บทที่ 107: เมืองไดซาน
“ไม่มีอะไรที่ดูใช้งานได้กว่านี้เลยหรือ?” ฉินเย่กัดฟันแน่นและถามขณะที่ข่มความไม่พอใจของตัวเอง
“แน่นอน อย่างเช่นหมื่นภูตผีกลืนกินดวงวิญญาณที่ข้าเคยใช้ครั้งที่แล้วตอนช่วยเจ้าจากตี้ทิงอย่างไรล่ะ ด้วยเวทบทนี้ การจะจัดการวิญญาณของผู้คนนับแสนภายในคราวเดียวนั้นหาใช่เรื่องยาก สำหรับนักล่าวิญญาณเช่นเจ้า มันยังมีเคล็ดวิชาที่ชื่อว่ากระบี่สังหารวิญญาณที่ทำให้เจ้าสามารถฟาดฟันดวงวิญญาณพันดวงได้ภายในครั้งเดียว
แต่ปัญหาก็คือยมโลกในยามนี้กำลังอ่อนแอเป็นอย่างมาก หากมันไม่สามารถแม้แต่จะสนับสนุนเคล็ดวิชาของขั้นยมเทพได้ แล้วเจ้าจะคาดหวังจะใช้ศาสตร์ท้าทายสวรรค์และเคล็ดวิชาที่อยู่ในนี้ได้อย่างไร?”
“ไม่ต้องห่วง ยมโลกจะค่อย ๆ พัฒนาและกลับสู่ความรุ่งโรจน์อีกครั้ง อีกร้อยปีหลังจากนี้ เจ้าเองก็จะมีพลังในระดับที่สามารถจัดการเมืองเมืองหนึ่งได้ด้วยการสะบัดมือเพียงครั้งเดียว” อาร์ทิสยังคงเอ่ยต่อ
“ยิ่งกว่านั้น ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของยมบาลก็ไม่ได้อยู่ที่เคล็ดวิชาหรือเวทที่พวกเขาใช้ แต่มันอยู่ในดาบฟันวิญญาณของพวกเขาในตอนที่พวกเขาปลดปล่อยพลังขั้นบังไค…”
ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยแทรกขึ้นว่า “นี่ทานอ่านหนึ่งในสามมังงะที่ยอดเยี่ยมของยุคเราอย่างบลีชด้วยอย่างนั้นหรือ?”
“ขอโทษที…ข้านอกเรื่อง แต่มันก็มีแนวคิดที่คล้ายกัน ดาบฟันวิญญาณของเจ้า…ไม่สิ กระบี่ปีศาจของเจ้า จะได้รับการหล่อเลี้ยงจากวิญญาณทุกดวงที่มันได้กลืนกินเข้าไป และทันทีที่มันเข้าสู่ขั้นปลดปล่อยสวัสติกะ เจ้าก็จะมีพลังมหาศาลที่สามารถบดขยี้วิญญาณทั้งหมดที่อยู่ขั้นเดียวกับตัวเองได้!”
“แม้แต่ราชาผีทั้งสามก็ไม่มีข้อยกเว้น! นี่คือพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่มอบให้กับยมโลกโดยกฎของสวรรค์! เพราะฉะนั้นแล้วเจ้าจะต้องการศาสตร์และเคล็ดวิชาพวกนั้นไปทำไมกัน?”
