บทที่ 128: กองทัพต้องเดินด้วยท้อง
กลุ่มคนมากกว่าร้อยยืนอยู่เบื้องหน้าของโถงพระราชวัง เหนือศีรษะของพวกเขามีป้ายขนาดใหญ่ที่เขียนด้วยตัวอักษรสวยงามว่า ‘ประตูนรก’ แขวนอยู่ มันแทบจะเหมือนกับดวงตาแห่งความยุติธรรมที่กำลังจ้องมองมายังพวกเขา
โคลงที่ถูกเขียนอยู่ด้านข้าง เป็นเหมือนกับคำประกาศอย่างเป็นทางการว่าดินแดนแห่งนี้คือผู้ตัดสินความยุติธรรมที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น!
การก่ออาชญากรรมและการกระทำชั่วทั้งหมดจะต้องถูกพิจารณาและลงโทษอย่างสาสม
“นี่คือประตูนรก สถานที่แห่งแรกที่วิญญาณทุกดวงที่เข้ามายังยมโลกจะต้องผ่าน” ฉินเย่มองไปยังป้ายขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่เหนือศีรษะ “นอกจากที่นี่แล้วก็ไม่มีอะไรอีก ทุกอย่าง…จะถูกสร้างขึ้นมาใหม่ตั้งแต่ต้นด้วยสองมือของพวกเรา”
“ความพยายามของพวกเราจะทำให้เกิดมณฑล อาณาจักร หรืออาจจะเป็นพิภพแห่งหนึ่งได้เลย”
จากนั้นจึงหันหน้าไปมองคนทั้งหมดที่อยู่ตรงหน้า “พวกเราคือผู้ก่อตั้งนรกแห่งใหม่”
“ซูตงเซวี่ย”
“นายท่าน” ซูตงเซวี่ยรู้ดีว่าฉินเย่นั้นจะไม่ลังเลเลยที่จะกำจัดนางหากนางทำตัวไม่ดีในตอนนี้ หญิงสาวคุกเข่าข้างหนึ่งลงตรงหน้าโถงพระราชวังและตอบรับอย่างเคารพ
และขณะที่ฉินเย่กำลังเอ่ยต่อ เขาก็ต้องขมวดคิ้วยุ่ง
เขาจะจัดการอย่างไรดี?
เก้าอี้พวกนี้…เขาไม่คิดว่าตัวเองเคยได้ยินคำอธิบายเกี่ยวกับพวกมันอย่างละเอียดมาก่อน
“บริเวณนี้จะมีเก้าอี้อยู่ทั้งหมดสามสี” ทันใดนั้น น้ำเสียงเย็นยะเยือกก็ดังมาจากด้านในของโถงพระราชวัง “ดำ ขาว และแดง”
อาร์ทิสเหรอ?
ฉินเย่เลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ ภายในเวลาไม่กี่วินาที เขาก็เห็นร่างของอาร์ทิสค่อย ๆ เดินมาด้านในของโถงพระราชวังในรูปลักษณ์ที่แท้จริงของนาง
ใบหน้าอันงดงามและเส้นผมสีดำขลับ นางอยู่ในเสื้อคลุมผ้าแพรหลากสี และถือร่มกระดาษสีแดงอยู่เหนือศีรษะ ลิ้นสีแดงสดห้อยลงมาจนถึงพื้น คนทั้งหมดต่างตกตะลึงเมื่อเห็นภาพของผู้มาใหม่
น่ากลัว…
พวกเขาสามารถพูดได้เลยว่าสัตว์ประหลาดที่ดูเหมือนผู้หญิงตัวนี้ น่ากลัวกว่ายมทูตที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของพวกเขาเสียอีก!
โชคดีจริง ๆ…โชคดีมากที่พวกเขาไม่ทำตามเจ้าพวกโง่นั่น สัตว์ประหลาดตรงหน้า….จะต้องมีพลังในการกำจัดพวกเขาทุกคนที่นี่เป็นแน่!
อาร์ทิสเหลือบตาไปมองฉินเย่และเอ่ยว่า “ตอนที่เจ้าสร้างที่นี่ขึ้นมาครั้งแรกข้าเองก็อยู่ด้วย ดังนั้นข้าจึงมีอำนาจบางส่วนในสถานที่แห่งนี้เช่นกัน การผ่านเข้าไปในประตูนรกจึงไม่ใช่ปัญหาสำหรับข้า”
จากนั้นนางจึงหันไปอธิบายเรื่องเก้าอี้ให้ทุกคนที่อยู่โดยรอบฟัง “เก้าอี้สีดำมีอยู่ทั้งหมด 280 ตัวสำหรับนักการยมบาล เก้าอี้สีขาว 18 ตัวสำหรับขุนพลแห่งนรก และเก้าอี้สีแดงสองตัวสำหรับเจ้าขุมนรก และรองเจ้าขุมนรก”
“ผู้ที่ได้นั่งเก้าอี้สีดำและขาวจะเป็นใครนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งสำคัญเพียงอย่างเดียวก็คือเจ้าจะต้องมอบเก้าอี้สีแดงให้กับคนสองคนที่เจ้าไว้ใจมากที่สุดเท่านั้น เพราะพวกเขาจะได้เป็นผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดในพื้นที่บริเวณประตูนรกแห่งนี้ ส่วนการจัดการในส่วนนี้ ข้าจะปล่อยให้เป็นการตัดสินใจของเจ้าทั้งหมด”
ฉินเย่พยักหน้า หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็หันไปหาซูตงเซวี่ยและพูดกับอีกฝ่ายอย่างเป็นทางการ “สำหรับตอนนี้ เจ้าจงไปนั่งที่เก้าอี้สีขาว สำรวจสำมะโนประชากรของผู้ที่ทำงานในกองกำลังในเครื่องแบบและผู้ที่ทำงานในอุตสาหกรรมกฎหมายทั้งหมด ผู้ที่ไม่มีประวัติอาชญากรรมให้ไปนั่งเก้าอี้สีดำ เมื่อข้าไม่อยู่เจ้าจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องทั้งหมดนี้เป็นการชั่วคราว”
“รับบัญชา”
จากนั้นเด็กหนุ่มจึงหันกลับไปมองวิญญาณอื่น ๆ ที่เหลือ “จงมองกลับเข้าไปในจิตใจ และอย่าปกปิดสิ่งใด เทพเจ้าสามารถมองเห็นส่วนที่ลึกและดำมืดที่สุดในใจของพวกเจ้า นี่เป็นคำเตือนสุดท้ายที่เจ้าจะได้รับก่อนที่เจ้าจะลงทะเบียนสำมะโนประชากรก็แล้วกัน ผู้ที่ฝ่าฝืนคำเตือนเหล่านี้ควรจะภาวนาให้ข้าหาสมุดแห่งความเป็นตายไม่เจอเสีย มิเช่นนั้น….”
ฉินเย่จงใจเว้นส่วนสุดท้ายของประโยคเอาไว้ จากนั้น ขณะที่ฝูงชนยังคงเงียบสนิท เขาก็เดินไปยืนอยู่ระหว่างโคลงทั้งสองฝั่งและโค้งคำนับไปยังกระถางธูปขนาดใหญ่ที่อยู่บริเวณทางเข้าของประตูนรก
“ข้าขอประกาศอย่างเป็นทางการ–…”
“ว่าสำนักทะเบียนแห่งยมโลกสู่ทางเข้าของนรกแห่งที่สอง ณ เมืองเป่าอัน มณฑลอันฮุ่ย ได้ถูกก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว! และในส่วนของงานก่อสร้างจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการภายในเดือนมกราคม!”
“ผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมการก่อสร้างทั้งหมด จงไปรวมตัวกันที่โถงพระราชวังในอีกครึ่งชั่วโมงหลังจากนี้เพื่อหารือกัน”
หลังจากเอ่ยจบ เขาก็เดินเข้าไปด้านในเพื่อที่จะได้คุยกับอาร์ทิสเป็นการส่วนตัว
หลังจากที่เดินผ่านซุ้มประตูเข้ามายังพระราชวังโดยตรง พื้นดินตรงหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม เสาสีแดงเข้มตั้งตระหง่านจากพื้นดินเพื่อยึดหลังคาของพระราชวังเอาไว้ ทั้งสองฝั่งของทางมีรูปปั้นอสูรและอรากษสจำนวนนับไม่ถ้วนตั้งอยู่ รวมทั้งตะเกียงน้ำมันโบราณที่แขวนเรียงรายอยู่เต็มสองข้างฝั่ง รูปปั้นแต่ละตัวสูงประมาณสิบเมตร รอยพับและรอยย่นแต่ละรอยบนเสื้อคลุมของพวกมันถูกแขวนไปด้วยตะเกียงน้ำมันจำนวนมาก ซึ่งรวมกันทั้งหมดประมาณพันดวง
ไม่มีตะเกียงดวงใดถูกจุดขึ้นในตอนแรกที่ยมโลกแห่งที่สองถูกสร้างขึ้น แต่ตอนนี้เปลวไฟสีเขียวกลับปรากฏขึ้นในตะเกียงนับพันอัน ประกายแสงที่น่าขนลุกนั่น ทำให้รูปปั้นสูงใหญ่เหล่านี้ยิ่งดูน่ากลัวมากกว่าเดิม
ทันใดนั้นฉินเย่ก็สังเกตเห็นถึงสิ่งผิดปกติบางอย่าง….
เดิมทีแล้วสถานที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ว่างเปล่า แต่บัดนี้มันกลับมีรูปปั้นขนาดใหญ่และหน้าจออะไรบางอย่างตั้งอยู่ตรงหน้าประตู ปิดกั้นทางเข้าเอาไว้ และยังมีเสื้อคลุมถูกวางเรียงเป็นรูปวงกลมขนาดใหญ่บนพื้นอย่างเป็นระเบียบ โดยมีรูปปั้นเป็นศูนย์กลาง เขาจะสามารถเดินไปด้านหลังได้ก็ต่อเมื่อเดินวนรอบสิ่งกีดขวางขนาดใหญ่นี้ไปเสียก่อน
รูปสลักหินตรงหน้าสูงประมาณสิบเมตร มันคือรูปสลักของชายหัวโล้นคนหนึ่งที่นุ่งห่มอยู่ในชุดจีวรและถือไม้เท้าที่มีตะเกียงน้ำมันแขวนอยู่ไว้ในมือ ทว่าตะเกียงดวงดังกล่าวกลับไม่มีแสงไฟเลยแม้แต่น้อย
ใบหน้าของรูปสลักตรงหน้าดูใจดีนัยน์ตาเป็นประกายสดใส แม้ว่าจะเป็นเพียงรูปสลัก แต่รัศมีแห่งความเมตตากรุณาที่แผ่ออกมานั้นไร้ที่สิ้นสุด นอกจากนี้มันยังมีรูปสลักของอสูรตัวหนึ่งอยู่ภายใต้ฝ่าเท้าของเขา อสูรดังกล่าวมีกายเป็นมังกร ศีรษะเป็นเสือ หางของสิงโต และเท้าของกิเลน…
ตี้ทิง!
“นี่คือ…รูปสลักของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์อย่างนั้นหรือ?” ฉินเย่เอ่ยออกมาด้วยท่าทางตกตะลึง “ทำไมมันถึงมาปรากฏขึ้นที่นี่?”
อาร์ทิสที่ได้ยินเช่นนั้นจึงตอบอย่างไม่แยแสนัก “มีอะไรให้ต้องตกใจกัน? เจ้าเคยเลยเกม Heroes of Might & Magic [1] แล้วไม่ใช่หรือ? ประตูนรกคือจุดที่เจ้าจะต้องเริ่มเกม แล้วเจ้าจะต้องสร้างสิ่งอื่น ๆ ที่ตัวเองต้องการขึ้นมา ยังมีพื้นที่อีกมากมายให้เจ้าได้สร้างอะไรต่อมิอะไร เพราะไม่ว่ายังไงเจ้าก็เพิ่งรวบรวมเศษตราเจ้านรกได้แค่เพียงชิ้นเดียวเท่านั้น และเจ้ายังไม่มีทางน้ำพุเหลืองให้ใช้อีกด้วย แม้ว่าเจ้าจะสามารถเข้าใกล้และขโมยพลังหยินมาจากตี้ทิงแล้วก็ตาม แต่แค่นั้นมันยังคงไม่เพียงพอต่อความต้องการของสถานที่แห่งนี้เลย”
ฉินเย่ลูบคางอย่างครุ่นคิด “กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ข้าจะต้องค่อย ๆ หาทางไปยังเป้าหมายสุดท้ายของตัวเองทีละนิดใช่ไหม?”
“ข้อจำกัดพวกนั้นก็เกี่ยวข้องกับประตูนรกเช่นกัน” อาร์ทิสเอ่ยเสริมคำอธิบายก่อนหน้าของนาง “นรกจะมีการขยายใหญ่อีกครั้งในอีกประมาณสามปีข้างหน้า ดังนั้นเจ้าจะต้องก่อตั้งหมู่บ้านวิญญาณขึ้นมาให้ภายในสามปีนี้ มิเช่นนั้น…ทุกอย่างจะวุ่นวายเป็นอย่างมากเมื่อดวงวิญญาณยังคงหลั่งไหลมาที่นี่เช่นนี้ แล้วตอนนี้เจ้ามีความคิดอะไรบ้างแล้วหรือยัง?”
แม้จะรู้แล้วว่าอาร์ทิสเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านการสังหารวิญญาณ แต่เมื่อพูดถึงเรื่องการก่อสร้างและการขยายอาณาเขต นางเองก็ไม่แพ้ใครเช่นกัน
ฉินเย่ขมวดคิ้ว หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ถอนหายใจออกมา
หลังจากที่ลองพิจารณาทุกอย่างอย่างละเอียดเขาถึงตระหนักได้ว่าหน้าที่ในครั้งนี้นั้นใหญ่หลวงเพียงใด
โชคดีที่เขาใช้ชีวิตอยู่ในสังคมที่มีข้อมูลข่าวสารมากมายอยู่บนโลกอินเทอร์เน็ต ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงเริ่มไล่ดูโพสต์เกี่ยวกับวิธีการสร้างเมือง และแม้กระทั่งลองเล่นเกมที่อาร์ทิสกล่าวด้วยความหวังว่าจะได้พบกับแรงบันดาลใจอะไรบางอย่าง แต่ช่างน่าเสียดาย ยิ่งเขาดูมันมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งสับสนมากขึ้นเท่านั้น
นี่เขาจำเป็นจะต้องสร้างระบบเงินตราด้วยหรือเปล่านะ?
ประกาศใช้ระบบคอมมิวนิสต์อย่างแท้จริงหรือ? แม้แต่นครวิญญาณเองก็ไม่มีทางทำได้!
แล้วระบบราชการล่ะ?
แต่นั่นจะต้องมีสกุลเงินเสียก่อน หากปราศจากซึ่งเงินตรา มันก็ไร้ซึ่งผลประโยชน์ แล้วเขาจะสามารถโน้มน้าวทุกคนให้ทำงานฟรี ๆ ได้อย่างไร?
สร้างระบอบการปกครองแบบกดขี่?
นั่นอาจจะเป็นไปได้ แต่มันก็จะนำไปสู่การก่อจลาจลและการปฏิวัติ ตอนนี้ในยมโลกอาจจะยังมีวิญญาณอยู่ไม่มากนัก แต่ใครจะเป็นคนรับประกันว่าจำนวนของวิญญาณจะไม่เพิ่มขึ้นอีกในภายภาคหน้า? เขาจะต้องกำจัดวิญญาณพวกนั้นด้วยตัวคนเดียวจริงเหรอ? แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเขาสามารถกำจัดดวงวิญญาณโดยรอบทั้งหมดไปได้แล้ว?
แต่ถ้าเขาไม่จัดตั้งระบบราชการล่ะ?
มันก็จะยิ่งแย่กว่าเดิมเสียอีก ฉินเย่จะต้องถูกฝังอยู่ภายใต้กองงานที่ต้องทำให้เสร็จ ต่อให้ยมโลกในตอนนี้จะเป็นเพียงหมู่บ้านขนาดเล็กก็ตาม
และมันยังต้องพิจารณาถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมการก่อสร้าง สถานบันเทิง ชุมชนของเหล่าวิญญาณอีก….รายการยาวเหยียดไม่มีที่สิ้นสุด และเขาก็ไม่รู้เลยว่าต้องเริ่มตรงไหน!
“เจ้าควรจะให้ความสนใจเกี่ยวกับข่าวคราวของทุกอย่างอย่างใกล้ชิด” อาร์ทิสกล่าว นางเองก็เริ่มรู้สึกปวดหัวแล้วเช่นกัน
“หากมีนักวิชาการคนใดของศูนย์วิจัยหรือหน่วยงานวิทยาศาสตร์คนใดมาที่นี่ เจ้าจะต้องไปรับวิญญาณของพวกเขามาที่ยมโลกด้วยตนเอง ดวงวิญญาณของผู้ที่มีพรสวรรค์เช่นนั้นมีค่ามาก และยังมีผู้บริหารระดับสูงของบริษัทขนาดใหญ่ที่อยู่แถวนี้อีก…เหตุใดเจ้า…ถึงไม่หาทางช่วยเหลือผู้ว่าการของที่ไหนสักแห่งและเรียกเงินสักร้อยล้านหยวนจากเขาดูเล่า? จากนั้นทันทีที่เขาตาย เจ้าก็แค่รีบไปพาวิญญาณของพวกเขามาที่ยมโลกเท่านั้น”
“…นั่นมันเป็นความคิดที่สุดยอดจะอันตรายของท่าน…ซึ่งมันขัดกับค่านิยมหลักของสังคม…แต่ข้าก็ขอชื่นชมท่านที่คิดวิธีนี้ออกมาได้…” ฉินเย่เอ่ย
เงียบ
หลังจากผ่านไปหลายวินาที ฉินเย่ก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง “เราจัดการกันทีละอย่างเถอะ เราทั้งคู่ต่างก็เป็นเจ้าหน้าที่มือใหม่ของยมโลกแห่งนี้ และพวกเราก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นสิ่งจำเป็นต่อการสร้างเมืองเลยแม้แต่น้อย ต่อให้เราอยากจะวางแผนสักแค่ไหน เราก็ไม่รู้อยู่ดีว่าต้องเริ่มจากตรงไหนอยู่ดี”
“ข้าวางแผนที่จะสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกในสังคมก่อนเป็นอันดับแรก เราต้องทำให้วิญญาณทั้งหมดสงบลงก่อนด้วยผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม เราอาจจะสามารถหลอกพวกเขาด้วยความคิดหรือวิสัยทัศน์ได้ในระยะเวลาหนึ่งปี แต่ถ้าเป็นสองปี? หรือสามปีหลังจากนี้ล่ะ พวกเราจะทำอย่างไรต่อ?”
“ในทางกลับกัน เมื่อพิจารณาถึงวิธีการพัฒนาสิ่งต่าง ๆ ในจีน คำสัญญาเรื่องที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมอาจจะเป็นแรงจูงใจที่ดีที่สุด ในการขับเคลื่อนของเหล่าคนงานก็เป็นได้…อย่างไรเสียตอนนี้เราก็มีพื้นที่เยอะแยะอยู่แล้วนี่”
เหล่าวิญญาณที่อยู่ด้านนอก ไม่ได้รับรู้ถึงสถานการณ์ทางการเงินที่เลวร้ายที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่แล้ว
หากจะบอกว่าคลังสมบัติของพวกเขาในตอนนี้ เป็นเพียงห้องว่างเปล่าที่มีกำแพงล้อมอยู่สี่ด้าน ก็ไม่ใช่คำกล่าวเกินจริงนัก
อาร์ทิสเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยด้วยความไม่พอใจว่า “ยุ่งยากจริง ลืมมันไปเสีย ข้าจะไม่คิดเรื่องพวกนี้อีกแล้ว รับนี่ไป…ข้าให้เจ้า”
หลังจากเอ่ยจบนางก็โยนแผ่นยันต์ที่ถูกมัดรวมกันเป็นปึกด้วยหนังยางให้กับเด็กหนุ่ม ฉินเย่รับมันมาและมองด้วยสีหน้าสงสัย “มันคืออะไร?”
“ที่นี่ไม่มีวัสดุก่อสร้างอะไรเลย ดังนั้นเจ้าจะต้องขึ้นไปซื้อทุกอย่างมาจากโลกมนุษย์ เก็บมันไว้ในตู้คอนเทนเนอร์ แปะยันต์พวกนี้ลงไป และก็เผามันเสีย ทุกอย่างก็จะมาถึงที่นี่ภายในเสี้ยววินาที”
ฉินเย่แทบจะร้องไห้ออกมา “ข้าต้องการหาเงินเพิ่มเพื่อซื้อตู้คอนเทนเนอร์ด้วยเหรอ และยังต้องหาเงินเพื่อเช่าเตาเผาอีกเนี่ยนะ….ท่านคิดว่าถ้าข้าเลิกจ้างงานพวกเขาจะเป็นอะไรหรือไม่? ข้าได้ยินมาว่าคนงานชายสมัยก่อน ได้ค่าแรงมากกว่าคนงานหญิงสมัยนี้เสียอีก”
ครื้น…เสียงฟ้าร้องดังขึ้นไปทั่ว ฉินเย่ถอนหายใจออกมา หลังจากผ่านไปสองสามวินาที เขาก็เอ่ยว่า “ฝนตกอย่างนั้นหรือ?”
อาร์ทิสลุกขึ้นยืนและค่อย ๆ เดินไปที่ด้านหลังของรูปปั้นพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ ฉินเย่เองก็เดินตามไปอย่างใกล้ชิด
ด้านหลังของรูปปั้นมีประตูขนาดใหญ่ที่สูงสิบเมตรตั้งอยู่ บริเวณนี้พวกเขาสามารถมองเห็นท้องฟ้าของยมโลกได้ สายฟ้าสีแดงปรากฏขึ้นทั่วท้องฟ้าท่ามกลางหมู่เมฆสีดำ และภายในไม่กี่วินาทีมันก็ผ่าลงมา
“ใช่…ในยมโลกเองก็มีฝนตกเช่นกัน” อาร์ทิสจ้องมองท้องฟ้าและพึมพำเบา ๆ
“ยมโลกเป็นหนึ่งในเขตแดนทั้งสามของโลกนี้ สวรรค์ ยมโลก และโลกมนุษย์ ในเมื่อมันมีเขตแดนเป็นของตัวเอง มันก็ย่อมต้องมีระบบภูมิอากาศของมันเองเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นฝน ลม ลูกเห็บ หรือจะแผ่นดินไหว แม้แต่หิมะถล่มและสึนามิเองก็ไม่เว้น ข้ายังจำได้ว่าทางยมโลกได้แบ่งงบประมาณร้อยล้านเพื่อ ‘กระบวนการซ่อมแซม’
นางหันไปสบตากับฉินเย่ “เจ้าหนู เจ้ามีเขตแดนทั้งหมดอยู่ในมือ เจ้าเป็นผู้กำหนดทิศทางการเติบโตของมัน ไม่ว่ามันจะรุ่งโรจน์หรือล้มเหลว นำสมัยหรือล่าช้า ทั้งหมดนี้ล้วนขึ้นอยู่กับความรับผิดชอบของผู้ที่ได้รับมอบหมาย รวมถึงความดีและความชั่วในโลกมนุษย์ก็ได้อยู่ในกำมือของเจ้าแล้วเช่นกัน”
สิ้นสุดเสียงพูด อาร์ทิสก็หายไปทันที
“…เดี๋ยว…เดี๋ยวก่อน! ท่านหมายความว่าอย่างไรที่ว่าทุกอย่างอยู่ในกำมือข้า?! ท่านจะไม่ให้ข้ายืมมือแล้วอย่างนั้นหรือ? แต่ท่านเคยเป็นตุลาการนรกนะ!!!!”
น้ำเสียงเย็นยะเยือกของเขาดังสนั่น ทว่าอีกฝ่ายกลับแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำถามของเขา แต่หลังจากผ่านไปไม่กี่วินาที
อาร์ทิสก็เอ่ยขึ้นว่า “อ้อ! ตอนนี้ซูตงเซวี่ยได้กลายเป็นเจ้าหน้าที่ในนรกอย่างเป็นทางการแล้ว เจ้าอย่าลืมเขียนชื่อของนางลงในบันทึกนรกเพื่อเป็นการลงทะเบียนอย่างเป็นทางการด้วย แบบนั้น นางจึงจะมีโอกาสในการสะสมแต้มกุศลและเลื่อนตำแหน่ง ในขณะเดียวกันนางก็จะได้รับการยอมรับจากยมโลกด้วย มิเช่นนั้น นางจะไม่สามารถแตะต้องพลังของนรกได้ และหากเกิดการก่อกบฏและทะเลาะวิวาทขึ้นขณะที่เจ้าไม่อยู่ ผลที่ตามมาคงจะไม่สามารถจินตนาการได้”
“นอกเหนือจากนั้น ในปึกยันต์ที่ข้ามอบให้เจ้าเมื่อครู่ มันยังมียันต์สีแดงสิบแผ่นอยู่ด้วย หากต้องการจะติดต่อกับข้า เจ้าก็แค่เผามันเสีย…แต่พยายามหลีกเลี่ยงช่วงแปดโมงถึง 11 โมงครึ่ง บ่ายสามถึงหกโมงเย็น และ สองทุ่มถึงสี่ทุ่มด้วยนะ ข้าต้องการดูละคร”
“ให้ตายเถอะ…ท่านทิ้งข้าไปแบบนี้ได้อย่างไรกัน” ฉินเย่เด็ดดอกไม้บนพื้นอย่างโมโห มันคือดอกไม้สีดำที่เติบโตขึ้นรอบ ๆ ตี้ทิง เขาหมุนมันไปมาในมือขณะที่เอ่ยเสียงดังราวกับฟ้าร้อง “วิญญาณตนใดที่เคยทำงานในอุตสาหกรรมก่อสร้างมารวมตัวกันที่หลังโถงทางเดิน การประชุมกำลังจะเริ่ม”
วิญญาณหยินที่ยืนออกันอยู่ด้านนอกรีบเดินเข้าไปในโถงพระราชวังทันที ฉินเย่แบมือออก น้ำฝนหยดลงบนมือ น้ำฝนที่ยมโลกนั้นเย็นเฉียบและมีกรดกัดเซาะ หากแม้แต่เขาเองยังรู้สึกเจ็บเล็กน้อย แล้ววิญญาณพวกนี้จะรู้สึกเจ็บมากเพียงใดกัน?
สภาพอากาศภายในนรกจะต้องเพิ่ม ‘ความไม่พอใจ’ ของเหล่าประชากรผีอย่างแน่นอน เสื้อผ้า อาหาร และที่อยู่อาศัยนั้นเป็นสิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐานของมนุษย์ ทว่าสำหรับวิญญาณแล้ว เสื้อผ้าและอาหารไม่ใช่สิ่งที่จะต้องเป็นกังวลถึง และเมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องของที่อยู่อาศัยจึงกลายเป็นปัญหาที่เร่งด่วนที่สุดในตอนนี้
ฉินเย่เป็นเหมือนกับเสือที่พยายามจะกลืนกินท้องฟ้า เขาไม่รู้เลยว่าตัวเองควรเริ่มจากจุดไหน แต่ในเมื่อเรื่องกลายเป็นแบบนี้ เขาก็อาจจะเริ่มโดยการเยียวยาจิตใจของประชากรผี พร้อมกับพยายามคิดหาแผนการที่เหมาะสมไปด้วย!
[1]Heroes of Might and Magic เป็นสุดยอดตำนานเกมวางแผนการรบแบบเทิร์นเบสที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก