ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แฟนเพจ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลย
https://www.facebook.com/AncientStrengtheningTechnique
บทที่ 1451 – งานแต่งงานของซานยูและฮัว รูเหม่ย
ชิงสุ่ยกลับไปที่พระราชวังจอมอสูร เขาต้องการทำลายกลุ่มมังกรอหังกาลในทันที เพราะชายชราผู้นั้นทำให้เขาไม่เคยได้อยู่อย่างสงบสุขเลย แม้ว่าพวกเขาจะมีชายชราคนหนึ่งของจักรวรรดิเหยียนอยู่ด้วยแต่นั่นก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร เพราะเขาต้องการจบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด
ในตอนนี้เขาค่อนข้างคุ้นเคยกับพระราชวังจอมอสูรแล้ว พลังของเขาเพิ่มขึ้นมากนับจากครั้งสุกท้ายที่เขามาที่นี่ เขาได้รับประโยชน์มากมายจากการเข้าไปที่ซากโบราณสถาน ไม่เพียงแต่พลังของเขาที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลทักษะการจับสัตว์อสูรของเขาก็พัฒนาขึ้นเช่นเดียวกัน ที่สำคัญที่สุดคือเขาได้รับมรดกแห่งเทพสังหารทองคำ
ด้วยทักษะย่างก้าว 9เทวาที่ไม่สามารถใช้งานได้ ชิงสุ่ยจึงนั่งไปบนหลังของวิหคเพลิงและฝึกฝนทักษะเสียงสัมผัสแห่งพระเจ้า – เขาไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้แล้ว
เขามีพัฒนาการที่ดีในตอนที่ฝึกฝนที่บ้านเมื่อหลายวันก่อน มันอาจจะถือว่าเป็นความสำเร็จเล็กๆน้อยๆแต่การยกระดับนั้นเป็นเรื่องยากยิ่งนัก ในตอนนี้เขาสามารถได้ยินอะไรก็ได้ภายในรัศมีหนึ่งหมื่นลี้ มันเป็นความสำเร็จเล็กๆน้อยๆที่ยังไม่สมบูรณ์แบบ
รัศมีหนึ่งหมื่นลี้นั้นก็ถือว่าดีแต่ยังห่างไกลจากที่ชิงสุ่ยต้องการ เมื่อเขาสำเร็จทักษะเสียงสัมผัสแห่งพระเจ้าถึงจุดสูงสุดก็จะสามารถได้ยินทุกเสียงในโลก 9 มหาทวีป มันอาจพังดูเป็นไปไม่ได้ก็ต้องไม่รู้ว่าต้องผ่านไปอีกกี่ระดับถึงจะทำแบบนั้นได้ การฝึกฝนมันไปถึงจุดสูงสุดย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน
ทักษะเสียงสัมผัสแห่งพระเจ้าทำให้ชิงสุ่ยตื่นตัวในระหว่างต่อสู้ เหมือนคำกล่าวที่ว่า ดวงตาต้องจดจ้องและหูต้องตื่นตัวอยู่เสมอ บางครั้งการได้ยินก็สำคัญยิ่งกว่าการมองเห็น
ในตอนนี้ชิงสุ่ยสามารถเพิ่มสามารถใระหว่างนการต่อสู้ของเขาด้วยการปิดตาและใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับการฟังเสียง แน่นอนว่าการรวมกันระหว่างทั้ง 2 อย่างนี้ทำให้พลังของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นกัน
