EP.107 เข้าป่าล่ามังกรอีกครั้ง
ใกล้เที่ยงวัน ม้าสองตัวหยุดลงที่หน้าประตูตำหนักเจ๋อเทียน ถังเสี่ยวซีพลิกตัวลงจากม้า แล้วเดินนำหลินมู่อวี่ขึ้นไปข้างหน้า กลุ่มองครักษ์อวี้หลินเข้ามาต้อนรับ
“องค์หญิงซี!” องครักษ์อวี้หลินทำความเคารพ
ถังเสี่ยวซีเอ่ย “ช่วยทูลองค์หญิงอิน บอกว่าถังเสี่ยวซีขอเข้าเฝ้า”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
องครักษ์อวี้หลินรีบขึ้นม้าอย่างรวดเร็ว ประมาณเกือบสิบนาทีถึงกลับมา จากนั้นประสานมือคำนับแล้วยิ้ม “องค์หญิงอินทรงฝึกซ้อมยิงธนูอยู่ที่ตำหนักฉีเฟิ่ง…ให้กระหม่อมมานำทางองค์หญิงซีและหลินจื้อเข้าไปพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม ขอบใจมาก!”
……
พวกเขารีบขึ้นม้า แล้วไปที่วังหลวงอย่างรวดเร็ว
นี่เป็นครั้งแรกที่หลินมู่อวี่เข้ามายังตำหนักเจ๋อเทียน รู้สึกแปลกใหม่จนพูดไม่ออก พื้นตำหนักปูด้วยหยกสีขาวเงางามเป็นประกาย และที่ไกลออกไปคล้ายจะมีตำหนักหลายหลังที่มีปกคลุมไปด้วยหมอก กระเบื้องแกะสลักส่องประกายแวววาว ทุกๆ สิบก้าวจะมีองครักษ์อวี้หลินหนึ่งนายยืนประจำรักษาการณ์อยู่ ที่นี่ไม่เพียงแต่จะมีทรัพย์สมบัติกองเป็นภูเขาเท่านั้น การอารักขาคุ้มกันก็ไม่ได้เข้มงวดระดับธรรมดา
หลังจากเดินทะลุตำหนักต่างๆ เข้าไป ในที่สุดก็มาถึงตำหนักฉีเฟิ่งซึ่งเป็นสถานที่ประทับของฉินอิน ขั้นบันไดของตำหนักที่ทอดยาวทำให้หลินมู่อวี่ถึงกับพูดไม่ออก หรูหราเหลือเกิน อยู่คนเดียวบ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ เดิมดีนึกว่าคฤหาสน์ที่ตนเองอยู่ในโลกเดิมฟุ่มเฟือยแล้ว แต่เมื่อเทียบกับที่ประทับของฉินอิน คฤหาสน์ของเขาจัดว่าเรียบง่ายไปเลยทีเดียว
ด้านนอกของตำหนักฉีเฟิ่งเป็นลานฝึกยุทธ์ “กุบกับๆ” เสียงฝีเท้าม้าดังขึ้น องค์หญิงฉินอินสวมชุดคลุมสีทองนั่งอยู่บนหลังม้าพันธุ์ดี ในมือถือเกาทัณฑ์ที่ประณีตงดงาม รอบกายปกคลุมด้วยพลังสีทองของวิญญาณยุทธ์โซ่เทวะ นางปล่อยมือซ้ายที่จับบังเหียน ใช้สองมือง้างเกาทัณฑ์ เล็งไปยังเป้าที่อยู่ไกลออกไป!
“ฟิ้ว!”
เสียงเบาๆ ดังขึ้น ลูกธนูปักเข้ากลางเป้าพอดี นางกำนัลก็ยิ้มขึ้นทันที “ฝีมือยิงธนูขององค์หญิงทรงยอดเยี่ยมที่สุดเลยเพคะ!”
แต่ในตอนนี้เอง ฉินอินกลับเบนสายตาไปอีกทาง นางลงจากหลังม้าแล้วมุ่งตรงเข้าไปหาถังเสี่ยวซีและหลินมู่อวี่ ปล่อยให้รองเท้าขลิบทองเหยียบลงบนกรวดทราย “เสี่ยวซี พวกเจ้ามาแล้วเหรอ!”
ถังเสี่ยวซีจูงบังเหียนม้า ยิ้มกล่าว “เสี่ยวอิน ครั้งนี้ข้ากับมู่มู่มาเพราะมีธุระน่ะ เจ้าพาพวกเราเข้าไปคลังโอสถหน่อยสิ มู่มู่ต้องรีบใช้สมุนไพรระดับสิบ งานนี้เจ้าต้องช่วยนะ…”
ฉินอินชะงัก สายตามองที่ร่างของหลินมู่อวี่แล้วแย้มพระโอษฐ์ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราออกเดินทางไปคลังโอสถกันเถอะ ผู้ดูแลที่นั่นข้ารู้จัก สามารถเข้าออกได้ตามสบาย”
“อืออื้อ!”
เมื่อทั้งสามคนมาถึงคลังโอสถ ก็เข้าออกตามสบายได้จริงๆ เพราะใบหน้าที่งดงามของฉินอินก็เป็นใบเบิกทางแล้ว นางเป็นแก้วตาดวงใจของกวางหมิงหวังฉินจิ้น อายุยังน้อยก็ปลุกวิญญาณยุทธ์โซ่เทวะได้แล้ว ทำให้นางได้รับตำแหน่งผู้สืบทอดจักรวรรดิ ขนาดที่ฉินจิ้นและจักรพรรรดิพระองค์ก่อนต่างไม่สามารถปลุกวิญญาณยุทธ์โซ่เทวะได้ ส่วนพวกรุ่นเยาว์ในตระกูลกลับมีแค่ฉินอินและฉินเหลยสองคนที่ปลุกโซ่เทวะได้ จึงถูกตั้งเป็นความหวังของคนยุคนี้
เพียงแต่น่าเสียดาย ทั้งสามคนพลิกสมุดรายชื่อสมุนไพรของคลังโอสถจนเกือบหลุดก็ไม่พบเถาวัลย์เอ็นมังกรและหญ้าราตรีกระจ่าง ในตอนนี้ผู้ดูแลที่อยู่ด้านข้างก็เอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง “องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ สมุนไพรทั้งสองชนิดนี้หายสาบสูญไปหลายปีแล้ว ในคลังโอสถก็ไม่มี…กระหม่อมได้ยินว่าในส่วนลึกของป่าล่ามังกรมีสถานที่แห่งหนึ่งที่เรียกกันว่า ‘สุสานมังกร’ ที่นั่นเป็นหลุมฝังศพของเผ่ามังกร หากสามารถค้นหาสุสานมังกรพบ เกรงว่าองค์หญิงต้องการเถาวัลย์เอ็นมังกรเท่าไรก็ได้นะพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ในส่วนลึกของป่าล่ามังกรนั้นอันตรายเกินไป ดังนั้นเหล่านักปรุงโอสถจึงไปไม่ถึงที่นั่น”
“จริงหรือ”
ฉินอินกะพริบตากลมโตที่ทอประกาย แล้วยิ้ม “เช่นนั้น…”
ทันใดนั้นหลินมู่อวี่ก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี
ผลคือถังเสี่ยวซีรีบตอบอย่างยิ้มแย้มทันที “เช่นนั้นเราอาศัยโอกาสนี้ไปป่าล่ามังกรกันเถอะ”
ด้านข้าง ผู้บัญชาการรักษาพระองค์เฟิงจี้สิงก็รีบแย้งกลับอย่างเฉียบขาด “เหลวไหล…สุสานมังกรอยู่ที่ไหนกันแน่ แม้แต่ตัวกระหม่อมยังไม่ทราบ แล้วป่าล่ามังกรมีอันตรายมากมายขนาดไหนพวกท่านก็ควรจะรู้ชัด คนหนึ่งเป็นผู้สืบทอดราชวงศ์ฉิน อีกคนหนึ่งเป็นองค์หญิงตระกูลถังแห่งซีไห่ ฐานะของพวกท่านไม่ธรรมดา อย่าได้ก่อเรื่องวุ่นวายอีกเลยพ่ะย่ะค่ะ ห้ามไปป่าล่ามังกรเด็ดขาด!”
พูดจบ เฟิงจี้สิงถลึงตาใส่ผู้ดูแลคลังโอสถอย่างดุร้าย “เรื่องที่เจ้ายุยงให้องค์หญิงไปป่าล่ามังกร ข้าจะไม่รายงานให้ฝ่าบาททรงทราบ แต่หากมีครั้งหน้าอีกละก็ ศีรษะของเจ้าได้ย้ายที่วางแน่!”
ผู้ดูแลรีบคุกเข่าร้องขอชีวิต “ท่านผู้บัญชาการโปรดไว้ชีวิตด้วยเถิด ข้าน้อยไม่ได้ตั้งใจขอรับ”
“เจ้าไม่ต้องมาคุกเข่าให้ข้า ข้ายังหนุ่มยังแน่น ไม่อาจจะรับได้…รีบลุกเร็วเข้า ไม่เช่นนั้นดาบของข้าคงจะได้ดื่มเลือด…”
“ขอรับ!”
หลินมู่อวี่หัวเราะอยู่ข้างๆ “พี่เฟิง ท่านอย่าไปขู่คนอื่นให้ตกใจแบบนี้สิ…”
เฟิงจี้สิงอดหัวเราะไม่ได้ “ข้าแสร้งเคร่งขรึมแล้วนะ ยังถูกเจ้าดูออกจนได้…”
ในตอนนี้ฉินอินกลับพาถังเสี่ยวซีเดินออกจากคลังโอสถ กระโดดขึ้นม้า เฟิงจี้สิงรีบตามออกมา แล้วทูลถามเสียงดัง “องค์หญิง ทรงคิดจะทำอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เข้าเฝ้าเสด็จพ่อ ข้าอยู่คอขวดของระดับห้าสิบเก้าแล้ว ต้องไปป่าล่ามังกรเพื่อทะลวงระดับพลัง!”
“……”
……
เฟิงจี้สิงพร่ำบ่นไม่หยุด คราวนี้เป็นแหย่รังแตนเข้าแล้วจริงๆ องค์หญิงของจักรวรรดิจอมเอาแต่ใจอยากจะไปป่าล่ามังกรอีกแล้ว ทุกครั้งที่ไปไม่เคยมีเรื่องดี ครั้งนี้ก็คงไม่เว้น!
ตำหนักเจ๋อเทียน โอ่อ่าหรูหรา
ใกล้เวลาเที่ยงแล้ว จักรพรรดิฉินจิ้นกำลังจัดงานเลี้ยงพวกขุนนาง ราชเลขาธิการ รวมถึงผู้บัญชาการที่ควบคุมกรมต่างๆ และกองทัพ ล้วนนั่งอยู่ที่แห่งนี้ ฉินจิ้นยกจอกสุราหยกขึ้น แย้มพระสรวลตรัส “เชิญขุนนางทุกท่านมาดื่มจอกนี้พร้อมข้า!”
เหล่าข้าราชบริพารทั้งหลายใช้สองมือประคองจอกสุราขึ้น ให้ความสำคัญกว่าสิ่งใด ขืนมีผู้ใดทำจอกสุราพระราชทานหก อาจจะมีจุดจบที่หัวหลุดจากบ่าก็เป็นได้
และในตอนนี้เอง มหาดเล็กด้านนอกก็รายงานเสียงดัง “องค์หญิงฉินอินเสด็จ! ผู้บัญชาการเฟิงจี้สิงมาถึงแล้ว! องค์หญิงถังเสี่ยวซีเสด็จ! แล้วยังมีเจ้าเด็กน้อย เจ้าเป็นใคร เข้าไปไม่ได้ องครักษ์อวี้หลิน จับตัวเขาไว้…”
“องครักษ์อวี้หลินจงถอยไปให้หมด นี่เป็นสหายของข้า!” เสียงของฉินอินดังมา
ฉินจิ้นอดไม่ได้ที่จะวางจอกสุราลง มีสีหน้าจนใจ สำหรับบุตรีผู้นี้เขาทั้งรักทั้งเกลียด รักในความงดงามและเก่งกาจของนาง และเกลียดความดุร้ายและเอาแต่ใจของนาง แต่บางทีอาจจะรักอยู่เก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ เกลียดเพียงแค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์เท่านั้น นี่ก็คือความรักที่บิดามีต่อบุตร เขาเงยหน้าขึ้นแล้วรับสั่ง “ให้พวกเขาเข้ามาเถอะ ทหาร จัดที่ประทับให้องค์หญิงฉินอิน”
ฉินอินสวมเสื้อคลุมของตระกูลฉินเข้ามาในพระตำหนัก แล้วแย้มพระสรวล “เสด็จพ่อ!”
เสียงไพเราะและอ่อนหวานทำให้ความโกรธของฉินจิ้นมลายหายไปทันที จึงตรัสอย่างมีพระอารมณ์ดี “เสี่ยวอิน เจ้าเป็นอะไรอีกหรือ โตจนอายุยี่สิบแล้ว ยังไม่รู้จักทำตัวภูมิฐาน เจ้าเป็นถึงรัชทายาท! เฟิงจี้สิง เจ้าว่ามา องค์หญิงคิดจะทำสิ่งใดอีก”
เฟิงจี้สิงประสานหมัดคารวะ “ฝ่าบาท องค์หญิงทรง…ทรงต้องการเข้าป่ามังกรล่าสัตว์วิญญาณอีกพ่ะย่ะค่ะ เพื่อทะลวงขอบเขตนภา กระหม่อมคิดว่าไม่ค่อยจะเหมาะ ในป่าล่ามังกรอันตรายเกินไปพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินอินเหลือบมองเฟิงจี้สิงแวบหนึ่ง แววตาบ่งบอกว่าเจ้ายังพูดดีอยู่บ้าง ไม่ได้พูดถึงเรื่องสุสานมังกร ไม่เช่นนั้นเสด็จพ่อต้องไม่อนุญาตแน่นอน
“หืม จะไปป่าล่ามังกรอีกแล้วหรือ” ฉินจิ้นอดแย้มพระโอษฐ์ไม่ได้ “ลูกเพิ่งจะไปป่าล่ามังกรเมื่อไม่นานมานี้เอง เสี่ยวอิน ทำไมถึงจะไปอีกล่ะลูก”
ฉินอินย่นปากน้อยๆ ของนาง แล้วยกมือขึ้น โซ่เทวะเส้นหนึ่งพันรอบกายนางอย่างงดงามอ่อนช้อยราวกับมังกร นางค่อยๆ เดินขึ้นไปข้างหน้าช้าๆ “เสด็จพ่อทอดพระเนตรสิเพคะ โซ่เทวะของลูกถึงขีดจำกัดชั้นที่ห้าแล้ว หากไม่ทะลวงระดับ เกรงว่าจะกลายเป็นแค่ขยะชิ้นหนึ่งเท่านั้น”
“เหลวไหล โซ่เทวะจะเป็นขยะได้อย่างไร!” ฉินจิ้นเสียงเข้ม แต่พอเห็นขอบตาของฉินอินแดงแสดงท่าทางน้อยอกน้อยใจ จึงพระทัยอ่อนยวบลงทันที “จะไปก็ไป แต่อยู่ได้เฉพาะพื้นที่ล่าสัตว์ของราชวงศ์เท่านั้น”
“จะได้อย่างไรกันเล่าเพคะเสด็จพ่อ” ฉินอินเงยหน้ามองพระบิดาที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ “สัตว์วิญญาณในพื้นที่ล่าสัตว์อ่อนแอเกินไป สังหารพวกมันไปก็ไม่ช่วยให้หม่อมฉันทะลวงระดับได้หรอกเพคะ เสด็จพ่อ ทรงอนุญาตให้หม่อนฉันเขาไปในส่วนลึกของป่ามังกรนะเพคะ”
“เจ้านี่นะ…”
ฉินจิ้นถอนหายใจอย่างจนปัญญาแล้วตรัสถาม “ทุกท่าน องค์หญิงต้องการเข้าป่าล่ามังกรฝึกพลัง พวกท่านคิดว่าข้าควรจะส่งใครไปคุ้มกันถึงจะเหมาะสม”
ราชเลขาธิการลุกขึ้นยืน แล้วกล่าวขึ้น “ฝ่าบาท โอรสของท่านอ๋องจี้หนิง ผู้บัญชาการกองทหารองครักษ์อวี้หลินฉินเหลยฝีมือไม่ธรรมดา อีกทั้งยังโตมากับองค์หญิงฉินอิน ให้เขานำทหารฝีมือดีไปคุ้มกันองค์หญิงเหมาะสมที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินจิ้นพยักหน้า “อืม ยังมีคำแนะนำอื่นอีกหรือไม่”
ขุนนางผู้ใหญ่อีกท่านหนึ่งลุกขึ้นกล่าว “ฝ่าบาท กระหม่อมขอเสนอให้ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์เฟิงจี้สิงนำทหารม้าหนึ่งพันนายไปด้วยกันพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงฉินอินเป็นถึงรัชทายาท เป็นผู้สืบทอดราชวงศ์ จำเป็นต้องรับรองความปลอดภัยของพระองค์ น่าเสียดายที่องครักษ์อวี้หลินชุดขาวทั้งหกคน มีแค่พวกเขาสองคนที่ไปได้ตลอดเวลา เหลยหงต้องดูแลวิหารศักดิ์สิทธิ์ ปลีกตัวได้ยาก ชวีฉู่เองก็ไม่อยู่เป็นหลักแหล่ง มิเช่นนั้นถ้าให้ใต้เท้าชวีฉู่คุ้มกันองค์หญิงเข้าป่าจะดีที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินจิ้นแย้มพระโอษฐ์ “ตกลงตามนี้ ผู้บัญชาการเฟิงจี้สิง เจ้านำทหารม้าสองพันนายคุ้มกันองค์หญิงไปป่าล่ามังกร ฉินเหลย เจ้านำองครักษ์อวี้หลินร้อยนายไป ต้องคุ้มกันองค์หญิงให้ดี เข้าใจหรือไม่”
เฟิงจี้สิงและฉินเหลยคุกเข่าลงข้างหนึ่ง แล้วประสานมือคำนับ “กระหม่อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!
……
ช่วงบ่าย นอกตำหนักเจ๋อเทียนมีทั้งเสียงคนตะโกนและม้าร้อง ทหารสองพันกว่านายเคลื่อนทัพ ขบวนทหารมุ่งสู่ป่าล่ามังกร
ฉินอินรู้สึกจนใจ เดิมทีนึกว่าจะได้เข้าไปฝึกในป่าล่ามังกรกับถังเสี่ยวซีและหลินมู่อวี่แค่สามคน ไม่คิดเลยว่าจะต้องเดินทางเป็นกองทัพเช่นนี้ แต่นางก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะอย่างไรเสียนางก็เป็นรัชทายาท บางทีนี่ก็อาจจะเป็นสิ่งที่ต้องแลกของการอยู่เหนือคนนับหมื่น
ฉินเหลยและเฟิงจี้สิงสวมชุดเครื่องแบบขององครักษ์อวี้หลินชุดขาว ขนาบข้างซ้ายและขวาของฉินอิน ส่วนถังเสี่ยวซีกลับขี่ม้าข้างหลินมู่อวี่อยู่ด้านหลัง กลุ่มทหารม้าเร็วด้านหน้ารับหน้าที่สอดแนม เคลื่อนขบวนออกจากเมืองไปอย่างยิ่งใหญ่ ถึงขั้นที่หลินมู่อวี่ไม่มีเวลากลับวิหารศักดิ์สิทธิ์ไปเก็บสัมภาระ แต่แค่มีกระบี่เหลียวหยวนก็พอแล้ว เขาไม่ได้ต้องการสิ่งใดเพิ่ม
หลังจากตะวันตกดิน พวกเขาก็เข้าสู่ป่าล่ามังกร
เนื่องจากยังอยู่ในป่าล่ามังกรชั้นนอก ดังนั้นทุกคนจึงค่อนข้างผ่อนคลาย แต่ยามราตรีที่ดวงดาวเต็มฟ้า รวมกับเสียงร้องของแมลงทำให้ทุกคนยังสบายอกสบายใจอยู่
ข้างกระโจมสีขาว หลินมู่อวี่ถือกระบี่เหลียวหยวนเดินเข้าไปในพงหญ้า เขามองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นสมุนไพรอะไรที่เรืองแสงได้ ดูท่าใกล้เมืองหลันเยี่ยนแบบนี้คงไม่น่ามีหญ้าราตรีกระจ่าง