“ส่วนเพื่อที่จะทำสิ่งพวกนั้นกลับมา…มันจะเป็นการดีมากหากเจ้าจะเผาทุกอย่างที่นี่ แต่หากเรื่องทั้งหมดกลับผิดพลาด ข้ายังสามารถใช้เคล็ดวิชาจักรวาลในแขนเสื้อเพื่อนำทุกสิ่งกลับมาด้วยได้อยู่ดี พลังของข้านั้นขับเคลื่อนโดยยมโลกแห่งเดิม ยมบาลมือใหม่อย่างเจ้าน่ะลืมเรื่องการที่จะสามารถมีพลังพวกนี้ได้ในระยะเวลาอันใกล้นี้ไปได้เลย”
พอกันที…
ทุกอย่างล้วนดำเนินไปตามโชคชะตา…
ฉินเย่ส่ายศีรษะ ลุกขึ้นยืนและเดินออกจากสวนสาธารณะ
เมื่อจัดการปัญหาตรงหน้าได้แล้ว ตอนนี้เขายังเหลืออีกสองสิ่งที่จะต้องทำ
สิ่งแรก เงิน
สอง คือหาว่าอีก 40 คะแนนเขาจะเอามาจากไหน
เขาเดินออกจากสวนสาธารณะโดยผ่านประตูหลัง เด็กหนุ่มยังคงขมวดคิ้วเข้าหากันและจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง
โดยปกติแล้ว ฉินเย่เป็นคนที่มีนิสัยเกียจคร้าน เว้นแต่ว่าจะมีเรื่องที่สำคัญถึงชีวิตตัวเองเท่านั้นเขาถึงจะสนใจ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าวิธีของเขาจะหย่อนยานและหละหลวมไปด้วย
“สองเดือนนับว่าเป็นเวลาค่อนข้างนาน แต่เรากำลังพูดถึงเมืองหลวงของมณฑลอันฮุ่ย และอาณาเขตของดินแดนก็ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 700 ตารางกิโลเมตร…แต่ข้าต้องมาเข้าเรียนทุกวันเสียด้วยสิ” เขาพึมพำกับตัวเองขณะที่เดินไปตามถนน
“สิ่งนี้ทำให้เรามีขีดจำกัดในเรื่องของเวลา ตัดช่วงเช้าออกไปได้เลย ช่วงที่เราสามารถไปไหนมาไหนได้ก็คือหลังจากสี่โมงเย็นไปแล้ว หรือให้พูดอีกอย่างก็คือ เราจะมีเวลาเพียงแปดชั่วโมงต่อวัน ตั้งแต่สี่โมงเย็นจนถึงเที่ยงคืนเท่านั้น”
“นอกจากนี้พวกเรายังไม่สามารถเปิดเผยตัวตนของตัวเองได้ ดังนั้นการสอบถามข้อมูลจากหน่วยสอบสวนพิเศษท้องถิ่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง…แปดชั่วโมงต่อวันเป็นเวลา 60 วัน เท่านั้นในเมืองที่มีประชากรมากกว่าล้านคน แถมทุกคนยังสามารถเป็นผู้นำที่มีศักยภาพได้ทั้งสิ้น นี่เป็นงานที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย”
“ตาแก่สองคนนี้ไม่มีทางพูดเรื่องไร้สาระแน่ และพวกเขาเน้นย้ำเป็นพิเศษว่าเจ้าไม่ควรปล่อยให้ตัวเองมีคะแนนต่ำกว่า 60 คะแนน ข้าคิดว่า…ผู้ที่ได้คะแนนน้อยกว่า 60 คะแนน อาจจะต้องถูกไล่ออกเป็นแน่” อาร์ทิสเอ่ย
ฉินเย่พยักหน้า “เป็นเช่นนั้น หากคนคนนั้นไม่แม้แต่จะสามารถผ่านข้อกำหนดขั้นพื้นฐานได้ แล้วพวกเขาจะดูแลนักเรียนให้ดีได้อย่างไร?”
นักเรียนกลุ่มแรกของสำนักฝึกตนแห่งแรกจะมาจากทั่วทุกสารทิศ ตั้งแต่นิกายระดับสูงไปจนถึงนิกายเร้นลับต่าง ๆ ที่สำคัญกว่านั้น นี่เป็นกลุ่มนักเรียนนำร่องที่จะกำหนดชื่อเสียงของสถาบันในอนาคต ดังนั้นนักเรียนกลุ่มแรกจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก และคุณภาพก็มีความสำคัญมากกว่าปริมาณ
“พอมาคิดเรื่องนี้ 60 คะแนนแรกเองก็ดูจะไม่ใช่สิ่งที่จะได้มาง่าย ๆ เช่นกัน…” ฉินเย่หรี่ตาเล็กลง ไม่สนใจคนขายอาหารและขนมที่เรียงรายอยู่ทั้งสองฝั่งของทางเดิน ขณะที่พึมพำกับตัวเองเบา ๆ
“แม้ว่าร่างกายของผู้ฝึกตนนั้นจะดีกว่ามนุษย์ธรรมดา แต่ใครจะไปรู้ว่าพวกเขาสามารถเจ็บป่วยบ้างได้หรือเปล่า?”