เมื่อเขามาถึงพระราชวังจอมอสูรอีกครั้ง ทุกๆอย่างก็รู้สึกแตกต่างออกไปจากเดิม มันรู้สึกราวกับว่าหลายคนในพระราชวังนี้เป็นมิตรมากขึ้น หอโอสถสำหรับชิงสุ่ยนั้นเป็นที่ทีี่เขารู้สึกสบายมากที่สุดตั้งแต่ครั้งแรกที่มาที่นี่ คนส่วนใหญ่ของที่นี่นั้นเป็นผู้อาวุโสและไม่มีผู้ใดที่มาคอยอิจฉาความสามารถของชิงสุ่ย กลับกันพวกเขากลับคอยช่วยเหลือเขาทุกๆอย่างโดยเฉพาะปีศาจเฒ่านั่น
สำหรับตำหนักยุทธ์และตำหนักอสูรเร้นลับพวกเขาต่างก็ทรงพลังที่สุดใน 12 ผู้คุมกฏ แม้ว่าผู้คนของคนหลายพันคนและจ้าวปีศาจ ซานยูก็ต่างคุ้ยเคยกับชิงสุ่ย
แม้แต่รองประมุขวัง ฮัว รูเหม่ยก้ได้กลายมาเป็นพี่สาวของชิงสุ่ย นอกจากนี้ยังมีข่าวลือเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับประมุขอสูรแต่ไม่มีใครรู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่
หลายคนเริ่มเข้ามาทักทายชิงสุ่ยก่อน เขาทักทายตอบกลับไปและตรงไปยังหอโอสถ ทุกๆคนต่างรู้ว่าฮัว รูเหม่ยและซานยูกำลังจะแต่งงานกันในอีกไม่นานนี้
นี่ถือเป็นพิธีแห่งความสุขของพระราชวังจอมอสูร บวกกับตอนนี้พวกเขากำลังรอให้ชิงสุ่ยกลับมาร่วมงานแต่งงานของพวกเขา นี่แสดงให้เห็นว่าชิงสุ่ยสำคัญมากเพียงใดในที่แห่งนี้
เมื่อเขาได้มาถึงคฤหาสน์ของฮัว รูเหม่ย เขาก็เห็นถานท่าย หลิงเยียนอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน ทันทีที่นางเห็นเขาฮัว รูเหม่ยก็พุ่งเข้าใส่ชิงสุ่ยและกอดเขาทันที “ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว!”
“เจ้าตื่นเต้นหรือไม่ที่กำลังจะได้แต่งงาน?” ชิงสุ่ยหัวเราะและตอบกลับไป
“เจ้าอยากโดนข้าตีหรอ? ถึงได้มาเย้าหยอกข้าเช่นนี้ แล้วครอบครัวของเจ้าล่ะเป็นอย่างไรบ้าง?” ฮัว รูเหม่ยหัวเราะและกล่าวออกมา
ชิงสุ่ยพยักหน้าและพูดออกมา “พวกเขาสบายดี!”
“เช่นนั้นเจ้าก็ควรผ่อนคลายได้แล้ว เจ้าต้องทนกับเรื่องพวกนี้มานานหลายสิบปี”
“อื้ม ข้ารู้สึกผ่อนคลายมากยิ่งขึ้นแล้วในตอนนี้แต่ก็ยังมีเรื่องบางอย่างที่ข้ายังต้องทำอีก หลังจากงานแต่งงานของพี่สาวพวกเราจะออกเดินทางไปที่จักรวรรดิเหยียนและทำลายทุกอย่างที่นั่นหากพวกเขายังไม่หยุดในเรื่องนี้”
ถานท่าย หลิงเยียนยังคงเงียบอยู่ หลังจากที่ชิงสุ่ยได้เห็นนางพวกเขาก็ไม่ได้ทักทายกันแต่อย่างใด เขายิ้มนักหนาว่า “เจ้ามีเวลาว่างสักหน่อยเพื่อพูดคุยเรื่องไร้สาระกับข้าหรือไม่ในตอนนี้?”
ถานท่าย หลิงเยียนรู้สึกงุนงง “เอ๋?”
ชิงสุ่ยลูบจมูกของเขา “เจ้ามีความสุขหรือไม่ที่พี่สาวและพี่ชายซานได้แต่งงานกัน?”
“แน่นอนว่าข้าต้องมีความสุข!”
“เช่นนั้นเจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าเหตุใดเจ้าถึงมีความสุข?” ชิงสุ่ยรู้สึกว่าตนเองกล้าหาญอย่างยิ่งที่ถามคำถามนี้ออกไป
“มันจะไม่มีความสุขได้อย่างไรในเมื่อทั้งสองคนได้ครองรักกัน?” ถานท่าย หลิงเยียนรู้สึกงงกับคำถามของชิงสุ่ย
“เจ้าเชื่อในความรักหรือไม่?” ชิงสุ่ยหัวเราะออกมาเมื่อเขาถามเช่นนี้ เขารู้สึกว่าเขาเคยกล่าวเช่นนี้มาก่อน เขารู้สึกว่าตนเองเหมือนเป็นบาทหลวงที่ทำพิธีแต่งงานอยู่ในโบสถ์……
“ความรักคืออะไรกัน?” หญิงสาวลังเลเล็กน้อยและถามไปยังชิงสุ่ย
ชิงสุ่ยรู้สึกประหลาดใจ เขาไม่คาดคิดว่านางจะถามคำถามนี้ออกมา เขายิ้มและตอบกลับไปว่า “ทุกๆคนมีความคิดที่แตกต่างกันในเรื่องนี้ แต่ข้าจะบอกเจ้าเช่นนี้ ‘วันที่สุราและดอกกุหลาบทำให้พวกเรานั้นรู้สึกไม่อยากที่จะแยกจากกัน จนกว่าโลกใบนี้จะจบสิ้น จนกว่าเวลาทั้งหมดจะหายไป จนกว่าความตายจะพรากเราแยกจากกัน แม้แต่ตื่นนอนในตอนเช้าข้าก็ยังสงสัยว่าพระจันทร์นั้นเย็นชาเหมือนเจ้าหรือไม่ ข้ามขุนเขาและมหาสมุทรแม้จะเข้าใกล้เจ้าเพียงใดแต่เจ้าก็ยังห่างออกไปอยู่ดี ข้าหวังว่าวิหคบนท้องฟ้าก็เฝ้ามองพวกเราอยู่เช่นกัน’ ” ชิงสุ่ยรู้สึกอายเล็กน้อยเมื่อเขากล่าวบทกวีเช่นนี้ออกมา
“ข้าไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน” หญิงสาวกล่าวขึ้นทันที
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า!” ฮัว รูเหม่ยหัวเราะออกมาทันที
ชิงสุ่ยลูบจมูกของเขาอย่างอึดอัดใจและกล่าวออกมาอีกครั้งว่า “เวลาที่ข้าไม่มีเจ้านั้นได้ผ่านมากว่า 3 ปีแล้ว”
“ไม่!”
“แม้มันจะดูน่ารำคาญสำหรับเจ้าแต่อย่างน้อยข้าก็ยินดีที่ได้ทำ”
“จนกว่าความตายจะแยกเราจากกันเจ้าจะอยู่ในหัวใจของข้าตลอดไป โปรดส่งมือของเจ้ามาแล้วพวกเราจะเดินไปด้วยกันจนถึงวันที่โลกล่มสลาย”
“ท่านหญิงผู้สูงศักดิ์ ข้าไม่อาจลบภาพเจ้าออกไปจากจิตใจได้เลย ในวันที่ไม่มีเจ้านั้นข้ารู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง”
“ไข่มุกที่เจ้ามอบให้ก่อนหน้านี้ข้าจะคืนมันกลับไป เหตุใดพวกเราถึงไม่เจอกันก่อนหน้านี้ข้าจะได้มอบหัวใจให้เจ้าไปด้วย?”
ชิงสุ่ยยังคงพูดไม่หยุดขณะที่หญิงสาวเอาแต่ส่ายศีรษะ……
“ชิงสุ่ย นี่คือคำสารภาพรักงั้นหรือ?” ฮัว รูเหม่ยดูเหมือนจะตกตะลึงในตอนนี้
“ข้ากำลังช่วยเหลือนางให้หาหนทางแห่งความรักของตนเองให้เจอ……” ชิงสุ่ยหัวเราะและกล่าวออกมา ไม่ว่ายังไงมันก็บรรลุวัตถุประสงค์ที่เขาต้องการแล้ว
วัตถุประสงค์ของเขานั้นก็เรียบง่ายอย่างยิ่งเขาต้องการเพียงสานความสัมพันธ์กับหญิงสาวผู้นี้เท่านั้น
……
3 วันถัดจากนั้นงานแต่งงานของซานยูและฮัว รูเหม่ยก็ถูกจัดขึ้นที่พระราชวังจอมอสูร โดยมีชิงสุ่ยเป็นพยานในการแต่งงานครั้งนี้ สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกผิดหวังนั่นก็คืองานนี้ไม่มีเพื่อนของเจ้าบ่าวและเพื่อนของเจ้าสาว มิฉะนั้นเขาย่อมได้เคียงคู่กับประมุขอสูรอย่างน้อยสักครั้งหนึ่ง
ความสัมพันธ์ของซานยูและฮัว รูเหม่ยนั้นมีมาอย่างยาวนานและมีผู้คนมากมายที่คอยเฝ้าดูความสัมพันธ์ของพวกเขาเติบโตขึ้นเรื่อยๆ การได้เห็นพวกเขาแต่งงานกันจึงถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งสำหรับหลายๆคน
ในมหาทวีปธรรมไตรนั้นมีผู้คนมากมายที่มีภรรยาหลายคน แต่ผู้คนที่โดดเด้นอย่างฮัว รูเหม่ยนั้นหาได้ยากยิ่งนัก ชายหนุ่มที่โดดเด่นนั้นย่อมไม่ขาดหญิงสาว แต่พวกเขาหลายคนย่อมเลือกหญิงสาวอย่างฮัว รูเหม่ยเพื่อเป็นคู่ครองเพียงคนเดียว
ชิงสุ่ยไม่เคยเป็นเหมือนชายพวกนั้น แน่นอนว่าเขาไม่ได้คิดว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเป็นสิ่งที่ดีและรู้สึกละอายกับการกระทำของตนเองด้วยเช่นกัน เขารู้สึกว่าความรักของเขานั้นมันเห็นแก่ตัวแต่เขาก็มีหญิงสาวอยู่เป็นจำนวนมากและมันก็มีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
หัวข้อเช่นนี้เขาไม่อาจพูดมันกับประมุขอสูรได้และเขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดกับใครได้ เขาสงสัยว่านางจะยอมเป็น “นางสนม” ของเขาหรือไม่ แม้กระทั่งตอนนี้ผู้หญิงของชิงสุ่ยก็ดูเหมือนจะมีอิสระในการใช้ชีวิตมากยิ่งขึ้น ท่านหญิงจางดูแลสำนักสวรรค์เร้นลับ ติ๊เฉินเป็นผู้นำนิกายบงกชเทวะ อวี้ ลู่หยาน อี่หวง กู่หวู๋ และถานท่าย หยวนนั้นดูแลเทือกเขาปู๋โถวในไห่หนาน
ชื่อของประมุขอสูรนั้นคือถานท่าย หลิงเยียนและสกุลถานท่ายนั้นหาได้ยากยิ่งนัก ชิงสุ่ยเคยถามประมุขอสูรไปครั้งหนึ่งแล้วได้คำตอบว่าสกุลนี้มีคนอยู่เป็นจำนวนมากในโลก 9 มหาทวีป แม้แต่สกุลอย่างถานท่ายก็มีคนมากมาย ตระกูลถานท่ายนั้นได้แยกออกมาเป็นตระกูลต่างๆตั้งแต่สมัยโบราณ มันคงไม่ใช่เรื่องแปลกหากพวกเขาจะกลับมารวมตัวกันอีกครั้งแม้เวลาจะผ่านไปนานหลายล้านปี
ในอดีตนั้นไม่มีใครสนใจเรื่องสกุลแต่อย่างใดเพราะมีคนจำนวนมากที่ใช้สกุลเดียวกัน จำนวนของผู้คนในโลก 9 มหาทวีปนั้นมีมากเกินไปดังนั้นจึงมีคนมากมายที่ใช้สกุลเดียวกัน ชิงสุ่ยถามออกไปเพราะความสงสัยเท่านั้น.
งานแต่งงานเป็นไปอย่างสนุกสนาน ผู้ที่เข้าร่วมงานมีเพียงคนของพระราชวังจอมอสูรท่านั้น
ประมุขอสูรได้ปรากฏตัวขึ้นในงานแต่งงานครั้งนี้ ชิงสุ่ยออกมาพร้อมกับนางแต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรเหมือนกับเขาไม่มีตัวตนอยู่ที่นี่ แต่เขาไร้ยางอายพอที่จะปรากฏตัวพร้อมกับนางต่อหน้าฝูงชนโดยไม่สนสิ่งใด
วันนี้ได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว คู่บ่าวสาวได้กลับไปที่ห้องหอของพวกเขาและแขกคนอื่นก็ได้กลับไป
”เจ้าไม่กลับไปหรือ? เหตุใดเจ้าเอาแต่คอยตามข้าอยู่เช่นนี้?” ถานท่าย หลิงเยียนมองไปยังชิงสุ่ย
“โอ้ ข้าเกือบลืมไปเลย อีก 2 วันหลังจากนี้พวกเราจะไปยังจักรวรรดิเหยียน.” ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าวขึ้น
“อื้ม ตกลง!”
