[นิยายวาย] ทะลุระบบข้ามภพมาหารัก – ตอนที่ 162 บำเพ็ญเพียรนอกกระแส ศิษย์น้อยผู้แสนดีชำระแค้น (11) / ตอนที่ 163 บำเพ็ญเพียรนอกกระแส ศิษย์น้อยผู้แสนดีชำระแค้น (12)

ตอนที่ 162 บำเพ็ญเพียรนอกกระแส ศิษย์น้อยผู้แสนดีชำระแค้น (11)

 

 

หยาดน้ำฝนร่วงโปรยปรายจากเพดานถ้ำ น่าจะเป็นน้ำฝนที่สั่งสมอยู่ภายในนี้ตลอดทั้งปี ถ้ำแห่งนี้ใกล้กับบริเวณยอดเขา จึงมักมีน้ำไหลซึมลงมาจากยอดเขาเป็นประจำ

 

 

ตันหวายเพ่งมองหยาดน้ำฝนอยู่ครู่ใหญ่ ที่นี่บรรยากาศมืดสลัว หยาดน้ำฝนจึงดูคล้ายกับหยาดโลหิต ทำเอาคนที่เดินผ่านมาด้านล่างอกสั่นขวัญผวา

 

 

ตันหวายหมดคำพูด เห็นชัดๆ ว่าเป็นนิยายกำลังภายในตามล่าศัตรูคู่อาฆาต แล้วไหงถึงได้กลายเป็นนิยายสยองขวัญไปเสียอย่างนั้น

 

 

เฟิงสือหลี่เดินตามอยู่ข้างหลังตันหวาย ใบหน้าไม่แสดงความรู้สึกใดๆ หากตันหวายหันกลับไปมองตอนนี้ อาจจะพบว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดาอย่างที่เขาคาดคิดเอาไว้

 

 

ตันหวายหยุดชะงัก มองดูภาพตรงหน้าอย่างตื่นตระหนกจนพูดอะไรไม่ออก เฟิงสือหลี่เดินตามเข้ามา ก่อนจะนิ่งเงียบไปเช่นเดียวกัน

 

 

เจียงจิ่นหวาย น่าจะเป็นเจียงจิ่นหวาย

 

 

เขากำลังนั่งเหยียดตัวตรงอยู่ด้านในโพรงถ้ำ ร่างกายแข็งทื่อไม่ไหวติง เลือดกองใหญ่ทะลักออกจากลำตัวท่อนล่างของเขา แลดูแปลกประหลาดน่าสยดสยอง

 

 

แม้จะเตรียมตัวเตรียมใจไว้บ้างแล้ว แต่ตันหวายก็ยังตกตะลึงกับภาพตรงหน้าจนใบหน้าถอดสีในทันใด

 

 

เฟิงสือหลี่หัวคิ้วขมวดมุ่นเป็นปม หลังจากชำเลืองมองศพของเจียงจิ่นหวาย เฟิงสือหลี่ก็ปรี่เข้าไปปลอบโยนตันหวายที่อยู่ในอาการตื่นตระหนก

 

 

ตอนนี้ตันหวายสติหลุดลอยไปแล้ว เด็กหนุ่มยุคใหม่นิสัยดีอย่างเขาก่อเวรกรรมอะไรไว้ถึงต้องทนทุกข์ทรมานแบบนี้!

 

 

จนกระทั่งอาการคลื่นเ**ยนในร่างกายหายเป็นปกติ ตันหวายจึงค่อยระบายลมหายใจอย่างช้าๆ รู้สึกคล้ายยังมีกลิ่นคาวเลือดวนเวียนอยู่บริเวณจมูก

 

 

ตันหวายค่อยๆ ดันร่างเฟิงสือหลี่ออกห่างพลางกล่าว “ข้าไม่เป็นอะไรมากแล้ว เจียงจิ่นหวายตายอย่างมีเงื่อนงำ พวกเราไปดูหน่อยดีกว่าว่ามีเบาะแสอะไรหรือไม่”

 

 

เฟิงสือหลี่พยักหน้าตอบรับ

 

 

ครั้นทั้งสองจะขยับเคลื่อนไหว ลมหอบหนึ่งก็พัดโถมเข้ามาจากปากถ้ำ ตันหวายหรี่ตาพลางตั้งท่าจะเบี่ยงหลบ หากทว่าใครคนหนึ่งโผกระโจนมาจากข้างหลัง กำบังเขาไว้ในอ้อมแขนอย่างแน่นหนา

 

 

ตันหวายมึนงงไปชั่วขณะ เมื่อตั้งสติได้จึงรีบคว้าเฟิงสือหลี่ที่ทรุดฮวบลงไปมากอดไว้ ไม่รู้ว่าเฟิงสือหลี่บาดเจ็บตรงไหนกันแน่ เลือดไหลทะลักออกจากปากจนโชกร่างของเขาราวกับไม่อาจระงับยับยั้งได้

 

 

ตันหวายตัวสั่นงันงก ไม่กล้ายื่นมือไปแตะต้องเขา ทำได้เพียงประคองร่างเอาไว้ไม่ให้เขาทรุดล้มลงกองกับพื้น

 

 

“ใครบังอาจบุกรุกฉีเฟิงซานของข้า แล้วศิษย์พี่สามอยู่ที่ใดกัน?”

 

 

สุ้มเสียงกระหึ่มดังกึกก้องจนตันหวายปวดหู เห็นได้ชัดว่าภายในนี้ปกคลุมด้วยพลังอาคมอันแกร่งกล้า

 

 

“อย่า…ฟัง…”

 

 

ตันหวายกัดฟันเพิกเฉยต่อสิ่งรอบข้าง ก่อนจะสร้างม่านอาคมขึ้นภายในถ้ำทันที

 

 

ประคองเฟิงสือหลี่เดินมาจนถึงด้านในสุดของโพรงถ้ำ พอกล่าวขอโทษเจียงจิ่นหวายเสร็จสรรพก็ค่อยพยุงเฟิงสือหลี่เข้าไปข้างใน

 

 

“เจ้าไม่ต้องห่วงข้า” เฟิงสือหลี่พูดจาคล่องขึ้นกว่าเมื่อครู่นี้มากนัก

 

 

ตันหวายไม่สนใจเขา พลางรีบรักษาบาดแผลให้เขาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

 

 

ภายในถ้ำมองไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวัน ครั้นรักษาเสร็จสิ้นตันหวายก็สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว กลับรู้สึกประหนึ่งผ่านไปชั่วกัปชั่วกัลป์

 

 

เฟิงสือหลี่หลับตาลงโดยไม่รู้ว่าสลบไสลหรือผล็อยหลับไป แต่ตันหวายรู้สึกว่าน่าจะเป็นอย่างหลังเสียมากกว่า

 

 

พอจะสัมผัสได้รางๆ ว่าคนที่อยู่ข้างนอกถ้ำยังไม่จากไป ตันหวายขมวดคิ้ว คิดในใจว่าคงเป็นเพราะเฟิงสือหลี่ฟาดกระบี่เบิกภูเขาจนเรียกให้คนในภูเขาออกติดตามมา

 

 

การฝ่าทะลวงออกไปย่อมเป็นไปไม่ได้ ตันหวายจึงต้องเสาะหาว่ามีทางออกอื่นอีกหรือไม่

 

 

ถ้ำของเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรมักไม่สร้างทางออกเพียงทางเดียว วิถีแห่งเซียนมิอาจคลาดแคล้วจากศัตรูคู่อริ เพื่อหลีกเลี่ยงการประจันหน้ากับศัตรู โดยปกติจึงมักจะสร้างช่องทางที่ตนเองล่วงรู้เพียงผู้เดียวเผื่อไว้เป็นทางหนีทีไล่   

 

 

ตันหวายเดินมาอยู่ข้างๆ เจียงจิ่นหวาย ยอบกายลงมองดวงตาที่ปิดสนิทแล้วทอดถอนใจ เบาะแสชิ้นนี้ถูกตัดตอนไปเสียแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าเฟิงสือหลี่จะยังพอนึกถึงใครคนอื่นออกบ้างหรือเปล่า

 

 

“หลับให้สบายเถิด” ตันหวายกล่าวพลางตั้งท่าจะลุกขึ้น ทว่าจู่ๆ ฝ่าเท้าก็เหยียบเข้ากับอะไรบางอย่าง

 

 

ตันหวายหรี่ตามองผ้าแพรต่วนที่หลุดขาดมาออกจากเสื้อของเจียงจิ่นหวาย ด้านบนมีตัวอักษร ‘ชาง’ ที่เขียนด้วยโลหิตซ่อนเร้นเอาไว้

 

 

นี่มัน…

 

 

โดยปกติแล้ว หากคนใกล้ตายต้องการส่งสารบางอย่างถึงผู้อื่น สิ่งนั้นย่อมจะเป็นชื่อของมือสังหาร

 

 

ชาง…ชื่อของมือสังหารมีคำว่าชางอย่างนั้นหรือ?

 

 

“เจ้าดูอะไรอยู่?”

 

 

สุ้มเสียงแหบพร่าของเฟิงสือหลี่ดังมาจากข้างหลัง ตันหวายหันขวับกลับมา กล่าวอย่างดีใจว่า “ท่านตื่นแล้ว”

 

 

เฟิงสือหลี่พยักหน้า สายตาจ้องเขม็งมายังผ้าแพรต่วนในมือของตันหวาย “มันคืออะไร?”

 

 

ตันหวายนิ่งงันไปขั่วครู่ พอเห็นสายตาของเฟิงสือหลี่จ้องมองมายังผ้าแพรต่วนในมือตนก็รีบร้อนเอ่ยตอบ “มันคือเบาะแสที่พบบนร่างเจียงจิ่นหวาย ดูจากวัสดุแล้วคงเป็นผ้าที่ฉีกออกมาจากเสื้อของเขา ชื่อที่เขียนน่าจะมีส่วนสำคัญต่อการตายของเขาด้วย”

 

 

เฟิงสือหลี่ผงกศีรษะด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง มือขวาทาบลงบริเวณอกพยายามจะเค้นคำพูด แต่กลับกระอักไออย่างเอาเป็นเอาตายจนตันหวายใจหายใจคว่ำไปหมด

 

 

แม้ฝ่ามือลมของคนผู้นั้นจะเกรี้ยวกราดรุนแรง ทว่าพลังทำลายล้างไม่สูงถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิต เพียงแต่อาจทำให้แก่นปราณเสียหายอย่างหนัก

 

 

เฟิงสือหลี่ไอกระท่อนกระแท่นอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะหยุดลง ตันหวายขมวดคิ้วมองเขา กลัวว่าเขาจะเกิดอาการใดกำเริบขึ้นมาอีก

 

 

เฟิงสือหลี่ “ให้ข้าดูหน่อยสิ”

 

 

ตันหวายรีบยื่นผ้าแพรต่วนในมือให้กับเฟิงสือหลี่ทันที กล่าวว่า “คำว่าชางคำนี้ไม่ใช่ชื่อสถานที่ก็เป็นชื่อคน”

 

 

“ชื่อสถานที่” เฟิงสือหลี่กล่าวยืนยัน “เป็นชื่อสถานที่ เท่าที่ข้าจำได้คนชื่อขึ้นต้นด้วยคำว่าชางในยุทธภพมีไม่มากนัก บางคนก็เป็นพวกลิ่วล้อในสำนักใหญ่ ไม่มีทางสังหารเจียงจิ่นหวายได้”

 

 

“ในยุทธภพมีหุบเขาเซียนที่มีชื่อเสียงเคียงคู่กับฉีเฟิงซาน เรียกชื่อว่าชางอวี้” เฟิงสือหลี่กล่าวอธิบาย

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 163 บำเพ็ญเพียรนอกกระแส ศิษย์น้อยผู้แสนดีชำระแค้น (12)

 

 

เขาชางอวี้มีชัยภูมิเป็นเลิศ ตั้งอยู่ ณ ใจกลางยุทธภพอันอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพลังปราณ และเป็นถิ่นกำเนิดของสำนักเซียนใหญ่ๆ มากมาย สำนักฉี่หมิงก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น

 

 

ตันหวายพึมพำชื่อเขาชางอวี้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบ พบว่าความทรงจำเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ช่างมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย

 

 

คงต้องไปตายเอาดาบหน้าเสียแล้ว

 

 

ตันหวายประคองเฟิงสือหลี่ขึ้นมาแล้วถาม “รู้สึกอย่างไรบ้าง?”

 

 

“ไม่เป็นไร” เฟิงสือหลี่ส่ายศีรษะ เมื่อได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังแว่วมาจากนอกถ้ำก็ขมวดคิ้วกล่าว “พวกนั้นยังอยู่ข้างนอก?”

 

 

ตันหวายยิ้มเจื่อน “ที่นี่เป็นถิ่นของพวกเขา จะให้พวกเขาไปไหนได้เล่า เกรงแต่ว่าพวกเราจะตกเป็นแพะรับบาปแทนต่างหาก”

 

 

เฟิงสือหลี่ดวงตาทอประกายวาวกล้า ไม่เอื้อนเอ่ยคำใด

 

 

“ประเดี๋ยวท่านนั่งพักอยู่ตรงนี้ก่อน ข้าจะลองดูว่ามีทางออกอื่นอีกหรือไม่”

 

 

ภายในถ้ำเงียบสงัดไร้ซึ่งความเคลื่อนไหว ไม่เพียงเปียกแฉะอับชื้น แต่ด้านในยังคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดอันเหม็นเน่ารุนแรง

 

 

ตันหวายเอามือคลำตามผนังถ้ำไปเรื่อยๆ ทว่ากลับหาไม่พบทางออกอื่นเลยแม้แต่ทางเดียว

 

 

เฟิงสือหลี่ลุกขึ้นยืนหวังจะช่วยเขาค้นหา แต่ถูกตันหวายห้ามปรามเอาไว้

 

 

“ตอนนี้ท่านยังบาดเจ็บอยู่ ปล่อยให้ข้าจัดการเรื่องนี้เองเถอะ”

 

 

เฟิงสือหลี่หยุดชะงัก สายตาเหลือบมองไปยังทิศทางของปากถ้ำ

 

 

คนข้างนอกโจมตีม่านอาคมของตันหวายอย่างต่อเนื่อง ดูเหมือนว่าม่านอาคมจะต้านทานไว้ได้อีกไม่นานแล้ว

 

 

สาเหตุแท้จริงที่ม่านอาคมของตันหวายต้านทานไว้ได้นานถึงเพียงนี้ ล้วนเป็นเพราะที่นี่คือสถานที่บำเพ็ญเพียรของเจียงจิ่นหวาย พวกเขาจึงไม่กล้าถือวิสาสะล่วงเกิน

 

 

ตันหวายเข้าใจเจตนาของเฟิงสือหลี่ และรู้ดีแก่ใจว่าต้องรีบเร่งค้นหาทางออกโดยด่วน จึงทำได้เพียงพยักหน้าตอบรับ

 

 

คนทั้งสองต่างคลำทางอยู่ในถ้ำอันโล่งกว้างและลี้ลับพิสดาร เม็ดเหงื่อเย็นเฉียบผุดพรายเต็มหน้าผากของตันหวาย เขารู้ว่าม่านอาคมยื้อเวลาไว้ได้อีกไม่นาน จำต้องปะทะกันซึ่งหน้าเท่านั้น

 

 

“หาเจอแล้ว!”

 

 

ตันหวายตกตะลึง หันหน้าขวับไปมองอย่างไม่อยากจะเชื่อ บทจะเจอก็เจอกันง่ายๆ อย่างนี้เชียวหรือ?

 

 

เนื่องด้วยเวลากระชั้นชิด ตันหวายจึงไม่ทันได้คิดไตร่ตรอง พลางคว้าแขนของเฟิงสือหลี่พุ่งกระโจนออกไปทันที

 

 

บริเวณปากทางน่าจะสร้างค่ายกลเอาไว้ ตอนที่พวกเขาหลุดออกมาจึงไม่ได้อยู่ที่ฉีเฟิงซาน แต่มาโผล่อยู่ในนาผืนหนึ่งแทน

 

 

ชาวนาละแวกนั้นเห็นคนทั้งสองปรากฏตัวกะทันหันก็ตะลึงอ้าปากค้าง พากันคุกเข่าคำนับพวกเขาเป็นพัลวัน

 

 

ตันหวาย “…”

 

 

นี่เห็นเขาเป็นเทพเจ้ากันหรือยังไง?

 

 

“ท่านเทพ ข้าไม่อยากทำงานอีกแล้ว โปรดช่วยบันดาลพืชผลให้พวกเราด้วยเถิด”

 

 

“ข้าแต่องค์ทวยเทพ ลูกชายข้าป่วยกระเสาะกระแสะมานาน ท่านช่วยรักษาเขาได้หรือไม่!”

 

 

คำอธิษฐานทำนองเดียวกันประเดประดังเข้ามานับครั้งไม่ถ้วน ตันหวายขวัญหนีดีฝ่อ รีบฉุดร่างเฟิงสือหลี่วิ่งเตลิดออกไปอย่างสุดฝีเท้า

 

 

ผู้คนตั้งมากมายคุกเข่าคำนับตรงหน้าเขา ต่อให้เขาอายุยืนสักแค่ไหนก็คงไม่พอชดเชยเป็นแน่แท้

 

 

จนกระทั่งวิ่งหนีกันมาไกลพอสมควร ตันหวายจึงค่อยเหลียวหลังกลับ เมื่อเห็นว่าพวกชาวบ้านถูกพวกเขาทิ้งห่างไม่เห็นฝุ่นก็พ่นลมหายใจพรืด ยันมือไว้กับต้นไม้พลางสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่

 

 

เวรเอ๊ย! ตันหวายรู้สึกว่าตนวิ่งไม่คิดชีวิตยิ่งกว่าตอนแข่งวิ่งพันเมตรสมัยมัธยมปลายเสียอีก

 

 

เฟิงสือหลี่ที่อยู่ด้านข้างเอ่ยถามด้วยความฉงน “เหตุใดถึงไม่ขี่กระบี่เล่า?”

 

 

ตันหวายกลอกตาใส่เขา ถอนหายใจกล่าวว่า “ท่านสติดีอยู่หรือเปล่า ขี่กระบี่ต่อหน้าชาวบ้านเดี๋ยวพวกเขาก็คิดว่าเราเป็นเทพเจ้ากันพอดี”

 

 

“แต่พวกเขามองว่าเราเป็นเทพเจ้าอยู่แล้วนี่” เฟิงสือหลี่ไม่เข้าใจยิ่งกว่าเก่า

 

 

………

 

 

จริงอย่างว่า พวกเขากลายเป็นเทพเจ้าในสายตาของพวกชาวบ้านไปเสียแล้ว

 

 

ตันหวายนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แสร้งกล่าวเสียงเคร่งขรึมเพื่อกลบเกลื่อนความกระอักกระอ่วน “ท่านไม่เข้าใจหรอก”

 

 

นั่นสิ

 

 

เขาไม่เข้าใจ

 

 

เฟิงสือหลี่พยักหน้าแล้วเอ่ยซ้ำอีกครั้ง “ข้าไม่เข้าใจ”

 

 

ไม่รู้เช่นกันว่าพูดให้ตันหวายฟังหรือพูดให้ตนเองฟังกันแน่ บางทีอาจจะเป็นไปได้ทั้งสองอย่าง

 

 

ทิวทัศน์ของที่นี่สวยงามทีเดียว ตันหวายอารมณ์แจ่มใสขึ้นไม่น้อย แม้ยามนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนฉีเฟิงซานจะทำให้หวาดวิตกอยู่บ้าง แต่สภาพอาการก็ดีขึ้นกว่าเดิมมากนัก

 

 

เฟิงสือหลี่ “เราจะไปเขาชางอวี้กันเดี๋ยวนี้เลยหรือไม่?”

 

 

พอตันหวายกวาดมองทิวทัศน์โดยรอบก็รู้สึกว่าที่นี่เหมาะแก่การพำนักอาศัยอย่างยิ่ง จึงตอบกลับทันควันว่า “ไม่ต้องรีบร้อน พวกเราพักผ่อนสักสองสามวันก็ได้”

 

 

เฟิงสือหลี่หลุบตาลงพลางผงกศีรษะเบาๆ

 

 

(ประกาศภารกิจลับ คุ้มครองลี่ซู ค่าประสบการณ์เบื้องต้น หนึ่งร้อยแต้ม)

 

 