“หากใครมีธุระสำคัญและจำเป็นจะต้องขอลาครึ่งวัน….ต่อให้ทำตามกฎของสำนักและเข้าเรียนตลอดในเวลาที่เหลือจนครบสองเดือน การเสียคะแนนเพียงคะแนนเดียว ก็อาจทำให้ข้าสอบตกทั้งภาคการศึกษาได้เช่นกัน”
“ดังนั้นเมื่อพิจารณาเรื่องทั้งหมด ข้าคิดว่าอีก 40 คะแนนที่เหลือคงจะอยู่ไม่ไกลนัก แต่ในเวลาเดียวกัน มันก็คงจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้มันมา โอเค…เราเรียกแท็กซี่กันก่อนเถอะ”
ช่างน่าบังเอิญเป็นอย่างมาก เขาเพิ่งเดินมาถึงจุดเรียกแท็กซี่เท่านั้น แต่พอโบกมือเรียกก็มีรถแท็กซี่ขับมาจอดรับเขาทันที
“เจ้าพอจะมีความคิดดี ๆ แล้วหรือ?”
ฉินเย่พยักหน้า “ถนนของผู้ล่วงลับ และตลาดขายของเก่า”
“เพราะว่าเป็นเมืองหลวงของมณฑล เมืองไดซานจะต้องมีสถานที่แบบนั้นอยู่แน่ ๆ และทั้งสองนี้คือเป้าหมายหลักในการเริ่มต้นของพวกเรา”
หลังจากบอกจุดหมายปลายทางให้กับคนขับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รถแท็กซี่ก็มาถึงบริเวณใกล้เคียงของถนนของผู้ล่วงลับอย่างรวดเร็ว ทว่ายิ่งพวกเขาเข้าใกล้จุดหมายปลายทางมากเท่าไหร่ ฉินเย่ก็ยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
บรรยากาศของสถานที่แห่งนี้แตกต่างออกไป
ความหนาแน่นของพลังหยินที่อยู่รอบ ๆ เมืองไดซานนั้นมีน้อยมาก แต่ถึงกระนั้น ฉินเย่เริ่มมองเห็นร้านขายของเฉพาะทางหลายชนิดตั้งเรียงรายอยู่ทั้งสองฝั่งของถนน ก่อนที่เขาจะนั่งรถเข้าไปในตัวถนนเสียอีก
ร้านแต่ละร้านล้วนขายสินค้าที่ไม่เหมือนกัน มีทั้งยันต์ อุปกรณ์พิเศษ หยก และอื่น ๆ อีกมากมาย บรรยากาศของที่นี่ดูขลังราวกับเป็นสำนักทรงเจ้าอย่างนั้นแหละ
“ขอโทษนะครับ เกิดอะไรขึ้นกับที่นี่อย่างนั้นเหรอครับ?” ฉินเย่ประหลาดใจ
คนขับจึงตอบกลับไปว่า “น้องชาย นายคงมาที่เมืองไดซานครั้งแรกสินะ? แต่ก็ไม่ใช่นายคนเดียวหรอกนะที่รู้สึกแปลกใจแบบนี้ ได้ยินมาว่าเมื่อไม่นานมานี้ แถวนี้มีข่าวลือที่…ไม่ค่อยดีเท่าไหร่น่ะ”
ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นเข้าใจเหตุผลในทันที
การล่มสลายของนรกหมายความว่าเหล่าวิญญาณไม่มีที่ให้ไป พลังหยินที่วิญญาณแต่ละตนมีนั้นเบาบางมาก แต่เมื่อจำนวนของมันเริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ความถี่ในการเกิดเหตุที่ผู้คนจะพบเจอภาพที่น่าสยดสยองก็ย่อมเพิ่มสูงขึ้นเป็นธรรมดา!
มันอาจจะไม่เป็นเรื่องใหญ่นักหากจำนวนผู้ที่เห็นเหตุการณ์จะมีเพียงหยิบมือ หรืออาจจะแค่สิบคน แต่ถ้าผู้ที่พบเห็นสิ่งเหล่านี้มีมากกว่าพันคนล่ะ?
นอกจากนี้ ทางรัฐบาลกลางจงใจที่จะเตรียมใจของประชาชนสำหรับเหตุการณ์เหล่านี้ และพวกเขาก็ไม่คิดจะปกปิดหรือสกัดกั้นข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์เหล่านั้นเลยสักนิด ซึ่งนั่นทำให้จิตใจของผู้คนเริ่มอ่อนไหวต่อเหตุการณ์เหนือธรรมชาติเหล่านั้น อย่างไรก็ตาม มันยังอยู่ในระดับที่ยังสามารถควบคุมได้
คนขับรถแท็กซี่เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองทั้งสองฝั่งทางของถนนก่อนจะเอ่ยว่า “มันเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อสองปีที่แล้ว พระ นักพรตเต๋า ผู้ฝึกวิทยายุทธ และผู้ฝึกตนมากมาย ๆ มาที่นี่ เฮ้อ~…สิ่งเหล่านี้ควรจะหายไปพร้อมกับของคร่ำครึสี่อย่างแล้วแท้ ๆ [1] แต่กลับเอาความคิดพวกนั้นกลับมาอีกครั้ง ฉันยังได้ยินมาว่าเมืองหลวงของมณฑลอื่น ๆ เองก็เป็นเหมือนกัน ไม่ใช่แค่เมืองไดซานเท่านั้น”
“แต่มันก็ช่วยไม่ได้เพราะว่ารัฐบาลเองก็ไม่แม้แต่จะยื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องนี้เช่นกัน หากพูดกันตามตรง รัฐบาลได้สร้างถนนอีกเส้นหนึ่งขึ้นมาสำหรับร้านค้าเหล่านี้เพื่อส่งเสริมธุรกิจด้วยซ้ำ ฉันยังได้ยินอีกว่าธุรกิจนี้กำลังไปได้ดีมาก ๆ และร้านแต่ละร้านก็ได้กำไรเป็นหมื่น ๆ หยวน ต่อเดือนด้วยนะ….”
ฉินเย่พยักหน้าและมองร้านค้ามากมายข้างทาง
ธุรกิจแบบนี้ดูจะกำลังไปได้ดีจริง ๆ
ไม่ว่าจะเป็นการดูดวงหรือการขาย ‘สิ่งประดิษฐ์เวท’ แต่ละร้านล้วนมีลูกค้าอย่างน้อยสองถึงสามคนกำลังเลือกสินค้าอยู่ ช่างแตกต่างจากเมื่อหนึ่งหรือสองทศวรรษที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม ฉินเย่ไม่ได้ดีใจนัก อันที่จริง เขาค่อนข้างรู้สึกหนักใจเลยทีเดียว
เพราะมันหมายความว่าสถานการณ์สิ่งเหนือธรรมชาติกำลังแย่ลงเรื่อย ๆ เพราะท้ายที่สุดแล้ว มีเพียงตอนที่มีภัยคุกคามที่แท้จริงเท่านั้นที่ประชาชนจะแสวงหาความสบายใจ
ใช้เวลาไม่นานรถแท็กซี่ก็ขับมาถึงทางเข้าของถนนของผู้ล่วงลับ ประตูหินโบราณที่มีแผ่นป้ายเหล็กติดอยู่ด้านบน รูปปั้นตี้ทิงสูง 1.5 เมตรตั้งอยู่ทั้งสองฝั่งของประตู เมื่อมองแวบแรก ฉินเย่สามารถบอกได้เลยว่ามีเพียงไม่กี่ร้านเท่านั้นที่ยังขายป้ายสีขาวและเงินกระดาษ ร้านค้าส่วนใหญ่จะขายสิ่งประดิษฐ์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการบ่มเพาะทั้งสิ้น
เขาเดินเข้าไปในร้านที่ชื่อว่า ‘ร้านยันต์แห่งสกุลหนิง’ และเขาก็พบว่าภายในร้านเวลานี้มีลูกค้าจำนวนหนึ่งที่ยืนเลือกของอยู่ก่อนแล้ว ตัวร้านถูกตกแต่งในสไตล์จีนโบราณ ทางฝั่งซ้ายมือของร้านมีรูปวาดขนาดใหญ่ของไตรวิสุทธิเทพ [2] ถูกแขวนอยู่ ในขณะทางฝั่งขวาถูกแขวนด้วยรูปวาดของพระโคตมพุทธเจ้า [3] โคมไฟพระราชวังขนาดเล็กถูกแขวนอยู่เหนือศีรษะพร้อมกับชิ้นส่วนของเครื่องราง และยันต์โบราณพร้อมกับรูปวาดเป็นโหล ๆ ถูกวางอยู่ในหีบไม้สลักอย่างประณีต
กลิ่นของธูปที่ทำจากไม้จันทน์ลอยคลุ้งไปในอากาศ ทันทีที่ฉินเย่เดินเข้าไปในร้าน ผู้ดูแลร้านคนหนึ่งก็เดินมาและยิ้มให้กับเขาอย่างจริงใจ “วันนี้มีอะไรให้เรารับใช้ครับ?”
