บทที่ 115: กฎของยมโลก (2)
กึก โครม….เศษกรวดหินดินทรายตกลงไปด้านล่าง หลี่เจียนคังยืนอยู่จุดกึ่งกลางของหลุม จ้องมองเพดานเหนือศีรษะของตนอย่างตกตะลึง
“คะ คุณ….คุณเป็นตัวอะไรกันแน่?” ใช้เวลานานพอสมควรกว่าเขาจะเอ่ยออกมาด้วยเสียงที่สั่นเทา
ฉินเย่ค่อย ๆ ลอยลงไปด้านล่างอย่างช้า ๆ
ตุบ…เขาตกลงบนพื้นเบา ๆ และมองไปรอบ ๆ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “ข้าเป็นอะไรน่ะหรือ?”
“ข้าก็คือผู้ที่จะมาเก็บเกี่ยวดวงวิญญาณของเจ้าอย่างไรล่ะ!”
“ยมทูตขาวดำ?” น้ำเสียงสั่นเทาของชายวัยกลางคนหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เขาเอนหลังพิงกับผนัง จังหวะการหายใจเริ่มติดขัด ทันใดนั้นเอง เขาก็หมุนตัวและรีบวิ่งหนีไปด้านหลัง เสียงโลหะดังโครมคราม ตามมาด้วยเสียงโซ่ที่ลากพื้น
ฉินเย่ไม่ได้สนใจอีกฝ่าย เท่าที่ดวงตาของเขามองเห็น หลุมที่เขาเพิ่งลงมานี้คือห้องเก็บของใต้ดิน
บ้านเรือนที่อยู่ถูกสร้างอยู่บริเวณถนนเทียนซีที่ 4 ล้วนดูเก่าแก่อย่างไม่น่าเชื่อ และมันก็ไม่เคยถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของเมืองเลยจนกระทั่งเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา หลังจากการพัฒนาของเมืองไดซาน ก่อนหน้านี้ พื้นที่แห่งนี้เคยเป็นพื้นที่สำหรับการเกษตร และมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่จะมีห้องเก็บของอยู่ชั้นใต้ดินแบบนี้
หลอดขนาดเล็กถูกติดตั้งไว้ตามผนังสีน้ำตาลอมเทา ตู้แช่แข็งขนาดใหญ่จำนวนมากถูกตั้งวางอยู่รอบ ๆ แต่ละตู้มีขนาดใหญ่กว่าตู้ที่อยู่บนชั้นสองของบ้านเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดล้วนเป็นตู้ที่ว่างเปล่า
ภายในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวปลา แสงไฟตรงหน้าทอดยาวไปถึงประตูเหล็กขนาดเล็กที่อยู่ปลายสุดของห้อง นี่คือจุดที่หลี่เจียนคังใช้หลบหนีไปก่อนหน้านี้ มันเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างมากที่คนธรรมดา ๆ อย่างหลี่เจียนคังไม่หวาดกลัวจนตัวแข็ง เมื่อเห็นฉินเย่ในร่างยมทูต
“นี่ข้าควรบอกว่าเจ้ามีจิตใจที่เข้มแข็ง…หรือบอกว่าเจ้าชินชากับภาพพวกนี้ไปแล้วกันแน่?” ฉินเย่ตวัดกระบี่ของตนอย่างแรง เสียงกระทบกันของเหล็กดังขึ้นก่อนที่แม่กุญแจจะร่วงลงกับพื้น
เบื้องหลังประตูเห็นคือทางเดินยาวแคบ ๆ ที่มีขนาดพอให้คนสองคนเดินผ่าน หลอดไฟขนาดเล็กยังคงถูกติดตั้งอยู่เหนือศีรษะในทุก ๆ ห้าเมตร ที่นี่คงจะเคยถูกใช้เป็นบังเกอร์หรือหลุมหลบภัยของทางการมาก่อนเป็นแน่ ฉินเย่หัวเราะเสียงเย็นและเปลี่ยนร่างเป็นกลุ่มพลังสีดำและพุ่งตัวไปตามทางเดินอย่างรวดเร็ว
ผีเหรอ?
พวกมันไม่สามารถเผชิญหน้ากับยมทูตที่แท้จริงได้อยู่แล้ว
ปัง!! กลุ่มก้อนพลังหยินดังกล่าวมีสีเข้มขึ้นเรื่อย แต่ทันทีที่ร่างของเขาเข้าไปในทางเดินยาวแล้ว ประตูเหล็กที่อยู่ด้านหลังก็ปิดลงด้วยตัวเองทันที และหลอดไฟที่แขวนอยู่เหนือศีรษะก็ดับลงอย่างพร้อมเพรียงกัน
ฟึ่บ…กลุ่มก้อนพลังหยินหมุนวนไปรอบ ๆ ก่อนจะมารวมตัวกันเป็นร่างของฉินเย่ อาร์ทิสพึมพำเสียงเรียบ “มันกำลังจนหนทาง และมันก็พร้อมที่จะสู้ด้วยแรงและพลังทั้งหมดของตัวเอง”
“เจ้าควรจะระวังตัวให้ดี วิญญาณที่เกิดจากมรดกสายเลือด…ไม่ใช่วิญญาณที่จะรับมือได้ง่าย ๆ”
ฉินเย่ไม่ได้ตอบอะไร เขาถือกระบี่ปีศาจไปด้านหน้าในแนวขนานกับพื้น เปลวไฟสีเขียวหยกที่น่ากลัวลุกโชนขึ้นมอบความสว่างให้กับพื้นที่ในรัศมีหนึ่งเมตรรอบตัวเขา ทันใดนั้น เสียงคำรามของบางอย่างก็ดังมาจากบริเวณปลายสุดของทางเดิน
“เลือด…เนื้อ…ปล่อยข้า…ข้าหิว…หิวเหลือเกิน…”
ทางเดินมืดสนิทและแคบลงเรื่อย ๆ จนแทบจะหนีบร่างของเขาอยู่แล้ว
และเขายังได้ยินเสียงคำรามที่ดุร้ายและโหยหวนดังมาจากด้านหน้าอีกด้วย
นอกจากนี้มันยังมีเสียงหนูวิ่งไปมา หรือเสียงก้อนกรวดที่กลิ้งกระเด็นไปตามทางเดิน จากนั้น ในวินาทีต่อมา ฉินเย่ก็ได้ยินเสียงครืดด…ดังขึ้นเบา ๆ จากนั้นเสียงดังกล่าวก็ดังขึ้นอีกหลายครั้ง กึก! ครืด! ครืด! ครืด!
มันคือเสียงของวัตถุขนาดใหญ่ที่ทำจากเหล็กและกำลังถูกลากไปตามพื้นพร้อมกับการสั่นสะเทือนเบา ๆ ของพื้น และเสียงดังกล่าวก็ดูเหมือนว่ากำลังพุ่งตรงมาหาเขาจากทางเดินที่มืดมิดด้านหน้าราวกับกระแสน้ำที่น่ากลัว!
ถ้าผู้ที่มายืนอยู่ตรงนี้เป็นเพียงคนธรรมดา พวกเขาคงจะกรีดร้องหรือพยายามมองหาสิ่งของช่วยพยุงร่างของตัวเองเพื่อหยัดยืนขึ้นอย่างเช่นผนังไปแล้ว แต่ฉินเย่ยังคงอดทนและสงบนิ่งแม้ว่าจะกำลังเผชิญหน้ากับสิ่งที่น่ากลัวดังกล่าว ไม่กี่วินาทีต่อมา ในที่สุดเขาก็มองเห็นร่างที่พุ่งมาด้วยความช่วยเหลือของเปลวไฟนรกที่ลุกโชนอยู่บนกระบี่ของตัวเอง
ความเร็วของร่างตรงหน้านั้นไม่ได้เร็วมาก แต่วิธีการที่มันพุ่งเข้าหาฉินเย่นั้นแปลกประหลาดอย่างไม่น่าเชื่อ เท้าทั้งสองข้างกระโดดขึ้นจากพื้นพร้อมกัน และการกระโดดแต่ละครั้งก็มีความสูงถึงหนึ่งฟุต ร่างตรงหน้ายังยื่นมือทั้งสองข้างมาด้านหน้าตลอดเวลา ราวกับต้องการจะคว้าอะไรบางอย่างในอากาศ แทบจะเหมือนกับว่ามันต้องการจะย่นระยะห่างที่เหลืออยู่ทั้งหมดให้ได้ภายในพริบตา เพื่อที่จะได้คว้าร่างของฉินเย่และดูดเลือดของเขาจนหมดร่างในคราวเดียว
มันก็คือปีศาจเจียงซือ
ข้อต่อทั่วร่างของเจียงซือนั้นมีความแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ และมันก็ไม่สามารถงอส่วนใดส่วนหนึ่งได้เลยสักนิด มันก็คงเป็นเพราะเหตุนี้ที่ทำให้พวกเจียงซือมีร่างกายที่แข็งแกร่งและทนทานอย่างไม่น่าเชื่อ นอกจากนี้ แถว ๆ หูหนานตะวันตกและพื้นที่บริเวณใกล้เคียงยังคงมีการสืบทอดวิชาลับสำหรับการเลี้ยงดูปีศาจเจียงซืออีกด้วย
แต่โดยธรรมชาติแล้ว ความทนทานของพวกมันมีขีดจำกัดเฉพาะกับผู้ที่มีพลังในระดับเดียวกันเท่านั้น
“เลือด…เนื้อ…หิววว…หิวเหลือเกิน!!!!” เสียงพูดที่น่าขนลุกดังก้องไปทั่วทางเดินที่มืดมิดและคับแคบ น่าเสียดาย ความมืดเพียงแค่นี้ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับฉินเย่เลยสักนิด เพราะตอนนี้สายตาของเขาจับจ้องไปยังร่างที่พุ่งเข้ามาอยู่ก่อนแล้ว
อีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มที่มีความสูงพอประมาณ ผมยาวประบ่าพันกันยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง และผิวของคนตรงหน้าก็ไม่ได้เป็นสีหนังเหมือนคนปกติแต่กลับเป็นสีดำสนิท
ร่างตรงหน้าสวมเสื้อยืนที่มีรอยขาดวิ่นเต็มไปหมด และผิวที่อยู่ภายใต้เสื้อผ้าก็เต็มไปด้วยขนสีดำที่ดูคล้ายกับมีเข็มเหล็กทิ่มแทง ดวงตาของมันเป็นสีขาวทั้งดวง และเล็บสีดำบนมือมีความยาวเกือบสองนิ้ว นอกจากนี้ยังมีแผ่นยันต์กระดาษติดอยู่บริเวณหน้าผากของมันอีกด้วย
มันจ้องมองฉินเย่ด้วยท่าทางหิวโหย แทบจะเหมือนกับสัตว์ร้ายที่กำลังจ้องชิ้นเนื้อที่แสนอร่อย น้ำลายไหลยืดออกมาจากริมฝีปากอย่างน่าขยะแขยง ทันใดนั้น เมื่อมันเข้ามาอยู่ในรัศมีห้าเมตรห่างจากร่างของฉินเย่ มันก็กรีดร้องออกมาอย่างน่าสังเวชและทำลายระยะห่างที่เหลือด้วยการกระโดดอันทรงพลังเพียงครั้งเดียว! ในขณะเดียวกัน มันก็อ้าปากที่กว้างประมาณหนึ่งฟุตของตัวเองออก และแยกเขี้ยวที่แหลมคมราวกับใบมีดขณะที่พุ่งตรงเข้าหาฉินเย่!
แต่สิ่งที่ทักทายมันก็คือเปลวไฟสีเขียวหยกจากใบมีด
กระบี่ในมือถูกเหวี่ยงออกไปอย่างแรง เปลวไฟนรกอันรุนแรงระเบิดออกมาจากใบมีด กระจายตัวออกไปตามผนังทั้งสองด้าน เปลี่ยนให้ทางเดินที่อับและห่างจากการใช้งานกลายเป็นภาพจำลองของยมโลก พร้อมกับเสียงกรีดร้องอันน่าสังเวช เจียงซือตรงหน้ากระเด็นออกไปหลายเมตร
“ยังไม่ตายอีกรึ?” ทว่ากลับเป็นฝ่ายของฉินเย่เองที่ต้องตกตะลึง เขามองกระบี่ในมืออย่างรวดเร็วราวกับเขาเหวี่ยงอาวุธผิดชนิด
พลังหยินที่แผ่ออกมาจากร่างอีกฝ่ายเบาบางจนแทบไม่ถึงรัศมีหนึ่งเมตรด้วยซ้ำ เห็นได้ชัดเลยว่ามันคือวิญญาณอาฆาตขั้นยมเทพ แล้วเหตุใดเขาถึงไม่สามารถฟันร่างของเจียงซือตรงหน้าได้?
กลับกัน…มันแทบจะเหมือนกับว่ามีพลังของขั้นนักล่าวิญญาณอีกตนหนึ่งที่ลบล้างพลังการโจมตีเมื่อครู่ของเขาไป
“ถ้าอย่างนั้นเรามาดูกันดีไหมว่าเจ้าจะสามารถรับการโจมตีของข้าได้สักกี่ครั้ง?” เด็กหนุ่มหัวเราะเย็นยะเยือก ลมพายุที่รุนแรงห่อหุ้มร่างของเขาเอาไว้ก่อนที่ฉินเย่จะพุ่งตัวไปยังความมืดตรงหน้าอีกครั้ง
ณ จุดนั้น ลึกเข้าไปในทางเดินมืด เจียงซือผิวดำกระโดดพุ่งตัวไปด้านหน้าอีกครั้ง ปะทะกับฉินเย่โดยปราศจากซึ่งความกลัวใด ๆ มันยังคงยื่นมือออกไปในอากาศ พยายามที่จะคว้าร่างของฉินเย่เอาไว้ และมันก็สามารถป้องกันการโจมตีอันทรงพลังของฉินเย่ได้ด้วยร่างกายขั้นยมเทพของมันอีกครั้ง!
เคร้ง…พร้อมกับเสียงปะทะกันของโลหะ ทั้งสองฝ่ายต่างกระเด็นถอยหลังออกไปหลายเมตร และดูเหมือนมันจะไม่มีใครได้เปรียบจากการปะทะกันครั้งล่าสุดนี้ ฉินเย่จ้องมองเจียงซือตรงหน้าอย่างเหลือเชื่อขณะที่พึมพำเบา ๆ ว่า “นี่คือวิญญาณมรดกสายเลือดอย่างนั้นหรือ?”
“ถูกต้อง ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ระบบจดบันทึกและจำแนกประเภทของวิญญาณจะเรียกปรากฏการณ์นี้ว่าการหวนคืนของบรรพบุรุษ ทันทีที่วิญญาณมรดกสายเลือดได้เจริญเติบโต ระดับของภัยคุกคามของมันนั้นจะเพิ่มขึ้นอย่างไม่สามารถระบุได้ ทางระบบจดบันทึกและจำแนกประเภทของวิญญาณได้จัดให้มันเป็นภัยคุกคามระดับ A หากพูดกันตามความจริง การมีอยู่ของมันนั้นเป็นภัยคุกคามถึงขนาดที่มีคำสั่งให้ค้นหาและกำจัดพวกมันทั้งหมด”
“แม้ว่านั่นจะหมายถึงการทำลายกฎข้อบังคับที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ของนรกที่ระบุว่ายมโลกจะไม่เข้าไปแทรกแซงกิจการของแดนมนุษย์ก็ตาม ระดับภัยคุกคามของมันอยู่ห่างจากระดับสูงสุดเพียงแค่ระดับเดียวเท่านั้น นับว่าเจ้าโชคดีมากนะที่วิญญาณมรดกสายเลือดที่เจ้าต้องเผชิญหน้าในครั้งนี้อยู่แค่ระดับยมเทพ มิเช่นนั้น….หึหึหึ…..”
ฉินเย่เลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย “มีพลังถึงขนาดนี้…แต่กลับอยู่แค่ระดับ A เท่านั้นเนี่ยนะ? แล้วถ้าวิญญาณที่อยู่เหนือยระดับ A ขึ้นไปล่ะ? พวกมันจะแข็งแกร่งเพียงใดกัน?”
อาร์ทิสเพียงตอบนิ่ง ๆ ว่า “แผ่นดินจีนนั้นดำรงอยู่มานานนับพันปี ผ่านสงครามและการนองเลือดมาหลายยุคสมัย เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่ามันยังมีภูตผีที่เราไม่เคยพบเจอมาก่อน? ภัยคุกคามที่อยู่เหนือระดับ A….ข้าเกรงว่าพวกมันจะปรากฏตัวในทุก ๆ 500 ปีเท่านั้น และแม้แต่ข้าเองก็ไม่เคยพบเจอมาก่อน แต่เท่าที่ข้ารู้ มีภูตผีเพียงสามตนเท่านั้นที่ถูกจัดอยู่ในประเภทนี้ และการปรากฏตัวของพวกมันก็เป็นการประกาศถึงความหวาดกลัวที่ปกคลุมไปทั่วทั้งแดนมนุษย์ แต่มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะได้พบกับพวกมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมที่สงบสุขแบบนี้ ดังนั้นมันจึงเป็นสิ่งที่เจ้ายังไม่จำเป็นต้องรู้…นอกจากนี้ ตัวเจ้าเองอยู่ในสถานะที่จะมาพูดเรื่องพวกนี้ได้หรืออย่างไร? ไม่ใช่ว่าเจ้าควรคิดหาวิธีกำจัดปัญหาตรงหน้าหรอกหรือ?”
ฉินเย่เงยหน้ามองเจียงซือที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง เขาสูดลมหายใจเข้าช้า ๆ และกรีดคมของปลายมีดลงบนแขนของตัวเอง
ฉึก!!
ไข่มุกสีแดงเลือดกระจัดกระจายไปในอากาศ และระเหยเป็นหมอกสีแดงเลือดที่ซึมผ่านทุกสิ่งที่อยู่โดยรอบ
เจียงซือที่กำลังพุ่งเข้าหาฉินเย่หยุดชะงักไปทันที
แม้จะไม่ได้มีสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดนัก แต่มันก็สามารถสัมผัสได้ถึงอันตรายที่กำลังใกล้เข้ามา
“เจ้าได้ทำมันลงไปแล้ว…วิญญาณอาฆาตขั้นยมเทพได้ทำให้ข้าต้องปลดปล่อยจิตวิญญาณใบมีด” ท่ามกลางหมอกสีแดงเลือด ผมของฉินเย่สะบัดไปมาอย่างน่ากลัว ราวกับการมาถึงของราชันย์วิญญาณ
สายลมนรกที่รุนแรงพัดไปทั่วทางเดินที่ถูกปิดตาย ส่งผลให้เสื้อคลุมของฉินเย่กระพืออย่างรุนแรง หมอกสีแดงเข้มที่น่าสยดสยองเปล่งประกายขึ้นอย่างน่ากลัวขณะที่เริ่มหมุนเร็วและแรงขึ้นเรื่อย ๆ!
ไม่กี่วินาทีต่อมา ร่างสีแดงเลือดที่มีความสูงหนึ่งนิ้วก็ค่อย ๆ ปรากฏออกมาจากกระบี่ปีศาจของฉินเย่ ในขณะเดียวกัน ทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวของเขาเริ่มเกิดรอยร้าวขึ้นก่อนจะกระจัดกระจายไปทั่ว ภายในเวลาไม่กี่วินาที ผนังของทางเดินทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยรอยแตกขนาดใหญ่!
“ฮือออ….อือออ…พะ พ่อ…ชะ ช่วยผม….ช่วยผมด้วย!!” เจียงซือหันหลังกลับอย่างรวดเร็วและกรีดร้องออกมาเสียงดังขณะที่หนีกลับเข้าไปในส่วนลึกของทางเดิน
“ไม่ต้องห่วง ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้กลับไปอยู่กับครอบครัวของตัวเองอีกครั้ง” ฉินเย่ยิ้มขณะที่เหวี่ยงกระบี่ของตนอย่างรวดเร็ว!
ฟึ่บ!!!
คลื่นพลังหยินรุนแรงตัดผ่านทั้งทางเกิดด้วยแรงที่ไม่ต่างอะไรไปจากแผ่นดินไหวขนาดย่อม! บนพื้นดินด้านบน เจ้าหน้าที่ทั้งสองคนต่างเบลอกลั้นหายใจไปชั่วขณะก่อนที่จะลุกยืนขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน
บ้านของหลี่เจียนคังเพิ่งพังทลายลงต่อหน้าต่อตาของพวกเขา
จู่ ๆ มันก็ทลายลงโดยไร้ซึ่งคำเตือนใด ๆ ฝุ่นและเศษหินกระจัดกระจายไปทั่วทุกที่ เสียงดังสนั่นไปทั่วท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เงียบสงัด ทั้งสองแน่นิ่งไปกว่าสองวินาทีก่อนที่จะมุ่งหน้าไปที่จุดเกิดเหตุด้วยความเร็วสูงสุด
ทันทีที่พวกเขาไปถึง ทั้งคู่ก็เห็นรู้ขนาดใหญ่ที่อยู่ลึกลงไปใต้ดินไม่ต่ำกว่าสิบเมตร!
“ลึกชะมัด….นะ นี่มัน…หลุมหลบภัยทางอากาศในสมัยก่อนอย่างนั้นเหรอ? ไม่สงสัยเลยว่าทำไมเครื่องมือของเราถึงตรวจหามันไม่พบ” หนึ่งในเจ้าหน้าที่เอ่ยออกมาเสียงดัง
“นี่มันใช่เวลาที่จะมาสนใจเรื่องพวกนั้นหรือไง?” ดวงตาของเจ้าหน้าที่อีกคนเป็นประกายวาววับขณะที่เขาเอ่ยต่อว่า “เป็นแรงสั่นสะเทือนที่รุนแรงจริง ๆ … S9527 หามันเจอแล้ว…เขาคงจะหาทางกำจัดเขตไล่ล่าแห่งนี้ได้แล้ว!”
“พวกเราควรไปรายงานหัวหน้าหรือเปล่า?”
“ไม่จำเป็น…นี่เป็นโครงการวิจัยของทาง SRC เราไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงเขาได้….” ก่อนที่เขาจะเอ่ยจบ พื้นที่บริเวณนั้นก็เกิดการสั่นสะเทือนอีกครั้ง และผนังของบ้านที่ยังไม่ได้พลังทลายลงมาก่อนหน้านี้พังทลายลงจนเกิดเสียงดังสนั่น! ฝุ่นควันจากเศษหิน ดิน ทรายฟุ้งไปทั่ว
ครืนนน….เห็นได้ชัดว่าจุดกึ่งกลางของการสั่นสะเทือนนั้นมาจากใต้ดิน เจ้าหน้าที่ทั้งสองหันไปมองหน้ากันและกันด้วยสายตาชื่นชม
ช่างเป็นพลังปราณที่แข็งแกร่งจริง ๆ…
ด้วยความแข็งแกร่งขนาดนี้…มันไม่แปลกเลยที่เขากล้าเข้าไปท้าทายเขตไล่ล่าระดับ C นี้ด้วยตัวคนเดียว…
เจ้าหน้าที่หนึ่งในนั้นกัดฟันกรอด ขณะที่เปิดแอปโม่โม่และส่งข้อความเสียงไปให้แก่ทุ่งดอกไม้และที่ราบหิมะ
“หัวหน้าครับ… S9527 น่าจะหาวิธีทำลายเขตไล่ล่าหมายเลข X-7 ได้แล้วครับ และตอนนี้ก็กำลังต่อสู้อยู่อย่างดุเดือด คุณ…จะมาดูด้วยตัวเองหรือเปล่าครับ?”
“ว่าไงนะ?” ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเวลาตี 3 เกือบจะตี 4 แล้วก็ตาม แต่ทุ่งดอกไม้และที่ราบหิมะก็ตอบกลับในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที “ระดมเจ้าหน้าที่ทั้งหมดไปปิดล้อมและรักษาความปลอดภัยภายในพื้นที่ทันที ผมจะไปที่นั่นเดี๋ยวนี้!”
ฉินเย่ไม่ได้รับรู้เรื่องพวกนี้เลยสักนิด ตอนนี้ ภายในใจของเขาเต็มไปด้วยความปรารถนาที่จะทำให้หลี่เจียนคังได้รับถึงผลของการกระทำของตัวเอง
นี่คือกฎของเขา คำตัดสินของเขา และความยุติธรรมของเขา
ตอนนี้เด็กหนุ่มยืนอยู่ตรงกึ่งกลางของทางเดินที่พังทลายลง เสียงร้องโหยหวนของเจียงซือดังก้องไปทั่ว การโจมตีสุดท้ายของเขาไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ร่างของตัวเจียงซือเอง เพราะอย่างไรแล้ว หลุมหลบภัยทางอากาศก็มักประกอบไปด้วยทางเดินและห้องมากมาย และฉินเย่ก็ไม่ต้องการเสียเวลาไปกับการตามหาไปตามทางเดินเพื่อหาตำแหน่งที่แน่นอนของเป้าหมาย
มันคือการตีหญ้าให้งูตื่น…