โธรณีเห็นความเร็วของมุกดาไม่ทันตัวเอง เธอก็รีบโทรหานีรชาให้รีบมาส่งแล็ปท็อปให้ตัวเองหนึ่งเครื่อง
“แสนดี ไม่ต้องแล้ว ฉันพอทำได้อยู่ ใช้เวลาสามวันก็พอสมควรแล้ว” มุกดาได้ยินโธรณีโทรหาแม่ของเธอ ก็รีบห้าม แล็ปท็อปเครื่องนั้น จะต้องหมื่นกว่าแน่ แพงมากเลยนะ ตอนนี้เธอจะฟุ่มเฟือยเรื่องเงินกับเรื่องแบบนี้ไม่ได้
“ไม่เป็นไร ถือว่าเป็นของขวัญที่ฉันให้เธอ ยังไงแม่ของฉันก็ให้ของขวัญให้เธอแล้ว ฉันยังไม่เคยให้เลย พอดีเลยฉันไม่รู้ว่าเธอชอบอะไร ตอนนี้เธอต้องการสิ่งนี้ งั้นมันพอดีเลยไม่ใช่หรือไง?” โธรณีรู้สึกตัวเองก็ส่งของขวัญให้พี่สะใภ้แล้ว ก็รู้สึกสบายใจมาก แม้ว่าจะไม่แพงเท่าของขวัญจากแม่ แต่ว่ามันมีประโยชน์
ไม่นานนัก ก็มีคนเคาะประตู แล้วส่งแล็ปท็อปเข้ามา โธรณีก็เปิดเครื่อง แล้วโหลดข้อมูลพจนานุกรมจำนวนมาก แล้วยื่นให้มุกดา
“ได้แล้ว ถ้าเธอทำแบบนี้ความเร็วจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าอย่างแน่นอน ใช้อินเทอร์เน็ตหาคำศัพท์เร็วกว่าการใช้มือค้นสมุดอีก” มุกดาก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก รีบทำงานดีกว่า
ได้ยินเสียงพิมพ์บนแป้นพิมพ์ในห้องส่วนตัวทั้งห้อง ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกัน เป็นเพราะกำลังง่วนอยู่กับงานของตัวเองอยู่
แต่ถึงแม้ว่าสองคนจะยุ่ง แต่ก็มีอีกคนที่ว่างมาก เมื่อได้ยินแต่คนมาเคาะประตูเพื่อส่งอาหาร และจากนั้นก็มีคนมาเคาะประตูเพื่อส่งเครื่องดื่ม และผู้ส่งขนม โธรณีที่รีบอยู่นั้นก็โทรหาแม่ของเธออีกครั้ง
“แม่ พวกหนูไม่ได้มาเพื่อชิมชาและนั่งคุยกัน พวกหนูกำลังทำงานอยู่ เข้าใจไหม? อย่ามารบกวนพวกหนูอีกนะ” โธรณีพูดจบ ก็วางสาย จากนั้นก็ไม่มีใครมารบกวนพวกเธออีก
กลางวันนั่งแปลในร้านน้ำชาทั้งวัน กลางคืนมุกดาก็กลับบ้านไปแปลงานต่อ เธออยากให้ตัวเองเร็วกว่านี้หน่อย แบบนี้ก็จะช่วยโธรณีได้แล้ว
สามีของตัวเองยังไม่กลับมา ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ว่าช่วงนี้มุกดาก็ไม่มีเวลาไปสนใจเขา เธอต้องการทำงานนี้ให้ดี ส่งมอบงานแล้วถึงจะดีที่สุด
มุกดาทำงานของตัวเองเสร็จหลังจากทำงานอย่างหนักมาสองวัน เธอช่วยโธรณีแปล กลับถึงบ้านโธรณีก็ไปเที่ยวแล้ว ดังนั้นงานเธอก็ช้าลง
“เฮๆ มุก เธอกลับบ้านยังทำงานล่วงเวลาอีกเหรอ? ฉันบอกแล้วไม่ใช่หรือไง ด้วยแรงของพวกเราสองวันครึ่งเสร็จแล้ว เธอจะรีบอะไร นอนดึกไม่ดีต่อสุขภาพนะ” เมื่อเห็นมุกดาช่วยงานตัวเองจนไม่ว่าง โธรณีก็พูดอย่างเกรงใจ
“ไม่เป็นไร นิสัยฉันก็อย่างนี้แหละ มีเรื่องอะไรที่ทำไม่เสร็จในใจก็จะรู้สึกติดๆอะไรอยู่ นอนไม่หลับน่ะ” มุกดาช่วยโธรณีแปล เธอให้โธรณีพักผ่อนอยู่ข้างๆ
ในไม่ช้า งานของทั้งคู่ก็เสร็จสิ้น มุกดาจัดเรียง และคัดลอกสำเนาไปยังกล่องจดหมายของตัวเองทุกอย่างพร้อมแล้วในแฟลชไดรฟ์ เพียงแค่รอไปที่สำนักงานเพื่อพิมพ์ออกมาในวันพรุ่งนี้
“มุก พูดกันไว้แล้ว เสร็จงานตรงเวลาฉันก็จะเลี้ยงข้าวเธอไง เธอบอกมาเลย อยากกินอะไรฉันเลี้ยง อย่าผิดนัดฉันนะ” โธรณีพูดอย่างมีน้ำใจกับมุกดา
“งั้นฉันอยากชวนคนอีกคนได้ไหม?” มุกดายังคิดถึงรสชาติที่ชลธีชวนเธอไปทานอาหาร สูตรเด็ดร้านนั้น ที่จันวิภายังไม่เคยไปทาน เธออยากพาจันวิภาไปด้วย
“หนึ่งคน?” โธรณีทำสีหน้าลำบากใจมาก
“ถ้าไม่ได้ก็ช่างเถอะ ฉันก็แค่พูดไปงั้นแหละ คุณอย่าเอาจริงเอาจังเลยนะ” มุกดาคิดว่าโธรณีไม่เต็มใจ
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ความหมายของฉันคือแค่คนเดียวเหรอ สิบคนก็ได้ ฉันเลี้ยงเอง เธอเป็นคนกำหนดจำนวนคน เอามาหมดเลยสิ ฉันชอบเธอ เพื่อนของเธอฉันก็ชอบด้วย” โธรณีพูดเหมือนเป็นแฟนของมุกดา
“หึๆไม่มี มีเพียงคนเดียวเท่านั้นแหละ คนคนนั้นเป็นเพื่อนสนิทฉัน นิสัยของเหมือนเธอมาก บางทีพวกเธออาจจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้” มุกดารู้สึกนิสัยใจคอของโธรณีสามารถเข้ากันได้ แถมเธอก็ชอบคุณแม่ของโธรณีมาก
“งั้นก็รีบๆ เรียกเพื่อนสนิทของฉันมาเลย ฉันอยากเจอเธอไม่ไหวแล้ว” โธรณีพอได้ยินว่ามีคนนิสัยที่คล้ายกับตัวเอง ก็รีบเอาจันวิภาไว้ในลิสต์เพื่อนสนิทของตัวเองทันที
มุกดาโทรหาจันวิภา เมื่อจันวิภาได้ยินว่ามีคนเลี้ยง เธอก็ลางานในตอนบ่าย และวิ่งไปที่ร้านชาโดยทันที
“คนนี้คือโธรณี ส่วนคนนี้ก็คือเพื่อนสนิทฉันจันวิภา” มุกดาแนะนำทั้งสองคน
“ได้ยินมาว่าบุคลิกของเธอเหมือนกับฉัน ฉันเลยอยากเจอเธอจริงๆ ฉันชื่อโธรณีดีใจที่รู้จักนะ” เมื่อโธรณีเห็นจันวิภาก็รู้สึกราวกับวีรบุรุษที่เจอกันเมื่อสายไปเสียแล้ว
“จริงๆ ฉันก็คิดว่าบุคลิกของพวกเราคล้ายกันมาก ฉันชื่อจันวิภา งั้นพวกเรา…” โธรณีและจันวิภาก็เริ่มคุยกันอย่างตื่นเต้น โดยลืมกับมุกดาที่อยู่ข้างๆ
“อะฮึ่ม” มุกดาต้องการดึงความสนใจของทั้งสองคน
“มุก คอของเธอเป็นอะไรรึเปล่า? ดื่มชาหน่อยสิ!”
“อืม อืม ดื่มน้ำเยอะหน่อย ดีต่อคอนะ!” ทั้งสองกลับหัวห่วงมุกดา จากนั้นก็เริ่มพูดถึงอดีตของตัวเองตั้งแต่ยังเด็ก
มุกดารู้สึกว่าตัวเองถูกทั้งสองลืม” เมื่อไหร่พวกเราจะไปกินข้าว ฉันรู้จักร้านอาหารลับนั้นรสชาติดีมาก” มุกดาเตือนทั้งสองคนอีกครั้ง
“ร้านอาหารลับ? งั้นพวกเราไปตอนนี้เลย เดี๋ยวค่อยๆคุยกันตอนทานข้าว!” เมื่อสองคนได้ยินมุกดาพบร้านอร่อยๆ ก็หยุดการพูดคุยลง อะไรก็ไม่สำคัญไปกว่าการทานข้าว
“ร้านอยู่ไม่ไกลจากบริษัทพวกเรา ไปกันเถอะ พวกเราไปดูกัน เวลานี้คนน่าจะไม่เยอะ” ในที่สุดก็เตือนนักชิมสองคนให้นึกถึงตัวเองจนได้
ทั้งสามคนนั่งรถโปโลของโธรณี คุยกันอย่างสนุกสนานจนมาถึงร้านอาหารที่ไม่มีชื่อ
โธรณีจอดรถ เธอเห็นร้านอาหารนี้ ก็ขมวดคิ้ว แต่เห็นมุกดากับจันวิภากำลังมีความสุขอยู่ เธอก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
“สวัสดีค่ะ สามคนเหรอคะ ยังเป็นที่เดิมไหมคะ?” เถ้าแก่เนี้ยเห็นมุกดาก็จำเธอได้ทันที
” อื้ม ได้ค่ะๆ” มุกดารู้สึกว่าที่เก่าก็โอเค แถมยังสงบและแสงดีอีกด้วย
“งั้นยังคงเมนูเดิมใช่ไหมคะ?” เถ้าแก่เนี้ยพูดอย่างยิ้มแย้มแจ่มใสกับสาวสวยทั้งสาม ที่เต็มไปด้วยความสดใสและมีชีวิตชีวา ทำให้ดูน่าชวนชม
“อืม ได้เลยค่ะ” ยังไงก่อนหน้านั้นที่ทานก็ไม่เลว
“ได้จ้ะ พวกคุณรอสักครู่นะ ฉันไปเตรียมให้พวกคุณก่อน” เถ้าแก่เนี้ยใช้ความเร็วเล็กน้อยในการเดินไปทำอาหาร
“มุก เธอรู้ได้ยังไงว่าอาหารที่นี่อร่อย? เคยมากินกับใครใช่หรือเปล่า?” จันวิภาแกล้งถามมุกดา
“คราวที่แล้วฉันทำงานล่วงเวลา ประธานชลธีเคยพาฉันมาทานแล้วครั้งหนึ่ง ฉันรู้สึกพอใช้ได้ พอดีวันนี้โธรณีเลี้ยงข้าว ก็เลยมา หึๆ เลยให้มาเลี้ยงข้าวเธอด้วยอีกคนเสียเลย” มุกดาก็บอกตามตรงว่าเกิดอะไรขึ้น
“ชล ฉันเข้าไปก่อนนะ!” สามคนกำลังคุยกันอยู่ ก็ได้ยินเสียงคนเรียกชลธีจากหน้าประตูดังเข้ามา