ฉินเย่รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
ภายในร้านนั้นไม่มีกลิ่นอายของพลังเลยสักนิด ยันต์ทั้งหมดที่ถูกวางขายล้วนเป็นของปลอม เขาถามออกไปโดยไม่คิดทันทีว่า “ร้านคุณขายอะไร?”
“ยันต์บรรพชนครับ” ผู้ดูแลเอ่ยด้วยรอยยิ้มและชี้ไปที่ด้านหลังของเคาน์เตอร์ “เจ้านายของเราได้ไปเรียนวิธีวาดมาจากสกุลหนิงที่โด่งดังในมณฑลเถิงหลง ยันต์ที่เขาวาดล้วนเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งพุทธคุณ ไม่ว่าคุณจะเผชิญหน้ากับสิ่งชั่วร้ายหรือผีสางตนใด ทั้งหมดที่คุณต้องทำมีเพียงนำมันติดตัวไปด้วย แล้วรับรองได้เลยว่าคุณจะได้รับความสงบสุขไปตลอดชีวิต”
มือที่อยู่ในกระเป๋ากำเข้าหากันแน่น ฉินเย่มองหีบไม้แกะสลักที่วางอยู่บนชั้นเคาน์เตอร์รูปทรงแปลกประหลาด ยันต์ทั้งหมดล้วนถูกวาดออกมาได้แย่จนเขารู้สึกปวดตาเวลามองมัน เด็กหนุ่มพึมพำเบา ๆ “คุณเชื่อเรื่องพวกนี้ด้วยเหรอ?”
ผู้ดูแลที่ได้ยินเช่นนั้นเพียงแย้มยิ้มอีกครั้งและเอ่ยว่า “คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่สิ่งเหล่านี้มีอยู่จริงนะครับ”
จากนั้น เขาจึงเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มลงกว่าเดิม “ตลอดหลายปีที่ผ่านมา หรืออาจจะสิบปี หรือมากกว่านั้น ภาพและเหตุการณ์เหนือธรรมชาติเริ่มมีให้เห็นบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ คุณจะบอกว่ามันเป็นเรื่องงมงายก็ได้ครับ แต่เรื่องเล่าจากปากผู้คนจำนวนมากและบนอินเทอร์เน็ตต่างก็พูดเรื่องนี้กันทั้งนั้น คุณคิดจริง ๆ หรือครับว่ามันเป็นเพียงเรื่องล้อเล่นเท่านั้น?”
“นอกจากนี้ทางรัฐบาลเองไม่ออกมาปฏิเสธหรือปกปิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ หากไม่ใช่เพราะว่า ท่านปรมาจารย์อมตะหนิงมีจิตเมตตาต้องการช่วยขจัดความทุกข์ยากในโลกนี้ เขาก็คงไม่เดินทางไปทั่วแผ่นดินจีนเพื่อขายยันต์เหล่านี้”
ฉินเย่ยิ้มออกมาอย่างมีความหมายบางอย่าง “แล้วยันต์พวกนี้ราคาเท่าไหร่?”
“ยันต์นี้ชื่อว่ายันต์สยบปีศาจฉิงหยุน ราคา 666 หยวนครับ” ผู้ดูแลยิ้ม “นี่ไม่ใช่ราคาที่สูงเลยครับ สิ่งที่ต้องเสียไปกับการวาดยันต์พวกนี้นั้นมีไม่น้อย มันคือศิลปะที่สาบสูญไปแล้ว และพลังที่ต้องใช้ในการวาดยันต์นี้ขึ้นมาก็สูงมาก พวกเราเพิ่งมาตั้งร้านที่ถนนสายนี้ได้ไม่นานนัก ดังนั้นตอนนี้เราจึงขายทุกอย่างด้วยราคาต้นทุน คุณพิสูจน์ได้เลยว่าของทุกอย่างที่นี่ล้วนถูกกว่าร้านคู่แข่งอย่างร้านแห่งโชคลาภ และร้านแห่งสันติภาพมาก”
ยันต์เพียงหนึ่งแผ่นแต่ราคา 666 หยวน….ฉินเย่สูดหายใจเข้าลึก ๆ หากเขาไม่ได้อยู่ที่เมืองเป่าอัน เขาจะมาเปิดร้านที่นี่อย่างแน่นอน นี่มันการปล้นกันชัด ๆ! วัสดุที่ใช้ทำมีราคาไม่ถึง 30 หยวนด้วยซ้ำ!
นอกจากนี้ ทั้งหมดที่เขาต้องทำมีเพียงวาดรูปพร้อมกับใส่พลังหยินของตัวเองลงไป ด้วยพลังของยมบาลที่แผ่ออกจากตัวยันต์ มันจะมีวิญญาณตนไหนที่กล้าเข้าใกล้กัน?
“ปรมาจารย์หนิง…” ฉินเย่ถอนหายใจออกมาและส่ายศีรษะ ผู้ดูแลที่ได้ยินเช่นนั้นจึงรีบเอ่ยอย่างรวดเร็วว่า “ไม่ใช่ปรมาจารย์ครับ แต่เป็นท่านปรมาจารย์อมตะ”
ฉินเย่พยักหน้าไม่สนใจ “เขา…เขารู้หรือเปล่าว่าตัวเองวาดรูปอะไรออกมา?”
“แน่นอนว่าผมรู้” ทว่าก่อนที่เขาจะเอ่ยจนจบ เสียงที่ค่อนข้างมีอายุก็ดังมาจากด้านหลังของเคาน์เตอร์ เมื่อฉินเย่หันกลับไปมอง เขาก็พบว่ามีชายชราที่สูงไม่มากนักกำลังจ้องมาที่เขาด้วยดวงตาเป็นประกาย
อีกฝ่ายน่าจะอายุประมาณ 60 ปี เคราสีขาวของเขาถูกปล่อยให้ยาวลงมาถึงบริเวณอก ในขณะที่เส้นผมสีขาวของเขาถูกมัดเป็นมวยอยู่ด้านหลังอย่างหลวม ๆ เขาสวมเสื้อคอจีนแขนยาวสีขาวและกางเกงผ้าไหมสีดำ พร้อมด้วยถุงเท้าสีขาวและรองเท้าสีดำ หากมองแวบแรก ชายชราตรงหน้าดูเหมือนจะมีรูปลักษณ์ของปรมาจารย์อมตะที่ลงมาจุติยังพื้นโลกจริง ๆ
“ปรมาจารย์อมตะหนิง” ผู้ดูแลรีบเดินเข้าไปทำความเคารพชายสูงวัยทันที
ชายชราเพียงยกมือตอบและผู้ดูแลก็รีบเดินไปให้บริการลูกค้าคนอื่นต่อทันที ปรมาจารย์อมตะและฉินเย่จ้องตากันนิ่ง ไม่มีใครพูดอะไรออกมาเป็นเวลานาน
ถึงแม้ว่าใบหน้าของชายสูงวัยจะนิ่งเรียบ แต่ลึก ๆ ภายในใจของเขาตอนนี้กลับรู้สึกตึงเครียดอย่างไม่น่าเชื่อ
ด้วยเหตุผลที่แปลกประหลาดบางอย่าง…
ตั้งแต่ที่เด็กหนุ่มคนนี้ก้าวเข้ามา เขาก็อดไม่ได้ที่จะมองไปที่อีกฝ่าย และ…ความรู้สึกหวาดกลัวภายในใจของเขาก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
โดยธรรมชาติแล้ว มันย่อมมีพวกที่เปิดร้านค้าเพื่อที่จะตกปลาในน่านน้ำที่มีปัญหา แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน เขาใช้เวลาไม่ถึง 2-3 ปีในการทำให้สินค้าของเขาเป็นที่รู้จักกันไปทั่วทั้งประเทศ ต่อให้ประสิทธิภาพของสินค้าจะต่ำเตี้ยเรี่ยดิน แต่ขอเพียงใช้ความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ วาดมันออกมา แล้วก็ใช้ชื่อเสียงของบรรพบุรุษมาโฆษณาเท่านี้คนก็คิดว่าของของเขาน่าเชื่อถือแล้ว
ชายสูงวัยไม่สามารถอธิบายความรู้สึกภายในใจของตัวเองได้ เขาสาบานได้เลยว่าเมื่อครู่นี้เขาเห็นกลุ่มควันสีดำพุ่งเข้ามาตั้งแต่หน้าประตูแล้ว ส่งผลให้เขารู้สึกเย็นยะเยือกไปตามสันหลัง
จาก…เด็กหนุ่มตรงหน้าก็เข้ามา ด้วยเหตุผลบางประการ เด็กหนุ่มคนนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนกับตัวเองกำลังพบกับชายผมขาวสวมชุดโบราณคนหนึ่ง แทบจะเหมือนกับว่าอีกฝ่ายเพิ่งคลานออกมาจากหลุมศพเลยด้วยซ้ำ
“คุณคือ…” เขาสูดหายใจเข้าช้า ๆ และเอ่ยเสียงเบา “ช่างฝีมือแห่งโลกใต้พิภพอย่างนั้นหรือ?”
ช่างฝีมือแห่งโลกใต้พิภพ?
ฉินเยส่ายหน้าอย่างประหลาดใจเล็กน้อย ขณะที่เดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้นเรื่อย ๆ สงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรออกมาอีก
เม็ดเหงื่อจำนวนมากผุดขึ้นบริเวณหน้าผากของปรมาจารย์สูงวัย
เด็กคนนี้ไม่ใช่ช่างฝีมือแห่งโลกใต้พิภพ…แต่เหตุใดมือและเท้าของเขาถึงรู้สึกเย็นชืดเมื่อเข้าใกล้อีกฝ่าย?
มันราวกับว่าอีกฝ่ายแค่กะพริบตา เขาก็สามารถตายได้
“คุณ…” เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง “ผะ ผม…ยังไม่ได้ล้ำเส้นเลยไม่ใช่หรือ…?”
“คะ คุณ….คุณทำธุรกิจของกิจการอยู่ในตลาดไสยเวท ร้านแห่งนี้เป็นเพียงการหาเงินเพื่อเลี้ยงชีพของเราเท่านั้น….”
ฉินเย่ยิ้ม เขาขี้เกียจเกินกว่าที่จะสนใจคนตรงหน้า ดังนั้นเขาจึงกลับหลังหันและเตรียมจะเดินจากไป
“คุณ! คุณครับเดี๋ยว!” ชายสูงวัยรีบเรียกฉินเย่เอาไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะออกจากร้าน ผู้ดูแลรีบหันไปมองภาพที่น่าตกตะลึงด้วยริมฝีปากที่อ้าค้าง ในขณะที่ลูกค้าคนอื่น ๆในร้านก็มองด้วยสีหน้าสงสัยเช่นกัน แต่ถึงกระนั้น ชายสูงวัยเพียงรีบวิ่งไปหาฉินเย่ก่อนจะโค้งคำนับเด็กหนุ่มด้วยสายตาเยินยอ “หรือว่าคุณเองก็มาที่นี่เพราะว่าแมวตัวนั้นเช่นกัน?”
[1] นี่เป็นการอ้างอิงถึงช่วงต้นของการปฏิวัติวัฒนธรรมที่ยุวชนแดงได้รับคำสั่งให้ทำลายองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับระบอบคอมมิวนิสต์ในวัฒนธรรมจีนทั้งหมด คร่ำครึสี่อย่าง (Four Olds) ประกอบด้วยประเพณีเก่า ๆ วัฒนธรรมเก่า ๆ พฤติกรรมเก่าๆ และความคิดเก่า ๆ
[2] คำเรียกเทพสูงสุดสามองค์ในลัทธิเต๋า
[3] พระนามของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า