ตันหวายพลันทำหน้าบึ้งตึง ก่อนจะคลี่ยิ้มกล่าวอย่างกระดากอาย “คือว่า อยู่ๆ ข้าก็รู้สึกอยากไปปลดทุกข์ ท่านรอข้าอยู่ตรงนี้นะ ประเดี๋ยวข้าจะรีบกลับมา”

 

 

กล่าวจบก็ไม่รอให้เฟิงสือหลี่โต้ตอบอะไร แล้ววิ่งหายลับไปอย่างไร้ร่องรอย

 

 

ตันหวายมองหามุมลับตาคนสักมุมหนึ่ง สีหน้าถมึงทึง

 

 

ตันหวาย “ทำไมถึงยังมีภารกิจลับ คุณหยุดพักบ้างไม่ได้หรือไง?”

 

 

(???)

 

 

เหอะๆ เจ้าของร่างก็เป็นแค่พวกโลเลหลายใจ คนที่เอาแต่อ้อนวอนขอให้เราประกาศภารกิจลับในตอนแรกได้ตายจากไปแล้ว

 

 

(ขณะนี้ท่านเหลือค่าประสบการณ์เพียงแค่แปดสิบแต้ม ขัดสนจนแทบไม่พอยาไส้อยู่แล้ว ยังจะไม่ยอมทำภารกิจลับอีก)

 

 

“ค่าประสบการณ์แปดสิบแต้ม?” ตันหวายหรี่ตา ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าตนใช้ค่าประสบการณ์ไปแล้วหนึ่งพันแต้ม พอคิดถึงตรงนี้ ก็พาลนึกถึงไป๋เยว่ที่บังเอิญพบเจอในโรงพยาบาล

 

 

จู่ๆ ก็รู้สึกจิตตกยิ่งกว่าเดิม

 

 

(ต่อให้ท่านไม่อยากได้ค่าประสบการณ์ แต่กระทั่งเครื่องมือสักอันก็ยังซื้อไม่ได้เลย) ระบบพยายามตักเตือนด้วยความหวังดี

 

 

เมื่อคิดได้ว่าตนอาจจำเป็นต้องใช้บริการจากร้านค้า ตันหวายก็พยักหน้าอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “งั้นก็ได้ ผมจะรับภารกิจนี้ ว่าแต่…ลี่ซูเป็นใคร?”

 

 

(…)

 

 

เหอะๆ เห็นเอ็งตกปากรับคำง่ายดายขนาดนั้น ข้าก็นึกว่าเอ็งรู้เรื่องกับเขาเสียอีก

 

 

(ลี่ซู ศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักฉี่หมิง ผู้คนเรียกขานกันว่า ‘ปี่ซ่างเซียน’)

[นิยายวาย] ทะลุระบบข้ามภพมาหารัก

[นิยายวาย] ทะลุระบบข้ามภพมาหารัก

Status: Ongoing
ตันหวาย นักศึกษาคณะศิลปะที่ประสบอุบัติเหตุรถชนเพราะช่วยชีวิต ไป๋เยว่ รุ่นพี่ที่ตนแอบชอบให้พ้นจากอันตรายจนตัวเองตายแทน วิญญาณจึงทะลุมิติมาอยู่ในระบบ H3883 ซึ่งบีบให้เขาต้องออกเดินทางไปยังโลกต่างๆ เพื่อสวมร่างผู้อื่น และทำภารกิจเพื่อสะสางความแค้นและทำความปรารถนาของเจ้าของร่างเดิมให้เป็นจริง ในชาติแรกมาเขาทะลุมิติมาอยู่ร่างบุตรชายอัครเสนาบดี ชาติที่สองเป็นเรื่องระหว่างภูติกระต่ายและภูติจิ้งจอก ชาติที่สาม ตันหวายมาอยู่ในร่างดาราหนุ่มแห่งโลกโอเมก้าเวิร์ส และในชาติสุดท้ายต้องมาย้ายอยู่ในร่างประมุขสำนักเซียนที่ต้องทำภารกิจคลายปมในใจของศิษย์น้อย หากทำสำเร็จ เขาก็จะฟื้นคืนชีพกลับไปโลกเดิมได้ แต่หากไม่สำเร็จ เขาจะต้องกลายเป็นระบบแทนและติดแหง็กอยู่ที่นี่ไปตลอดกาล!

Options

not work with dark mode
Reset