EP.ความคิดถึงผ่านสายลมหนาวและหิมะ
วันที่หกของการเข้าป่าล่ามังกร ในที่สุดกองทัพของหลินมู่อวี่ก็สามารถล่าสัตว์วิญญาณอัคนีตัวที่สองซึ่งมีอายุกว่าสี่พันปีได้สำเร็จ ณ บริเวณชายป่าพฤกษาศิลามลาย มันคือหมีเหล็กทมิฬอายุสี่พันสองร้อยปี
‘โฮก โฮก…’
หมีเหล็กทมิฬประจันหน้ากับกำแพงแล้วส่งเสียงคำรามกึกก้อง ทว่ามันกลับไม่คิดโจมตี นั่นก็เพราะสมองอันชาญฉลาดของมันรับรู้ได้ว่าท่ามกลางกองทัพนี้มีผู้แข็งแกร่งอย่าง…หลินมู่อวี่! ความแข็งแกร่งของเขานั้นเปล่งประกายจนไม่มีใครสามารถมองข้ามได้ แม้แต่อสูรอายุสี่พันปีก็ตาม
“ท่านหลินมู่อวี่ขอรับ!”
เว่ยโฉวกล่าวอย่างกระตือรือร้นว่า “ให้พวกข้าจัดการสัตว์วิญญาณตัวนี้เถิดขอรับ เหล่าทหารมิสามารถให้ท่านแม่ทัพสู้อยู่ผู้เดียว มิเช่นนั้นพวกข้าคงไม่มีประโยชน์อันใดในภารกิจนี้เลย…”
หลินมู่อวี่เผยยิ้มออกมา “เอาล่ะ พวกเจ้าไปจัดการสัตว์วิญญาณตัวนี้ได้ ส่วนข้าจะคอยสนับสนุน ทว่าห้ามประมาทเด็ดขาด เพราะหากพวกเจ้าตายทุกอย่างก็จะสูญเปล่า”
“ขอรับ…ท่านหลินมู่อวี่โปรดวางใจเถิด!”
…
เว่ยโฉวเรียกองครักษ์รักษาพระองค์สามนายให้ไปด้วยกัน เขาเป็นปราชญ์สงครามที่แข็งแกร่งที่สุดในระดับที่ห้าสิบเจ็ด ส่วนอีกสามนายเป็นขุนศึกระดับที่สี่สิบแปดหนึ่งคน ขุนศึกระดับที่สี่สิบเก้าหนึ่งคน และคนสุดท้ายเป็นปราชญ์สงครามระดับที่ห้าสิบเอ็ด พวกเขาสามารถต่อกรกับสัตว์วิญญาณอายุสี่พันสองร้อยปีนี้ได้อย่างแน่นอนถึงแม้จะอันตรายก็ตาม
ดังนั้นสองขุนศึกทั้งสองจึงยกโล่ขึ้นมาป้องกันและก้าวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง เว่ยโฉวและปราชญ์สงครามอีกคนชักกระบี่ออกมาพร้อมเรียกวิญญาณยุทธ์ประจำตัว
“แปรทัพรบ!”
เว่ยโฉวคำรามเสียงทุ้ม องครักษ์รักษาพระองค์ทั้งสองก็ยกโล่ขึ้นมาพร้อมเคลื่อนพลไปด้านหน้า
ทันใดนั้นหมีเหล็กทมิฬตระหนักได้ว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในอันตราย มันตวัดอุ้งเท้าออกไปพร้อมคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว ‘เปรี้ยง!’…องครักษ์ทั้งสองนายถูกกระแทกอย่างแรงจนต้องถอยหลังไป โล่หนาในมือของพวกมีรอยกรงเล็บและเปลวไฟอันน่ากลัว! ทว่าตัวหมีเหล็กทมิฬก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน เว่ยโฉวตวัดกระบี่เฉือนไหล่ของมัน เพียงแค่พริบตาเดียวเลือดก็สาดกระเซ็นไปทั่วทุกสารทิศ
“โฮก!!”
หมีเหล็กทมิฬพุ่งตัวไปอย่างรวดเร็วจนทำให้องครักษ์ผู้ถือโล่นายหนึ่งล้มลงไปกองกับพื้น มันตะปบลงบนโล่หลายครั้ง “อ๊าก!” องครักษ์นายนั้นส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาเพราะโดนเพลิงแผดเผา
หลินมู่อวี่ตั้งท่าชักกระบี่เหลียวหยวน
“ปัก!”
เว่ยโฉวจ้วงกระบี่เข้าที่แผ่นหลังของหมีเหล็กทมิฬ แผ่นหลังของมันแข็งราวกับหินยากที่จะแทงให้ทะลุถึงหัวใจ…ทันใดนั้น! กระบี่อีกเล่มได้ทะลวงเข้าที่ปากของมันจนเลือดไหลทะลักเสมือนสายน้ำตก หน่วยองครักษ์หน่วยนี้ไม่มีคนอ่อนแออย่างแน่นอน! พวกเขาโจมตีศัตรูได้อย่างเลือดเย็น!
ทว่าพวกเขาประเมินพลังของหมีเหล็กทมิฬต่ำไป! มันคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวพร้อมจู่โจมด้วยระลอกคลื่นเปลวเพลิงเข้าใส่องครักษ์รักษาพระองค์ทั้งสามจนกระเด็นออกมา ทุกคนได้รับบาดเจ็บ! เว่ยโฉวเป็นผู้เดียวที่ปักกระบี่ลงบนพื้นเพื่อตรึงไว้ วิญญาณยุทธ์วานรพิโรธปกป้องร่างกายเว่ยโฉวด้วยไฟแห่งชีวิต ทักษะนี้เป็นทักษะที่มีประโยชน์อย่างมาก!
การโจมตีของหมีเหล็กทมิฬครานี้ได้เผาผลาญพลังชีวิตของมันจนหมดสิ้น เปลวเพลิงพวยพุ่งออกไปทั่วทุกสารทิศด้วยพลังเฮือกสุดท้าย
ทันใดนั้นเว่ยโฉวก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหน้าหมีเหล็กทมิฬ แล้วพุ่งตัวขึ้นบนฟ้าก่อนจะตวัดกระบี่เล่มยาวลงปักเข้ากลางตัวของมัน!
“ฉัวะ!”
หัวอันมโหฬารของหมีค่อยๆ ตกลงสู่พื้น หลินมู่อวี่อดไม่ได้ที่จะชมเชยอย่างลับๆ ว่า “สวย!”
…
เพียงไม่นานเว่ยโฉวก็นำศิลาวิญญาณอัคนีมาอวดหลินมู่อวี่ เขาเผยยิ้มและกล่าวว่า “ท่านหลินมู่อวี่ ภารกิจรวบรวมศิลาวิญญาณอัคนีลุล่วงแล้ว ฝีมือการต่อสู้ของพวกเราเป็นอย่างไรบ้างขอรับ?
หลินมู่อวี่มองด้วยสายตาชมเชย “องครักษ์รักษาพระองค์คือมังกรในคราบมนุษย์อย่างแท้จริง…ฮ่าๆ”
“ฮ่าๆ ท่านแม่ทัพพูดเกินไปแล้วขอรับ!”
เว่ยโฉวรู้สึกปลื้มปีติอย่างมากขณะที่ใช้ถุงน้ำชะล้างศิลาวิญญาณของหมีเหล็กทมิฬ เว่ยโฉวอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับหลินมู่อวี่หรืออาจอ่อนวัยกว่าหน่อย เขามักเผยนิสัยแบบเด็กๆ ออกมา การที่เว่ยโฉวเป็นองครักษ์รักษาพระองค์เขาต้องเผชิญกับความกดดันอันหนักอึ้ง หน่วยองครักษ์ไม่ต้อนรับผู้เกียจคร้าน…พวกเขาต้องฝึกหนักทุกวันเพื่อความแข็งแกร่ง มิเช่นนั้นพวกเขาอาจโดนปลดและมีทหารองครักษ์คนอื่นเข้ามาแทนที่ได้
ทหารกลุ่มหนึ่งถลกหนังและเลาะเนื้อของหมีเหล็กทมิฬอย่างมีความสุข พวกเขากินเนื้อพยัคฆ์ติดต่อกันมาหลายวันจนเริ่มเบื่อหน่าย เพราะเนื้อของอสูรตนนั้นขมเกินไปและไม่อร่อยเอาเสียเลย! ถึงกระนั้นมันก็ทำให้พวกเขาอิ่มท้อง แต่หากเลือกได้ทหารเหล่านี้คงเลือกกินเนื้อหมีมากกว่า ซึ่งเนื้อชนิดนี้ถือว่าเป็นเนื้อหายากมากเลยทีเดียว
คนของหน่วยวิญญาณอัคนีต่างหิ้วเนื้อหมีคนละสองถุงขึ้นหลังม้า
หลินมู่อวี่ควบม้าพลางมองไปรอบๆ เขาสังเกตเห็นว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ บนภูเขาแห่งนี้เลย…ไม่มีแม้แต่วัชพืช…เพียงไม่กี่วันฤดูกาลก็จะผันเปลี่ยนเป็นเหมันตฤดูแล้ว อย่างที่เว่ยโฉวเคยกล่าวไว้…ปีนี้ลมหนาวจะมาเยือนเร็วกว่าปกติ
อากาศรอบตัวหลินมู่อวี่เย็นยะเยือก เขาถูมือเพื่ออบอุ่นร่างกายก่อนกล่าวว่า “เคลื่อนทัพโดยเร็วเถิด เราจะต้องไปที่ไหนกันต่อ?”
เว่ยโฉวกางแผนที่พร้อมกับกล่าวว่า “หุบเขาหินลับแลตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของป่าล่ามังกร มีศิลาวิญญาณกระจายอยู่ทั่วหุบเขาซึ่งสัตว์ศิลาวิญญาณบรรพตจะมารวมตัวกันเพื่อดูดกลืนพลังงานจากศิลาเหล่านั้น ฉะนั้นเราอาจจะหาศิลาวิญญาณบรรพตที่ต้องการได้จากที่นั่นขอรับ อีกทั้งทางเหนือของหุบเขาหินลับแลนั่นก็คือทิศเหนือของป่าล่ามังกร เป็นไปได้ว่าเราจะเจออสูรเกล็ดทองคำขอรับ!”
“อืม…ข้าเข้าใจแล้ว เคลื่อนทัพได้!”
“ขอรับ!”
หลินมู่อวี่ค่อยๆ ควบม้าไปข้างหน้า ทว่าทันใดนั้นเกล็ดหิมะก็ตกลงจากท้องฟ้า เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยขณะที่เงยหน้าขึ้นจึงกล่าวว่า “หิมะตกเร็วจริง…”
เว่ยโฉวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ปีนี้คงเป็นเหมันตฤดูที่หนาวเหน็บเป็นแน่!”
หิมะตกลงมาหนักขึ้น ในไม่ช้า…ป่าทั้งผืนได้ถูกย้อมเป็นสีขาว ทว่าหลินมู่อวี่ยังคงต้องเดินทางต่อไป…เกล็ดหิมะที่ตกลงบนชุดเกราะวิหารศักดิ์สิทธิ์อันขาวบริสุทธิ์นั้นยังไม่ละลายหายไป…อากาศหนาวเย็นลงเรื่อยๆ หลินมู่อวี่รู้สึกหนาวสั่นอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อมองย้อนกลับไปทางทิศของเมืองหลันเยี่ยน หัวใจของเขาเต้นระรัวพร้อมกับรำพึงออกมาว่า “ข้าสงสัยเสียจริง…หิมะตกที่เมืองหลันเยี่ยนแล้วหรือยัง…”
เขารำพึงรำพันหาคนไกล…ประหนึ่งว่าสามารถส่งความคิดถึงผ่านหิมะไปยังบุคคลอันเป็นที่รักได้
เว่ยโฉวหัวเราะออกมาและกล่าวบางอย่างเพื่อทำลายบรรยากาศ “อืม…ข้าไม่แน่ใจว่าเมืองหลันเยี่ยนหิมะตกหรือยัง แต่ข้ารู้ว่าที่นี่หิมะตกแล้ว…มันเป็นฤดูกาลที่สามารถฆ่าคนได้เลยนะ แต่ตอนนี้เราต้องละลายหิมะเหล่านั้นเพื่อมาปรุงอาหารแล้วล่ะขอรับ…”
หลินมู่อวี่ “…”
หากไม่ใช่เพราะหลินมู่อวี่ไม่อยากทำลายบรรยากาศ เขาคงตัดขาดกับชายผู้นี้ไปแล้ว…
…
ห่างออกไปหลายพันไมล์…ภูเขาและแม่น้ำถูกห่อหุ้มไปด้วยหิมะสีขาวเงิน
หิมะตกหนักที่เมืองหลันเยี่ยนจนย้อมทั้งลานกว้างเป็นสีขาว ทะเลสาบแปรเปลี่ยนเป็นธารน้ำแข็ง บริเวณด้านนอกจวนหงส์ไฟเหล่าคนใช้ยกเตาฝืนเข้าออกตัวเรือน มีองครักษ์รักษาพระองค์ในชุดคลุมสีขาวถือกระบี่ประจำตัวลาดตระเวนอยู่ ตำหนักเจ๋อเทียนมีองครักษ์มังกรทั้งหมดเจ็ดสิบนาย ยี่สิบนายได้รับมอบหมายให้คุ้มกันจวนหงส์ไฟเวศม์ เห็นได้ชัดว่าองค์หญิงเล็กมีความสำคัญมากเพียงใดต่อองค์จักรพรรดิ
ประตูหลักของจวนหงส์ไฟเปิดอ้าไว้ ลมหนาวพัดเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เปลวไฟในเตาสั่นไหวไปตามแรงลม
…
ขากวางเนื้อช่ำนุ่มส่งกลิ่นหอมคละคลุ้งอยู่เหนือเตา มีพ่อครัวอยู่ด้านข้างคอยพลิกเนื้อและโรยเครื่องเทศอย่างระมัดระวัง ฉินอินและถังเสี่ยวซีนั่งอยู่ตรงข้ามเตา ทั่งสองเหม่อมองไปยังหิมะที่ร่วงหล่นลงมาโดยไม่ได้สนใจอาหารที่อยู่ตรงหน้า
“ข้าสงสัยเหลือเกินว่าหิมะจะตกที่ป่าล่ามังกรแล้วหรือยัง…” ฉินอินกล่าว
ถังเสี่ยวซีก็คิดในสิ่งเดียวกัน ทว่ากลับรู้สึกอึดอัดที่จะกล่าวมันออกมา เมื่อได้ยินฉินอินกล่าวเยี่ยงนั้น เธอจึงเม้มริมฝีปากและกล่าวว่า “ข้ากังวลว่าอาอวี่ได้เอาเสื้อไหมพรมไปด้วยหรือไม่…”
ฉินอินทรงพระสรวล “อาอวี่จะรู้ไหมนะ ว่าเราสองคนกำลังนึกถึงเขาอยู่ขณะนี้”
ถังเสี่ยวซีก็หัวเราะออกมาเช่นกัน “เสี่ยวอินก็ชอบอาอวี่เหมือนกันใช่ไหม?”
“อือ…”
พระพักตร์งามของฉินอินแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำขณะที่กล่าวว่า “ชอบ…แต่ไม่ได้ชอบแบบที่เจ้าคิดนะ แล้วเจ้าล่ะ?”
ถังเสี่ยวซีกะพริบตาก่อนจะหันมองไปทางหิมะด้านนอก “ข…ข้าไม่รู้ว่าชอบหรือรักคืออะไร ข้ารู้สึกเพียงว่าตราบใดที่หลินมู่อวี่ยังอยู่เคียงข้าง ข้าก็มีความสุข ข้าจะยิ้มเสมอกับสิ่งที่เขาพูดหรือกระทำ ข้ารู้สึกราวกับว่า…รอบตัวเขาปกคลุมไปด้วยแสงสว่าง…เสี่ยวอิน นี่ถือว่าเป็นความชอบหรือไม่?
ฉินอินขยับพระโอษฐ์ก่อนกล่าวว่า “คงใช่?”
“แล้วเจ้าล่ะ?”
ถังเสี่ยวซีขยับเข้ามานั่งใกล้ๆ และวางมือลงบนต้นขาของฉินอิน เธอหัวเราะคิกคักและกล่าวว่า “เสี่ยวอินชอบอาอวี่แบบเดียวกันกับข้าหรือไม่?”
ฉินอินตกตะลึง ทันใดนั้นนัยตาของพระองค์ก็ฉายแววเศร้าก่อนที่จะทรงก้มพระเศียรลงและกล่าวว่า “ไม่สำคัญหรอกว่าข้าจะชอบหลินมู่อวี่แบบไหน ข้าเป็นผู้สืบตระกูล ต้องสมรสกับผู้ที่สรวงสวรรค์เลือกเท่านั้น ข้าไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเอ่ยถึง…”
ถังเสี่ยวซีรู้สึกเศร้าหมองเล็กน้อยเมื่อมองไปที่ฉินอิน ทันใดนั้นนางก็ยิ้มออกมาและกล่าวว่า “เจ้าเด็กผู้น่าสงสาร…”
“อ๊ะ…”
ฉินอินแย้มพระสรวลออกมาทันที “เสี่ยวซี เจ้าซุกซนเกินไปแล้วนะ…”
“ข้าเป็นอย่างไรหรือเจ้าคะ!”
คนรับใช้ชายที่อยู่ใกล้ๆ เฝ้ามองสองสาวงามสนทนากันอย่างสนุกสนาน ทว่าเขายังคงสงบเสงี่ยมเจียมตัวตลอดเวลาเพราะรู้สถานะของทั้งสองเป็นอย่างดีและไม่เคยจะคิดล่วงเกินอันใด เนื่องจากชายผู้นี้เป็นขันทีเขาจึงไม่สนใจหญิงใดเลย…
คนรับใช้กล่าวขึ้น “องค์หญิง…ขากวางสุกแล้วพ่ะย่ะค่ะ…หลินมู่อวี่ที่พระองค์เอ่ยถึงผู้นั้นเป็นผู้บัญชาการทหารหนึ่งร้อยนายของหน่วยองครักษ์พิทักษ์อินทรี และกระหม่อมได้ยินมาว่าเขาเกณฑ์ทหารห้าสิบนายเข้าป่าล่ามังกรเพื่อตุนเสบียงอาหารให้แก่ตำหนักเจ๋อเทียนเพื่อใช้ในเหมันตฤดูนี้ บางทีขากวางชิ้นนี้อาจเป็นส่วนหนึ่งที่เขาส่งมา ดังนั้นอย่าเสียโอกาสที่จะเพลิดเพลินกับมันเลย”
ฉินอินมองไปที่คนรับใช้ขันทีผู้นี้แล้วคิดว่าเขาช่างเก่งด้านการเจรจายิ่งนัก จากนั้นนางก็รู้สึกว่าขากวางตรงหน้าเริ่มเปล่งประกาย และใบหน้างามของฉินอินก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำในทันใด…นี่หรือคือสิ่งที่ถังเสี่ยวซีพูดถึง? การชอบใครสักคนจะให้รู้สึกว่าคนผู้นั้นเปล่งประกายงั้นเหรอ?
ขณะที่ทั้งสองเพลิดเพลินกับขากวางอันเลิศรสและไวน์อุ่นๆ เสี่ยวซีก็เงยหน้าขึ้นก่อนกล่าวว่า “จริงสิเสี่ยวอิน นานเพียงใดแล้วที่เจ้าได้ไปเรียนกู่ฉินกับท่านพี่เจิ้งเซียง?”
“ข้าไม่ได้เจอท่านพี่มานานมากแล้ว…” ฉินอินกล่าว “เนื่องจากความบาดหมางระหว่างวิหารศักดิ์สิทธิ์และตำหนักขุนนางเทวาแย่ลงเรื่อยๆ ท่านพี่เจิ้งเซียงจึงมิได้อยู่ที่ในตำหนักมาระยะหนึ่งแล้ว ดังนั้นข้าจึงไม่มีโอกาสได้คุยเรื่องกู่ฉินกับนางเลย”
“ถึงแม้จะมีโอกาส ข้าก็คิดว่านางคงไม่มีเวลาบรรเลงกู่ฉินกับเจ้าอีกต่อไปแล้ว…”
“ด้วยเหตุอันใดกัน?” ฉินอินเบิกพระเนตรคู่งามกว้าง
ถังเสี่ยวซีหัวเราะคิกคัก “เนื่องจาก…ท่านพี่เจิ้งเซียงกำลังสานสัมพันธ์กับท่านฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนน่ะสิ…”
“เอ๋?”
ฉินอินอ้าพระโอษฐ์ค้าง นางแย้มพระสรวลและตรัสว่า “ท่านฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน…ผู้นั้นคือพี่ชายของอาอวี่ใช่หรือไม่?”
“ถูกแล้ว” ถังเสี่ยวซีทำหน้ามุ่ยและกล่าวว่า “ข้าก็ไม่ได้พบนางสักระยะแล้วก็จริง ทว่าข้าก็ไม่อยากไปขัดขวางความสุขของนางตอนที่มีเวลาอยู่กับท่านฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน…จริงไหม?”
ฉินอินทรงพระสรวล “นั่นสินะ…ข้าสงสัยเมื่อใดอาอวี่จะกลับมา…”
“อืม…นั่นน่ะสิ…”