“พวกเราไม่จำเป็นต้องพาคนไปมากมายแค่พวกเราก็ถือว่ามากพอแล้ว ให้คนอื่นรอคอยอยู่ที่พระราชวังจอมอสูรจะดีกว่ารวมถึงผู้อาวุโสสูงสุดด้วยเช่นกัน” ชิงสุ่ยไม่ได้เป็นกังวลเกี่ยวกับพระราชวังจอมอสูรเพราะรูปแบบของที่แห่งนี้นั้นแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ด้วยประมุขอสูร ผู้อาวุโสสูงสุดและปีศาจเฒ่าที่คอยปกป้องที่นี่อยู่ พระราชวังจอมอสูรย่อมปลอดภัย
“ตกลง!” ถานท่าย หลิงเยียนพยักหน้าหลังจากที่คิดครู่หนึ่ง
“เจ้าควรฝึกฝนเคล็ดวิชานี้หากเจ้ามีเวลาว่าง มันจะช่วยเจ้าได้มาก” ชิงสุ่ยยื่นม้วนคัมภีร์ทักษะเสียงสัมผัสแห่งพระเจ้าให้แก่นางและเดินจากไปโดยที่ไม่พูดอะไรอีก
นางจ้องมองไปที่ชิงสุ่ยที่กำลังเดินจากไปด้วยความสับสน ก่อนหน้านี้นางบอกเขาว่านางรู้สึกเหนื่อย นี่เป็นครั้งแรกที่นางกล่าวเช่นนี้กับคนอื่นๆ ความอ่อนแอของนางถูกเก็บเอาไว้เป็นความรักเสมอ นางไม่เคยบอกกล่าวเรื่องนี้กับใครไม่เว้นแม้แต่ฮัว รูเหม่ย
นางสามารถคาดเดาความรู้สึกที่ชิงสุ่ยมีต่อนางได้ไม่มากก็น้อยแต่นางไม่เคยเข้าใจมันมาก่อน นางไม่เคยมองผู้ชาแบบนั้นมาก่อนไปก่อนหน้านี้ สำหรับนางแม้แต่ซานยูก็มีความสัมพันธ์เพียงเล็กน้อยกับพระราชวังจอมอสูรเท่านั้น อาจจะเป็นเรื่องอื่นก็คงเป็นความสัมพันธ์ของเขากับฮัว รูเหม่ย
ไม่ใช่เพราะว่านางดูถูกผู้ชายทุกคนแต่เพราะว่านางไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้มาก่อนเลย บางครั้งนางก็สงสัยว่าตัวเองเป็นหญิงสาวที่ปกติหรือไม่ มีคนที่ไม่เคยไล่ตามความรักและรู้สึกโดดเดี่ยวแบบนางหรือไม่ บางทีความรู้สึกโดดเดียวนั่นก็เป็นข้อพิสูจน์ว่านางเองก็เป็นมนุษย์ เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง
แม้ว่าตอนที่นางได้ออกจากโลงศพแก้ว นางก็ไม่เคยรู้สึกอยากกลับไปหาชิงสุ่ยหรือผู้ชายคนอื่นเลย ความเย็นชาเช่นนี้เป็นเหมือนตัวตนปกติของนาง ทำให้นางสามารถปิดกั้นหัวใจของตนเองเอาไว้ได้นานกว่า 20 ปี
แม้กระทั่งตอนนี้ชายหนุ่มผู้นี้ก็มาปรากฏตัวขึ้นในใจของนาง นางไม่ได้รู้สึกเกลียดเขาหรือชอบเขาแต่อย่างใด ขอเป็นคนที่ได้ใกล้ชิดกับนางมากที่สุดเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ
บางทีนี่อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ นางหันไปรอบๆและเดินกลับไปยังคฤหาสน์ของตนเอง นางถอนหายใจออกมาในตอนนี้ ไม่รู้ว่าเป็นการถอนหายใจเพื่อตนเองถือเป็นการถอนหายใจเพราะชิงสุ่ย.
2 วันถัดมาพวกเขาก็เตรียมพร้อมแล้ว ในตอนนี้มีเพียง 4 คนเท่านั้นนั่นคือ ชิงสุ่ย ถานท่าย หลิงเยียน ฮัว รูเหม่ย และซานยู จิน ชื่อนั้นอยู่ที่พระราชวังจอมอสูร ฮัว รูเหม่ยสั่งให้เขาอยู่ที่นั่น เพราะว่าการฝึกยุทธของเขากำลังจะสำเร็จแล้ว
จิน ชื่อถอนหายใจออกมาด้วยความตกใจเมื่อเขารู้ถึงความตั้งใจของฮัว รูเหม่ย แม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าเขาไม่มีโอกาสแล้ว แต่สิ่งที่เขาทำได้ก็คือเก็บงำความรู้สึกของเขาไว้และปิดกั้นมันเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจ