางใจเสีย”
…
อสูรเกล็ดทองคำตัวผู้ครวญครางอย่างอาลัย ดมศพคู่ของตนและส่งเสียงคำรามออกมา หนวดรอบปากเริ่มสั่นด้วยความโกรธแค้น สายตาเหลือบไปเห็นกองทหารอยู่ไม่ไกล อสูรร้ายกระโจนเข้าไปพร้อมส่งเสียงอย่างโกรธเกรี้ยว หมายจะสังหารเหล่าศัตรูให้สิ้น!
“ฟิ้ว!”
กระบี่เหลียวหยวนที่ห่อหุ้มด้วยสายฟ้าทะยานออกมาจากหิมะขาว หมายไปยังลำคออสูร
“เคร้ง!” กระบี่สายฟ้าปะทะกับเกราะแสงจนเกิดประกาย! หลินมู่อวี่กระโดดถอยหลังและตกจากยอดเขา แต่เขาคว้ากระบี่เหลียวหยวนที่สะท้อนออกมาได้ หลินมู่อวี่ส่งพลังปีศาจเข้าไปยังตัวกระบี่ ผสานอาวุธกับพลังเจ็ดประทีป และโจมตีมันทีเดียวจากกลางอากาศ!
‘สองประทีประบำปีศาจ!’
คมกระบี่หมายทะลวงลงกลางหน้าผากอสูร แต่ด้วยพลังอันแข็งแกร่งของมันจึงสะท้อนกระบี่เหลียวหยวนกระเด็นไปไกล!
“มันสร้างเกราะรบเสร็จแล้ว! ระวังด้วยท่านแม่ทัพ…” เว่ยโฉวตะโกนจากยอดเขาด้วยความกังวล
หลินมู่อวี่ไถลไปกลางดงหิมะ เมื่อมองกลับไป อย่างที่คาด…มีแสงสีขาวเป็นชั้นๆ เหมือนเกราะป้องกันรอบตัวอสูร นี่ใช่เกราะรบที่เว่ยโฉวบอกหรือเปล่า? เกราะรบพลังปราณที่เป็นทักษะของขอบเขตนภาขั้นสอง แสดงว่าเจ้าอสูรเกล็ดทองคำตัวนี้สร้างเกราะรบได้จริงๆ อย่างนั้นหรือ?