ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] – ตอนที่ 85: คุณมาจากหน่วยอะไร?

บทที่ 85: คุณมาจากหน่วยอะไร?

ครืนน ครืนน ครืนน…บ้านพักทั้งหลังสั่นไหวควบคู่ไปกับพลังหยินที่กระเพื่อม แม้ว่าทุกอย่างจะมองไม่เห็นจากด้านนอก แต่ฉินเย่ก็ไม่สามารถเมินเฉยได้อีกต่อไปตะโกนขึ้น “มันเกิดอะไรขึ้น?!”

มันดูคล้ายกับว่าเขากำลังถามคนอื่น ๆ แต่อาร์ทิสรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังถามคำถามนี้กับตน นางจึงเอ่ยว่า “ลมหายใจ”

“ลมหายใจของตัวตนลึกลับนั่น มันคือ… ผี ทว่าถึงจะมีชื่อว่าภูตผี หากแต่มันยังมีชีวิตอยู่ !!”

ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นตกตะลึงและถามอีกครั้ง “ซินดราโกซา? มังกรน้ำแข็ง? [1]”

“เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้า…”

ตู้ม!!

ทว่าก่อนที่อาร์ทิสจะสามารถปลดปล่อยความโกรธเกรี้ยวของตนที่มีต่อฉินเย่ พื้นที่พวกเขายืนอยู่ก็สั่นไหวอย่างรุนแรง และเกิดเป็นช่องว่างที่กลืนร่างของคนทั้งหมดลงไปทันที

ในเวลาเดียวกันกับที่ม่านพลังได้พังทลายลง การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันก็ดึงดูดความสนใจของเหล่าทหารยามในทันที กองทหารทั้งหมดตกตะลึงและตื่นตระหนกทันที

“เกิดอะไรขึ้น?” พันตรีผู้หนึ่งที่ประจำการอยู่มองดูกลุ่มควันที่ปะทุออกมาจากชั้นหนึ่งของบ้านพักคนชราอย่างประหลาดใจ ไม่กี่วินาทีถัดมา เขาก็ยืดตัวขึ้นและตะโกนว่า “เร็วเข้า! รีบรายงานไปที่หน่วยสอบสวนพิเศษเดี๋ยวนี้….”

“ไม่จำเป็น” น้ำเสียงนิ่งเรียบดังขึ้นแทรกก่อนที่พันตรีผู้นั้นจะเอ่ยจบ เวลานี้…โจวเซียนหลงยืนอยู่ด้านหลังของอีกฝ่ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“ทางหน่วยสอบสวนพิเศษของเราจะรับผิดชอบต่อเอง” โจวเซียนหลงยังคงออกคำสั่งอย่างเป็นระบบ “รีบดึงภาพจากกล้องวงจรผิดที่อยู่บริเวณใกล้เคียงและส่งมาที่นี่ทันที ไม่ว่ามันจะอยู่ไกลเท่าไหร่ก็แล้วแต่ ตราบใดที่อยู่ในรัศมี 300 เมตรจากเขตไล่ลาที่ 4 ผมต้องการมันทั้งหมด”

หลังจากนั้นไม่นาน สำเนาภาพของวิดีโอต่าง ๆ ก็ถูกส่งเข้ามา โจวเซียนหลงและเจ้าหน้าที่อีกสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขาก็เริ่มทำงานของตนทันที

แกร็ก แกร็ก แกร็ก…เสียงกดแป้นพิมพ์อย่างรวดเร็วดังขึ้นไม่หยุดหย่อน หลายนาทีต่อมา ภาพของฉินเย่และคนอื่น ๆ ที่ทำท่าราวกับทาร์ซานก็ถูกฉายขึ้นบนหน้าจอ

“เจ้าพวกตัวปัญหา…” โจวเซียนหลงผงะไปก่อนจะเอ่ยลอดไรฟันอย่างเดือดดาล “ทำไมพวกเราถึงมักจะดึงดูดพวกเด็กที่ชอบสร้างความวุ่นวายนักนะ…ตรวจสอบเดี๋ยวนี้! ผมอยากรู้ว่าพวกเขามาจากหน่วยไหน!…เดี๋ยวนะ…ซูมเข้าไปใกล้ ๆ สิ ผมคิดว่าผมรู้แล้วว่าพวกเขาเป็นใคร….”

และมันก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากชายผู้สร้างความประทับใจอย่างไม่สามารถลบเลือนอย่าง S9527 รวมถึง…

“แล้วก็ไอ้พวกเด็กเวรจากทีมเปลวเพลิง” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นเจือไปด้วยความโกรธขณะที่เขาหยินโทรศัพท์ขึ้นมาและกดหมายเลขโทรออก “ผู้อำนวยการสวี่ ผมเอง…คุณคงต้องเตือนอาจารย์คนใหม่ของคุณบ้างแล้ว….ว่าไงนะ? การฝึกสอนยังไม่เริ่ม? ถ้าอย่างนั้นพวกเราคงต้องทำทุกอย่างเท่าที่สามารถทำได้ เพื่อเพิ่มความหนักหน่วงในการฝึกให้พวกเขาทันทีที่เริ่มขึ้นแล้วล่ะครับ!”

“….เกิดอะไรขึ้นน่ะหรือ? ฮ่าๆๆ การลอบเข้าเขตไล่ล่าที่ 4 ในกลางดึกนี่นับรวมด้วยหรือเปล่าล่ะครับ? หักคะแนนความดีเป็นเวลาหนึ่งเดือนและลงโทษเล็ก ๆ น้อย ๆ”

เมื่อเอ่ยจบ เขาก็กลับหลังหันและเดินจากไป

“ท่านครับ…” หลังจากที่เดินออกมาจากกองทหาร ชายที่อยู่ด้านหลังของเขาก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่ไม่ดังนักว่า “แต่มันคือเขตไล่ล่าที่ 4 นะครับ….ด้วยลักษณะเฉพาะของมัน….”

“ผมรู้” โจวเซียนหลงเอ่ยด้วยรอยยิ้มที่น่ากลัวบนใบหน้า “แต่…ผมเกรงว่าบทลงโทษที่หนักกว่านี้คงกำลังรอพวกเขาอยู่ด้านล่างแล้ว”

“เด็กพวกนี้ค่อนข้างมีฝีมือสินะ? พวกเขายังสามารถหาทางลับ เพื่อลงไปด้านล่างเจอด้วย….คุณรู้หรือเปล่าว่าเพราะอะไรผมถึงไม่สั่งลงโทษสถานหนักกับพวกเขา?”

บทสนทนาดำเนินไปอย่างรวดเร็วจนผู้ที่เดินตามหลังไม่สามารถตามทัน “เพราะอะไรครับ?”

โจวเซียนหลงไม่ได้สนใจอีกฝ่าย เขาเพียงมองไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืนอันห่างไกลพร้อมกับพึมพำเบาๆว่า “การมีความคิดริเริ่มและความสร้างสรรค์นั้นเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การยกย่อง เราต้องการทหารเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาแบบนี้”

“เราต้องการกระสุนปืนใหญ่ แต่สิ่งที่พวกเราต้องการมากกว่าก็คือหัวกะทิ”

…………………………………………………….

ตุบ…พื้นด้านล่างของบ้านพักคนชราไปอยู่ต่ำกว่าระดับพื้นดินมากนัก พวกเขาตกลงมาประมาณสิบเมตรเท่านั้น และความสูงเพียงเท่านั้นก็แทบจะไม่ใช่สิ่งที่เจ้าหน้าที่ขั้นนักล่าวิญญาณต้องกังวลเลยสักนิด พวกเขาปรับท่าทางและร่วงลงสู่พื้นอย่างปลอดภัย

“นี่มัน…” คนทั้งหมดต่างตกตะลึงกับสิ่งแรกที่พวกตนได้เห็น

ประตูหิน…

มันคือประตูหินโบราณที่ถูกสลักด้วยลวดลายซับซ้อน ฉินเย่ขมวดคิ้วยุ่งและคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขามั่นใจว่าตัวเองเคยเห็นลวดลายพวกนี้ที่ห้องลับของเชาโยวเต๋ามาก่อน

ใต้เมืองเป่าอัน…มีสุสานที่ใหญ่ขนาดนี้อยู่ด้วยหรือ?

ฉินเย่สลัดข้อสันนิษฐานบ้าบอในหัวของตัวเองออกไปและเดินเข้าไปสังเกตประตูใกล้ ๆ

โคมไฟสีทองสองดวงส่องสว่างอยู่ทั้งสองด้านของประตู นอกเหนือจากนั้น ทุกอย่างรอบตัวไม่มีอะไรนอกจากกำแพงหิน

“นี่เป็นทางที่มนุษย์สร้างขึ้น และมันก็อยู่ที่นี่มาเป็นเวลานาน…แต่ก็ไม่ได้นานขนาดนั้น ผมคิดว่าน่าจะประมาณร้อยปี” ซู่เฟิงตรวจสอบจากเศษฝุ่นที่เกาะอยู่และเอ่ยต่อว่า “เราควรเปิดมันหรือเปล่า?”

แน่นอน

มาถึงตรงนี้ พวกเขาย่อมรู้ดีว่าคะแนนความดีมหาศาลได้มากองรวมอยู่ตรงหน้าของพวกเขาและ และมันก็ไม่มีใครที่คิดจะถอยกลับแน่นอน

แม้จะมีประตูหินที่หนาตั้งอยู่ตรงหน้า แต่ทุกคนที่นี่ต่างสัมผัสได้ถึงพลังหยินอันยิ่งใหญ่และไร้ขอบเขตมาจากอีกด้านหนึ่งของประตู ทุกจังหวะการหายใจของสิ่งมีชีวิตที่อยู่ด้านในล้วนทำให้เลือดในกายของพวกเขาเดือดพล่าน ขณะที่ความเย็นยะเยือกไล่ไปตามกระดูกสันหลัง

มันเป็นเรื่องที่ไม่สามารถคาดเดาได้

ทุกคนหันไปมองฉินเย่

“ผมเหรอ? เปิดประตูเนี่ยนะ?” ฉินเย่ผงะไป เขาชี้นิ้วเข้าหาตัวด้วยแววตาที่สั่นระริก “นั่นมันไม่เกินไปหรือไง?”

หากมีสายฟ้านับพันยิ่งออกมาทันทีที่เขาเปิดประตูล่ะ? หรืออาจจะมีกรงเล็กที่แหลมคมหลุดออกมาและทำให้เขาตายล่ะ?

ซู่เฟิงพยักหน้าอย่างหนักแน่น ในความคิดของพวกเขา มันเป็นเรื่องธรรมที่คนที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มจะอาสาลงมือในช่วงเวลาที่สำคัญแบบนี้

นี่คือสิทธิพิเศษของผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด

“ขอร้องละ!”

เมื่อเผชิญหน้ากับคำขอร้องของเจ้าหน้าที่ระดับ S ทั้งสี่ ฉินเองก็ทำได้เพียงสบถออกมาในใจ

“ถ้าผมตายที่นี่ รู้เอาไว้เลยว่ามันเป็นเพราะพวกคุณ….” เขาพึมพำอย่างไม่พอใจ หลังจากสูดหายใจเข้าออกอยู่หลายครั้ง ฉินเย่ก็เดินเข้าไปใกล้บานประตูอย่างระมัดระวัง เล็งไปที่ประตู จากนั้น….

จิ้มนิ้วของตัวเองไปที่ประตูหิน

จากนั้น ด้วยความเร็วที่เทียบเท่าสายฟ้า เขากระโดดหลบไปข้างกำแพง พยายามอย่างเต็มที่ที่จะรวมตัวเป็นหนึ่งเดียวกับมัน

“……” ทุกคน

“ผมว่า…คุณควรจะผลักมันมากกว่าจิ้มมันนะ…” หลินฮั่นเอ่ยอย่างหวังดี

ฉินเย่เพียงเหลือบไปมองเจ้าของเสียง นายคิดว่าฉันไม่รู้หรือไง?! คำถามก็คือฉันมีความกล้าที่จะทำมันหรือเปล่าต่างหาก!

ภายใต้การรวมกันของความโกรธและความบ้าระห่ำ เขาหลับตาลงก่อนจะถีบประตูให้เปิดออกภายในครั้งเดียว

ครืนน…เสียงอู้อี้ของบางอย่างดังขึ้น คนทั้งสี่มองหน้าและพุ่งไปข้างหน้าราวกับสายฟ้าฟาด ทว่าในเสี้ยววินาทีต่อมา พวกเขาก็ต้องถอยหลังกลับมาอย่างพร้อมเพรียงกัน

“เกิดอะไรขึ้น?” ฉินเย่ย่นคิ้วเข้าหากันก่อนจะค่อยๆเดินไปดูที่ประตู จากนั้นก็รีบถอยหลังกลับมาเหมือนกับคนอื่น ๆ

ด้านในของมันคือทางเดินขนาดใหญ่

ทางเดินดังกล่าวกว้างประมาณ 4-5 เมตร รายละเอียดอื่น ๆ ของทางเดินไม่ค่อยชัดเจนนัก แต่สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็คือ…

ด้านในของทางเดินนั้นมีทหารจำนวนมากยืนอยู่ และทั้งหมดก็จ้องตรงมาที่พวกเขา ในขณะเดียวกันจุดสีแดงของเลเซอร์ก็ปรากฏขึ้นบนร่างของพวกเขาแต่ละคนจำนวนนับไม่ถ้วน

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหากพวกเขากล้าขยับตัวแม้แต่นิดเดียว พวกเขาคงจะกลายเป็นตะแกรงไปในทันที

“เข้าใจผิด…นี่เป็นความเข้าใจผิดทั้งหมด…” หลินฮั่นพยายามแย้มยิ้มออกมาอย่างฝืน ๆ เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นกลางอากาศ แสดงถึงการยอมจำนน

“นี่…คือแสงเลเซอร์ใช่หรือไม่?” อาร์ทิสเอ่ยอย่างตกใจและพูดต่อว่า “ยกมือขึ้นสิ! เจ้ามัวรออะไรอยู่?! ข้ายังไม่อยากจะตายกับเจ้าที่นี่!”

ฉินเย่แทบจะไม่ได้สนใจอีกฝ่ายนัก โดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยอะไร ทุกคนต่างยกมือของตนขึ้นเหนือศีรษะทันที

“นี่คุณคิดได้แค่นี้เหรอ?” ฉินเย่กัดฟันและกระซิบกับซู่เฟิง “ทำไมถึงมีคนอื่นอยู่ที่นี่?”

“พวกเขาคือหน่วยสอบสวนพิเศษ…ดูที่สัญลักษณ์ดาบและโล่บนอกพวกเขาสิ…” ซู่เฟิงถอนหายใจออกมา “ดูเหมือนว่าทางรัฐบาลจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว และพวกเขาก็แค่ไม่ได้เปิดเผยเรื่องนี้กับเรา แถมพวกเขายังสร้างฐานทัพที่นี่แล้วด้วย…ดูเหมือนว่าพวกเราทุกคนคงจะรู้ช้าไป….”

ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ เขามีความรู้สึกว่าคะแนนความดีในการสำรวจครั้งนี้คงจะหายไปในกลุ่มควันเสียแล้ว

ฟึ่บ…ทันใดนั้นเอง ทหารพวกนั้นก็แยกตัวออกเป็นสองฝั่งในขณะที่ยังคงรักษาระดับเลเซอร์ไปที่ร่างของผู้บุกรุกแต่ละคน ชายในชุดปฏิบัติการสีขาวตัวใหญ่คนหนึ่งเดินออกมาจากกลุ่มทหารและเดินตรงมาทางฉินเย่และคนอื่น ๆ อีกฝ่ายน่าจะอายุประมาณ 40 ปี ใบหน้าราวกับรูปสลักพร้อมด้วยคิ้วคมเข้ม มือทั้งสองข้างล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกง ขณะที่ก้าวเท้าผ่านกลุ่มทหารมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หยุดฝีเท้าลงเมื่อเดินมาถึงด้านหน้า “เก่งไม่เบานี่?”

“แหะ ๆ ๆ…ทั่วไปน่ะครับ ผมคิดว่านะ…” หลินฮั่นหัวเราะแห้ง ๆ

ชายวัยกลางคนชี้ไปที่ตราบนอกของตัวเอง “ศูนย์วิจัยสิ่งมีชีวิตพิเศษ หรือ SRC ผมคือผู้อำนวยการของศูนย์วิจัยแห่งแรกในมณฑลอันฮุ่ย ชางซุน”

“SRC?” คนทั้งสี่ต่างตกตะลึงในขณะที่ฉินเย่เพียงกระซิบเบา ๆ ว่า “นี่จะเป็นปัญหาหรือเปล่า?”

สีหน้าของซู่เฟิงหม่นลงเล็กน้อย “ไม่หรอก…SRC…เป็นเพียงหน่วยงานเดียวที่ขึ้นตรงกับหน่วยสอบสวนพิเศษ พวกเขาตรวจสอบตัวตนทั้งหมดที่แสดงลักษณะพิเศษหรือผิดปกติ รวมถึงผู้ที่ถูกสิงสู่ พบเห็นเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ ตลอดจนวิญญาณหยินที่กลายพันธุ์ ฉันรู้แค่ว่าสำนักงานหลักของพวกเขาอยู่ในเมืองเยียนจิง นอกเหนือจากนั้น ทุกสาขาที่มีอยู่ยังถูกจัดให้เป็นข้อมูลลับสุดยอดด้วย…”

ชางซุนยิ้มขณะที่เดินเข้าไปใกล้กลุ่มผู้บุกรุกมากกว่าเดิม “ไม่เลว พวกคุณคือคนกลุ่มแรกที่บุกเข้ามาใน SRC ในรอบหลายทศวรรษ เอาล่ะ ช่วยบอกผมมาที อะไรที่นำพวกคุณมาถึงที่นี่? และผมจะตอบแทนความสำเร็จของพวกคุณในครั้งนี้อย่างไรดี?”

“ถ้าหนีตอนนี้จะช้าไปไหม?” ฉินเย่พึมพำเบา ๆ

ริมฝีปากของโจวฉินเฟิ่นกระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้ “ถ้าคุณไม่กลัวว่าจะมีประวัติงานด่างพร้อยคุณจะลองก็ได้”

ใบหน้าของฉินเย่เคร่งขรึมลงกว่าเดิม

“ตามมาสิ” ชางซุนหมุนตัวกลับไปและกวักมือเรียกคนทั้งหมด พร้อมกับการคุ้มกันของเหล่าทหารชั้นยอด ทั้งหมดก็มุ่งหน้าสู่ใจกลางห้องลับ

ฉินเย่และทีมของเขาเดินตามชางซุนไปอย่างรวดเร็ว

ห้องลับใต้ดินแห่งนี้ถูกสร้างและถูกออกแบบมา คล้ายกับสำนักงานหน่วยสอบสวนพิเศษที่ตั้งอยู่ใต้ศาลากลาง ดูคล้ายกับในนิยายวิทยาศาสตร์ พวกเขาเดินต่อไปอีกประมาณสิบนาทีและพบว่าตอนนี้ ตนเองได้ลงมาจากระดับพื้นดินกว่าร้อยเมตรแล้ว อากาศเริ่มร้อนขึ้น และในที่สุด ประตูที่ทำมาจากโลหะผสมขนาดใหญ่ก็ปรากฏสู่สายตาของคนทั้งหมด

อุปกรณ์พิสูจน์ตัวตนบุคคลสแกนรูม่านตาและลายนิ้วมือของชางซุย และประตูก็เปิดออก เผยให้เห็นห้องลับขนาดใหญ่อยู่ด้านใน

ขนาดของมันใหญ่ประมาณสนามฟุตบอล หน้าจอจำนวนมากถูกแขวนอยู่ทุกที่ ข้อมูลแต่ละตัวเลขมากมายยังคงได้รับการประมวลผลอย่างต่อเนื่องขณะที่ข้อมูลทั้งหมดไหลเข้าสู่เครือข่ายย่อยของสติกซ์ที่อยู่ตรงกลางห้องก่อนที่จะถูกคัดแยกและเผยแพร่ออกไปยังเครื่องรับที่เจาะจงอีกครั้ง จานเพาะเชื้อและหลอดทดลองจำนวนมากถูกวางเรียงรายกัน นอกจากนี้พวกเขายังเห็นมนุษย์ที่ไม่ได้สติกำลังพักอยู่ในหลอดทดลองขนาดใหญ่ด้วย!

หากพูดกันตามจริง มันยังไม่สามารถบอกได้ว่าสิ่งที่อยู่ในหลอดทดลองนั้นเป็นมนุษย์หรือไม่ เพราะบริเวณอกของร่างในหลอดทดลองมีบาดแผลเหวอะหวะที่ยาวประมาณครึ่งเมตรปรากฏอยู่ และพลังหยินที่เข้มข้นจนไม่สามารถวัดได้ก็ดูเหมือนจะหลั่งไหลอยู่ภายในบาดแผลนั้น

“นี่คือขุยมู่หลาง (หมาป่า) [2] หมายเลข 41 เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของเรา” เมื่อชายในชุดปฏิบัติการสีขาวสังเกตเห็นประกายสงสัยในดวงตาของคนทั้งหมด เขาก็อธิบายต่อ “หายากมาก เขาเป็นผู้ที่เกิดมาพร้อมกับเส้นเลือดหยิน และควรจะเสียชีวิตไปตั้งแต่เมื่อห้าปีที่แล้ว แต่พวกเราสามารถยื้อชีวิตของเขาเอาไว้ได้และเขาเองก็สมัครใจให้ทำเช่นนั้น แม้ว่าเขาจะสามารถออกมาด้านนอกได้แค่สามวันต่อเดือน แต่มันก็ยังดีกว่าการต้องทนทุกข์ทรมานทุกวันมาก”

ยิ่งพวกเขาเดินเข้าไปลึกมากเพียงใด หลอดทดลองที่คนทั้งหมดเห็นก็ยิ่งมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และมีแม้กระทั่งสิ่งที่ฉินเย่ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน มีทั้งคนป่าและแม้แต่คนที่มีพลังหยินห่อหุ้มไปทั้งหัวใจ…ตัวอย่างแต่ละชนิดล้วนมีหมายเลขประจำตัวติดอยู่บริเวณฐานของหลอดทดลอง และจะมีคนคอยอธิบายให้พวกเขาฟังถึงแหล่งกำเนิดและความสำคัญของการมีอยู่ของพวกเขา

ตั้งแต่ขุยมู่หลาง (หมาป่า) และโหลวจินโก่ว (หมา) ไปจนถึงเวยเยว่เหยียน (นกนางแอ่น) และซอโฮ่วจู (หมูไฟ) [3]…ฉินเย่แอบจดทุกอย่างไว้ในหัว แต่แล้วเขาก็พบว่าพวกตนกำลังอยู่ในห้องที่มีสิ่งมีชีวิตนับร้อยชนิดที่เขาไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน! แต่สิ่งที่เชื่อมโยงตัวตนพวกนี้เข้าด้วยกันก็คือพวกมันมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับวิญญาณหยิน!

และทันใดนั้นเอง…ชางซุนก็หยุดฝีเท้าลง

คนทั้งห้ากลับมาได้สติอีกครั้งและดึงสายตาที่มองไปรอบของพวกเขากลับทันที ทางเดินที่พวกเขาใช้เดินมาสิ้นสุดลงตรงนี้ กำแพงโลหะผสมขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าของเขา และใบหน้าของชายผู้หนึ่งก็ถูกสลักลงไป ข้อมูลมากมายไหลเข้าสู่เครื่องมือที่ถูกวางไว้ทั้งสองด้านของกำแพงอย่างต่อเนื่อง โดยไม่หันกลับกลับมา ชางซุนยังคงมองไปที่ใบหน้าของชายบนกำแพงและเอ่ยว่า “เมื่อ 50 ปีก่อน มีเกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาดความรุนแรง 6 ริกเตอร์ขึ้นที่เมืองเป่าอัน ส่งผลให้เกิดความแตกแยกขึ้น”

ร่างของฉินเย่สั่นสะท้านทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ซู่เฟิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงกระซิบถามว่า “คุณเป็นอะไร?”

ฉินเย่ส่ายหน้าไปมา ทว่ายังคงมีสีหน้าเคร่งเครียด

ไม่มีใครรู้เลยว่าหัวใจของเขาในตอนนี้เริ่มเต้นเร็วและแรงขึ้นกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

มันแทบจะเหมือนกับว่ามีบางสิ่ง…กำลังกวักมือเรียกเขาอยู่ในตอนนี้

โดยไม่สังเกตเห็นถึงปฏิกิริยาแปลกประหลาดที่เกิดขึ้น ชางซุนยังคงเอ่ยต่อว่า “นี่คือสิ่งที่ถูกบันทึกให้เป็นความลับสูงสุด ในระหว่างการบรรเทาทุกข์ในตอนนั้น กรมทหารที่ 433 ได้ค้นพบบางอย่าง”

ชายวัยกลางคนยกมือขึ้นและลูบใบหน้าที่ถูกสลักบนกำแพง “มันเป็นสิ่งมีชีวิต ตัวแรกของเผ่าพันธุ์ อันที่จริง…องค์ประกอบที่อยู่ภายในร่างของมันก็ไม่ใช้สิ่งที่เราเคยพบเห็นมาก่อน”

ฟึ่บ!

ทันทีที่มือของเขาสัมผัสเข้ากับใบหน้านั้น ราวกับได้รับสัญญาณบางอย่าง ข้อมูลที่ไหลเข้าสู่อุปกรณ์ที่อยู่ด้านข้างก็เข้าสู่สภาวะโอเวอร์ไดรฟ์ทันที ราวกับหิ่งห้อยในฤดูร้อน พื้นที่ร้างสุดทางเดินมีชีวิตขึ้นมาทันที!

ครืดดดดด…ประตูโลหะผสมมีเสียงดังขึ้นเบา ๆ ก่อนที่มันจะแยกตัวออกเป็นสามชิ้น และแต่ละชิ้นก็เริ่มเคลื่อนตัวกลับเข้าฝั่งของตัวเองไป

“มันกำลังนอนอยู่ หรือมันอาจจะถูกผนึกไว้อยู่ แต่แม้จะเป็นอย่างนั้น มันก็ยัสามารถงกลืนกินวิญญาณหยินอยู่ดี”

กึก…กึก…กึก…เสียงที่คล้ายกับเสียงคลายล็อก และสลักกลอนจำนวนมากดังมาจากความมืดที่อยู่หลังประตู ชางซุนจึงหันกลับไปพูดกับคนทั้งหมดด้วยใบหน้าที่แดงก่ำว่า “มัน…นอนอยู่ภายใต้เมืองเป่าอันมานานมากแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้”

“ผมขอเชิญให้ทุกท่านพบกับสิ่งที่มีพลังหยินสูงที่สุดภายในประเทศจีน รหัสชื่อ ‘ควาฟู่’!”

[1] ตัวละครในเกม WOW (World of Warcraft)

[2] ขุยมู่หลาง (หมาป่า) มีต้นกำเนิดมาเป็นเวลานานมากแล้ว เมื่อผู้คนเริ่มบูชาดวงดาวอันเก่าแก่ที่อยู่ห่างไกลออกไป มันเกิดจากการผสมผสานระหว่างตำนานจีนโบราณและดาราศาสตร์ ซึ่งนับเป็นหนึ่งในกลุ่มดาวทั้ง 28 กลุ่มของดาราศาสตร์โบราณ ในขณะที่ผู้คนบางส่วนเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตพวกนี้คือเทพแห่งดวงดาว แต่ก็มีผู้คนอีกไม่น้อยที่เชื่อว่าเป็นปีศาจ ยกตัวอย่างเช่นในเรื่องไซอิ๋ว ศึกเทพอสูรสะท้านฟ้า เป็นต้น

[3] ทั้งหมดนี้กล่าวถึงสิ่งมีชีวิตในตำนานที่สร้างขึ้นจากกลุ่มดาวกลุ่มหนึ่งในทั้งหมด 28 กลุ่มของดาราศาสตร์โบราณ ในขณะที่ผู้คนบางส่วนเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตพวกนี้คือเทพแห่งดวงดาว แต่ก็ผู้คนที่เชื่อว่าเป็นปีศาจเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นในเรื่องไซอิ๋ว ศึกเทพอสูรสะท้านฟ้า เป็นต้น

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

ฉินเย่เด็กหนุ่มมัธยมปลายที่ไม่มีวันแก่ เพราะกิน “เห็ดเทียนสุ่ย” เข้าไปทำให้มีชีวิตอยู่ระหว่างสองโลก เป้าหมายในชีวิตของเขาเพียงต้องการมีชีวิตเล่นเกมอยู่ไปวัน ๆ เท่านั้น แต่ดูเหมือนนรกจะไม่ได้ยินเสียงเรียกร้องของเขา เมื่อนรกถึงกาลอวสาน ผีร้ายออกอาละวาดบนโลกมนุษย์ ทำให้ฉินเย่ที่เป็นยมทูตคนสุดท้ายต้องรับหน้าที่จ้าวนรกเพื่อพิทักษ์โลกใบนี้!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset