บทที่ 84: พิภพทั้งหก (2)
อาร์ทิสไม่ตอบ
“บอกมา!” ฉินเย่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขาต้องใช้ความกล้ามหาศาลในการแบกรับภาระในการสร้างยมโลกขึ้นมาใหม่ แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับมาบอกเขาว่า มีตัวตนที่เทียบเท่าระดับฝู่จวินสามตนปีนออกมาจากส่วนที่ลึกที่สุดของนรกและมายังโลกมนุษย์เนี่ยนะ?
ฝู่จวินคืออะไร?
ตอนที่อาร์ทิสได้ปลดปล่อยพลังของตัวเองเมื่อครั้งที่อยู่ที่เมืองชิงซี ร่างวิญญาณของนางยืนตั้งตระหง่าน ปกคลุมทั่วทั้งมณฑลด้วยความกดดันที่ท่วมท้น แต่ฝู่จวินนั้นเป็นขั้นที่อยู่เหนือจากอาร์ทิสขึ้นไปอีก และอำนาจของพวกเขาก็ขยายไปทั่วทั้งมณฑล…..
เด็กหนุ่มตัวสั่นอย่างห้ามไม่อยู่กับความคิดนั้น
เป็นครั้งแรกที่อาร์ทิสไม่ตำหนิอีกฝ่ายที่รู้สึกเช่นนี้ “เด็กน้อย…ราชาวิญญาณที่ถูกปราบปรามโดยกงล้อแห่งวัฏสงสารนั้นเป็นวิญญาณที่ชั่วช้าสามานย์เป็นอย่างมาก อย่างน้อยพวกเราก็รู้ว่าหนึ่งในพวกมันอยู่ที่เสฉวน ซึ่ง…มันก็ถือเป็นเรื่องที่ดีมากที่เจ้าออกมาจากที่นั่นอย่างรวดเร็ว ไม่เช่นนั้น…สิ่งต่อไปที่จะมาเอาชีวิตของเจ้าคงจะเป็นคนคนนั้น…”
“ท่านแน่ใจหรือไม่ว่าเป็นพวกเขา?” ฉินเย่รู้สึกได้ว่าหางตาของเขากระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้ “พระกษิติครรภโพธิสัตว์ทานอะไรเข้าไป?! พระองค์ทรงพาเจ้าหน้าที่ในนรกไปทั้งหมดขึ้นสู่สวรรค์ไปกับตัวเอง แต่พระองค์กลับเหลือพวกราชาวิญญาณระดับสูงจำนวนหนึ่งเอาไว้น่ะหรือ?! และพระองค์ยังทรงทิ้งวิญญาณอย่างท่านเอาไว้ด้วย!”
อาร์ทิสถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย “ขึ้นสวรรค์….มีพระโพธิสัตว์กี่องค์ที่ใฝ่ฝันถึงสิ่งนี้? แต่ในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็มีเจตจำนงและแผนการของตัวเองเช่นกัน….ปณิธานของพระกษิติครรภโพธิสัตว์ได้เอ่ยถึง ‘นรก’ แต่ ‘นรก’ อาจจะไม่ได้หมายความถึง ‘นรก’ ที่พวกเรารู้จัก ‘นรก’ ของพระองค์สามารถหมายถึงนรกทั้ง 18 ขุม พระตำหนัก ทั้ง 10 ตลอดจนเจ้าหน้าที่ในนรก เพราะสุดท้ายแล้ว…เจ้าหน้าที่ทุกคนในนรกต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของความตายทั้งสิ้น”
“ข้าสามารถยืนยันได้ว่าวิญญาณและเจ้าหน้าที่ของ ‘นรก’ ทั้งหมดได้ถูกพระกษิติครรภโพธิสัตว์พาขึ้นไปบนสวรรค์แล้วจริง ๆ ส่วนพวกที่เหลือ…เช่นราชาวิญญาณของพิภพทั้ง 6 พระองค์ก็ทรงทำอย่างเต็มที่และสามารถพาสามในหกไปกับตนได้ ซึ่งข้าเดาว่าทั้งสามตนที่เหลือรอดมาได้นี้ คงฉวยโอกาสจากช่องโหว่ของสวรรค์เป็นแน่”
ฉินเย่รู้สึกถึงความปวดหัวที่เข้าจู่โจมอย่างกะทันหัน เขายกมือกำผมสีดำน้ำหมึกของตัวเองแน่น ขยำมันจนยุ่งเหมือนกับฟางในเล้าไก่
จนถึงวันนี้ เขาเป็นคนแรกที่ได้รู้ว่าโลกมนุษย์กำลังเผชิญหน้ากับศัตรูแบบไหน…
มันคือราชาวิญญาณสามตนจากพิภพเดรัจฉาน พิภพเปรต และพิภพอสูร และแต่ละตนก็มีระดับของพลังที่เทียบเท่ากับยมทูตขั้นฝู่จวิน!
หากราชาวิญญาณทั้งสามนี้ตัดสินใจที่จะร่วมมือกัน อีกฝ่ายก็จะมีพลังที่สามารถสร้างความหายนะให้กับประเทศจีนได้ถึงครึ่งประเทศ
“แล้วสิ่งนี้มันจะส่งผลกับข้าอย่างไร?” ฉินเย่พึมพำหลังจากผ่านไปสักพักใหญ่
แต่เขากลับไม่ได้คำตอบอะไรสักนิด
ฉินเย่รู้สึกเหมือนกำลังจะระเบิด “ข้าขอเตือนท่านเอาไว้เลยนะ! อยากคิดจะปกปิดอะไรข้าเป็นอันขาด! ไม่เช่นนั้นใครที่อยากจะสร้างนรกขึ้นมาใหม่ก็เชิญไปทำด้วยตัวเองเลย! ส่วนข้าจะเก็บเศษตราเจ้านรกพวกนี้ไว้และบินหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้!”
“ก็สมกับเป็นเจ้าดี….” อาร์ทิสพึมพำก่อนจะตอบในท้ายที่สุด “บินหนีอย่างนั้นหรือ? แล้วเจ้าสามารถบินไปที่ใดกัน?”
“หากปราศจากเศษตราพวกนี้ เจ้าก็จะตาย หรือต่อให้เจ้าครอบครองเศษตรานี้ การดำรงอยู่ของเจ้าย่อมต้องถูกตัวตนจากพิภพเดรัจฉานที่ตอนนี้อยู่ภายในเขตมณฑลเสฉวนค้นพบอยู่ดี มันไม่มีที่ให้หนี และไม่มีที่ให้ซ่อนเช่นกัน”
ฉินเย่ใช้มือเสยผมของตัวเองและลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ เขารู้ดีว่าคำพูดของตัวเองก่อนหน้านี้ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าการระบายความผิดหวังของตัวเอง
“แล้วพวกเราต้องทำอย่างไร?” เด็กหนุ่มรวบรวมพลังทั้งหมดในกายเพื่อข่มความรู้สึกที่พลุ่งพล่านของตัวเองและถาม
“สร้างนรกขึ้นมาใหม่อีกครั้ง!” อาร์ทิสประกาศเสียงกร้าว “เจ้าไม่มีทางที่จะรู้ถึงความแข็งแกร่งของราชาวิญญาณขั้นฝู่จวินพวกนี้….ลองนึกถึงความหายนะของภัยแล้งและวิกฤตการณ์อดยากครั้งใหญ่ในยุค 60 สิ…แต่ตราบใดที่เจ้าสามารถสร้างนรกขึ้นมาใหม่ได้ เจ้าก็จะสามารถปราบปรามพวกมันได้!”
“นรกคือกฎระเบียบ ซึ่งถูกรับรองและกำหนดโดยกฎของสวรรค์ การล่มสลายของนรกหมายถึง การขาดหายของระเบียบตามธรรมชาติของโลก ยิ่งเจ้าทำให้ทุกอย่างกลับสู่กฎระเบียบได้เร็วเท่าใด ราชาวิญญาณพวกนี้ก็จะถูกปราบปรามเร็วขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าพวกมันจะมีพลังมากเพียงใดก็ตาม!”
สีหน้าของฉินเย่เคร่งเครียดกว่าเดิม
แววตาของเด็กหนุ่มไหววูบ ขณะที่เขารีบจัดระเบียบความคิดของตัวเองอย่างรวดเร็ว
อาร์ทิสได้เอ่ยอะไรออกมามากมาย แต่เขาเพียงต้องพิจารณาความหมายโดยนัยเท่านั้นการสามารถเข้าใจทุกอย่างได้
ทันทีที่การก่อสร้างนรกเริ่มขึ้น ราชาวิญญาณทั้งสามจะรู้สึกถึงพลังในการปราบปรามของนรกได้ทันที และพวกมันก็จะเข้าใจว่านรกกำลังถูกสร้างขึ้นอีกครั้ง ซึ่งโดยธรรมดาแล้ว พวกมันจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อระบุตำแหน่งของผู้ที่รับหน้าที่ในการสร้างนรกขึ้นมาใหม่และฉีกร่างของคนคนนั้นเป็นชิ้น ๆ อย่างแน่นอน
“แต่…มันก็ยังมีสถานที่แห่งหนึ่งที่พวกมันจะไม่ปรากฏตัวขึ้น เว้นแต่ว่าพวกมันจะเตรียมพร้อมที่จะสู้กับกองกำลังของโลกมนุษย์”
ฉินเย่สบตากับอาร์ทิส และทั้งสองก็เอ่ยออกมาแทบจะในวินาทีเดียวกันว่า “เมืองเป่าอัน!”
สำนักฝึกตนแห่งแรกของประเทศจีน!
ฐานที่มั่นแห่งแรกของจีนในการต่อกรกับกองกำลังจากยมโลก!
สัญลักษณ์แห่งความหวังของประเทศจีน!
อาร์ทิสเอ่ยต่อ “และมันก็สมเหตุสมผลมากขึ้นที่วิญญาณที่มีค่าพลังหยิน 30 ล้านซ่อนตัวอยู่ที่นี่ หากเจ้าต้องการหาแหล่งกำเนิดพลังตลอดกาลของนรก…มันก็ไม่มีที่ไหนที่เหมาะสมไปกว่าที่นี่แล้ว”
ผู้ใดจะไปคิดว่านรกแห่งใหม่จะอยู่ภายใต้ฐานที่มั่นของจีน ที่จะใช้ต่อสู้กับกองกำลังจากยมโลก?
แม้ว่าพวกเขาจะต้องสืบค้นไปทั่วทุกตารางนิ้วของประเทศจีน ราชาวิญญาณของพิภพทั้ง 6 ก็คงไม่มีเมืองเป่าอันอยู่ในตัวเลือกนั้นสักนิดแน่นอน!
ฉินเย่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะมองไปยังสัญลักษณ์ดังกล่าวและเอ่ยว่า “คืนนั้นจะต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นและทำให้ราชาวิญญาณของพิภพทั้ง 6 ค้นพบถึงตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวที่อยู่ที่นี่ นอกจากนี้ การรั่วไหลของพลังหยินก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในเขตไล่ล่าที่ 4 ราชาวิญญาณทั้งสามได้ใช้พลังของตัวเองในการสร้างม่านพลังขึ้นมา เพื่อที่มนุษย์จะได้ไม่พบถึงความเปลี่ยนแปลงนี้”
ในที่สุดปริศนาทั้งหมดรวมเข้าด้วยกัน
ฉินเย่หัวเราะอย่างขมขื่น “พวกเขาคิดว่าทุกอย่างจะจบลงในคืนนั้น น่าเสียดาย….”
อาร์ทิสหันไปมองผู้เฒ่าฮวงและเอ่ยว่า “น่าเสียดายที่เจ้าของเขตไล่ล่าแห่งนี้เป็นสุนัขผีดิบ นอกจากนั้นดูเหมือนว่ามันจะชอบเจ้าเสียด้วย อาจจะเพราะความจริงที่ว่าธรรมชาติของสุนัขนั้นมักจะมีความรักใคร่ต่อมนุษย์ก็เป็นได้ ดังนั้นสุนัขที่มีความห่วงตอนตายอย่างเจ้านี้จึงยิ่งรักยมทูตเป็นพิเศษ”
ฟึ่บ…ฉินเย่ยกกระบี่ปีศาจขึ้นและชี้ไปที่กระจก “นี่คือใจกลางของอาณาเขตเวทใช่หรือไม่?”
เขาไม่ใช่คนตัดสินใจอะไรง่าย ๆ
แต่เมื่อได้ตัดสินใจไปแล้ว เขาก็จะไม่มีวันเปลี่ยนใจ
หากนรกจะต้องถูกสร้างขึ้นอีกครั้ง เขาก็จะทำทุกอย่างสุดความสามารถให้มันสำเร็จให้ได้!
และก้าวแรกก็คือการเปิดเผยตำแหน่งที่แท้จริงของวิญญาณที่มีค่าพลังหยิน 30 ล้านให้ได้ เพื่อที่เขาจะได้ดูว่าตัวเองควรวางรากฐานที่สำคัญของยมโลกไว้ที่ใด!
ทันใดนั้นเอง ผิวหน้าของกระจกก็กระเพื่อมราวกับสายน้ำ และท่ามกลางระลอกคลื่นนี้ ฉินเย่ก็มองเห็นหลินฮั่น ซู่เฟิง หลี่หยุนเซวี่ย และโจวฉินเฟิ่นยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มพลังหยินที่กำลังย่างกรายเข้ามาเรื่อย ๆ โดยที่แต่ละคนกำลังพยายามต่อสู้กับวิญญาณอาฆาตที่อยู่ระดับเดียวกับที่ฉินเย่เพิ่งปัดเป่าไป
“นี่มันบ้าอะไรเนี่ย? ไหนคนพวกนี้บอกว่าตัวเองเป็นเจ้าหน้าที่ระดับ S ไง?” ฉินเย่เอ่ยพร้อมขมวดคิ้วยุ่ง
“เจ้าคิดว่าทุกคนเป็นยมทูตเหมือนเจ้าหรืออย่างไร?” อาร์ทิสหัวเราะก่อนจะเอ่ยต่อเสียงเข้มว่า “ม่านพลังประกอบด้วยหัวใจของอาณาเขตเวทแห่งนี้เอาไว้ เมื่อเจ้าทำลายหัวใจของมันตอนนี้ เพื่อนของเจ้าก็จะไม่ถูกบดบังด้วยพลังหยินอีกต่อไป และเมื่อทำลายกระจกทุกบานที่อยู่ภายในห้องของพวกเขา ม่านพลังทั้งหมดก็จะถูกทำลาย”
นางหยุดพูดไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อว่า “หากวิญญาณที่มีค่าพลังหยิน 30 ล้านตนนั้นอยู่ที่นี่จริง ๆ ตำแหน่งของมันจะถูกเปิดเผยออกมาในตอนนั้นแหละ!”
เคร้ง!
ก่อนที่นางจะพูดจบ กระบี่ปีศาจก็พุ่งตรงไปที่กระจกอย่างรวดเร็ว ด้วยเสียงที่ดังและคมชัด พื้นผิวของกระจกที่กระเพื่อมพลันแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่กระจัดกระจายเป็นวงกว้าง
ในวินาทีเดียวกับที่กระจกแตก บ้านพักคนชราทั้งหลังก็ส่งเสียงร้องโหยหวนราวกับวิญญาณสิงสู่ มันยังคงเป็นบ้านพักคนชราตามเดิม แต่มันกลับดูชัดเจนกว่าก่อนหน้า แทบจะเหมือนกับว่าแผ่นฟิล์มโปร่งแสงเพิ่งถูกถอดออกไปจากหน้าเลนส์
ทันทีที่ความมืดสลายไป เสียงต่อสู้ก็ดังขึ้นให้ได้ยินจากด้านบน โดยปราศจากคำพูดใด ๆ ฉินเย่กระชับกระบี่ปีศาจในมือและวิ่งไปด้านบนทันที
………………………………………………..
บนชั้นที่ 5 ห้อง 533
ไม่เหมือนกับห้องอาบน้ำที่ฉินเย่เคยอยู่ ทั่วทั้งสถานที่ล้วนมืดมิดและไร้แสงสว่าง ห้องทั้งห้องเต็มไปด้วยพลังหยินที่หนาแน่น และร่างที่ซ่อนตัวอยู่ก็พุ่งมาจากด้านข้างนอกห้อง โจมตีซู่เฟิงที่ยืนอยู่กลางห้องอย่างต่อเนื่อง
สีหน้าของซู่เฟิงเคร่งเครียด ดาบไม้มะฮอกกานียาวหนึ่งนิ้วลอยอยู่ข้างโดยที่เจ้าตัวไม่ต้องควบคุมหรือสั่งการใด ๆ ไม่ว่าการโจมตีจะมาจากทิศทางใด ดาบไม้ก็จะพุ่งไปยังการโจมตีนั้นและปัดป้องมัน เกิดเป็นประกายไฟที่ลุกไหม้ขึ้นในอากาศ
“ในเขตไล่ล่านี้มีม่านพลังอยู่ด้วยอย่างนั้นเหรอ?” เมื่อซู่เฟิงเห็นร่างดำมืดแฝงตัวเข้าไปในกระแสพลังหยินอันเข้มข้นเป็นครั้งที่สิบเขาก็เริ่มโมโหเป็นอย่างมาก จากนั้น ขณะที่เขากำลังจะสอดมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อด้านในของตนเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากที่ประตู
“อยากได้คนช่วยไหม?”
ฉินเย่เหรอ?
ซู่เฟิงประหลาดใจเป็นอย่างมาก รูม่านตาของเขาขยายออกทันที
เขาเหรอ?
เขาหนีออกมาได้ยังไง?
โครงสร้างของม่านพลังนี้แยบยลเกินไป แม้แต่เขาก็ยังไม่ตระหนักถึงมันในตอนแรกที่ก้าวเข้ามาในนี้ หรือว่า….อีกฝ่ายจะหาหัวใจของอาณาเขตเวทเจอ?
“อยาก!!” เขาไม่จำเป็นต้องคิดเป็นครั้งที่สองเลยสักนิด ซู่เฟิงเอ่ยขอความช่วยเหลือจากฉินเย่ทันที แม้ว่าจะมีความขุ่นเคืองในใจก็ตาม
โคร่ม!!
ทันทีที่ชายหนุ่มเอ่ยจบ ประตูห้องก็พังทลายลง และใบมีดที่เปล่งประกายแสงเจิดจ้า พุ่งตรงเข้ามาในห้องราวกับพายุที่โหมกระหน่ำ และพุ่งตรงเข้าใส่ร่างที่มืดมิดอย่างแม่นยำ
เป็นการโจมตีที่รวดเร็วจริง ๆ….ซู่เฟิงอ้าปากค้าง เขาหยิบกระดิ่งทองแดงออกมาและเตรียมจะสั่นมัน ทว่าทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่า….กระแสพลังหยินตรงหน้าของตนได้กระจัดกระจายไปเสียแล้ว
เขากำลังตกตะลึง
นิ่งไปอย่างสิ้นเชิง
เมื่อฉินเย่เดินเข้ามาในห้อง เขาก็พบว่าซู่เฟิงกำลังถือกระดิ่งทองแดงอยู่ในมือ ทว่าใบหน้าของอีกฝ่ายกลับซีดเผือด ราวกับเห็นผี แล้วเขาก็เห็น….
ถุงมือทหารสีเขียวหนึ่งคู่
หมวกทหารสีเขียวหนึ่งใบ
รองเท้าบูตหนังสีเขียวหนึ่งคู่
ผ้าพันคอและแว่นตาสีแดง
มันคือปีศาจธีโมในร่างมนุษย์…
ซู่เฟิงอยากจะหัวเราะออกมา แต่เขากลับไม่สามารถทำเช่นนั้น หลังจากที่ตกตะลึงอยู่สามวินาที ในที่เขาก็สามารถเรียบเรียงคำพูดของตัวเองได้
“โจมตีแค่ครั้งเดียวเนี่ยนะ?” เสียงที่เอ่ยออกมานั้นแหบแห้งและเหลือเชื่อ
ฉินเย่จึงตอบด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “มันควรจะมากกว่านี้เหรอ?”
การโจมตีเมื่อครู่… ตรงเข้าที่หัวใจ…
ซูเฟิงกระแอมออกมาขณะที่เก็บกระดิ่งกลับเข้าไปตามเดิม พยายามทำหน้านิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทว่าหัวใจของเขากลับกำลังบ่นอย่างไม่หยุดหย่อน นั่นไม่ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์เลยสักนิด! นี่มันน่าเจ็บใจชะมัด! เราสองคนต่างอยู่ขั้นนักล่าวิญญาณเหมือนกัน และยังเป็นเจ้าหน้าที่ระดับ S เหมือนกันด้วย แต่ทำไมสิ่งที่เขาพยายามสู้มาหลายสิบนาทีถึงถูกจัดการภายในการโจมตีเพียงแค่ครั้งเดียว?!
โลกทัศน์ทั้งหมดของเขาได้กลับหัวกลับหางอย่างสิ้นเชิง! นี่ฉินเย่อยู่แค่ขั้นนักล่าวิญญาณจริง ๆ น่ะเหรอ?
เขาเดินตามฉินเย่ลงไปด้านล่างอย่างเงียบ ๆ เป็นวิญญาณที่ตามติดฉินเย่ตัวที่ 1
สิบนาทีต่อมา บนชั้นที่ 4
ด้วยเสียงระเบิดที่ดังสนั่น บานประตูหน้าห้องถูกพังลงอย่างแรง แสงของใบมีดส่องประกายสว่างจ้าราวกับผู้อมตะได้ลงมากสรวงสวรรค์ หลินฮั่นอ้าปากค้างขณะที่มองดูกระแสพลังหยินอันเข้มข้นรอบตัวของตน กระจัดกระจายหายไปด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวของฉินเย่
“ให้ตายเถอะ….” เขาอดไม่ได้ที่จะสบถออกมาเบา ๆ ก่อนจะหมุนตัว มองไปทางฉินเย่ สีหน้าของเขาในตอนนี้นั้นไม่ต่างอะไรกับซู่เฟิงเลยสักนิด ริมฝีปากของทั้งคู่สั่นระริก แต่พวกเขากลับไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้เลยสักคำ
ช่องว่าง
มันเป็นช่องว่างที่ใหญ่เกินไป
ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาโจมตีคู่ต่อสู้อย่างดุเดือด….แต่ทุกอย่างที่เขาทำกลับเทียบไม่ได้เลยกับการโจมตีเพียงครั้งเดียวของฉินเย่
ริมฝีปากของหลินฮั่นสั่นระริกอยู่ครู่หนึ่ง เขามองกระบี่ที่อยู่บนหลังของฉินเย่ด้วยสายตาว่างเปล่าขณะที่อีกฝ่ายเดินออกไปจากห้อง สุดท้าย เขาก็ทำได้เพียงยกนิ้วโป้งให้คนตรงหน้า “เจ๋งชะมัด คุณนี่สุดยอดจริง ๆ”
วิญญาณที่ตามติดฉินเย่ตัวที่ 2
เวลา 00.00 น. ด้วยแสงจากใบมีดที่ส่องประกาย รอยร้าวขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนพื้น ใบมีดลอยได้ที่แต่เดิม ซ้อนอยู่ระหว่างนิ้วของหลี่หยุนเซวี่ยทั้งหมดก็ร่วงลงกับพื้น จนเกิดเป็นเสียงดังเคร้ง ริมฝีปากสีแดงของเธอมีอาการบวมเล็กน้อย ขณะที่เธอมองคนทั้งสามอย่างงุนงง
“ไม่ใช่ว่าฉันไม่ยอมรับ แต่ฉันแค่ยังไม่อยากยอมรับเท่านั้น” หญิงสาวเอ่ยสิ่งที่ตัวเองเคยพูดไปก่อนหน้านี้
สิ่งที่เธอปฏิเสธจะยอมรับก็คือ ความแข็งแกร่งและความสามารถของอีกฝ่าย
การโจมตีง่าย ๆ ของฉินเย่ได้ทำลายศักดิ์ศรีของเธอไปจนหมด
“นี่มันเป็นคนแบบไหนกัน…พวกหลอกลวงหรือ? แม้แต่เจ้าหน้าที่ระดับ S ของเมืองเยียนจิงก็ทำอะไรแบบนี้ไม่ได้หรอก ใช่ไหม?”
วิญญาณที่ตามติดฉินเย่ตัวที่ 3
เวลา 01.00 น.
วิญญาณผีสาวกลายเป็นเพียงกลุ่มก้อนพลังหยิน สลายไปต่อหน้าต่อตาของโจวฉินเฟิ่น เขามองไปยังปีศาจธีโม จากนั้นจึงมองด้านหน้าของตน และยังคงเป็นเช่นนี้อยู่หลายวินาที ก่อนจะยกนิ้วโป้งให้กับฉินเย่ในที่สุด เขาถอนหายใจออกมาอย่างชื่นชมและเดินตามหลังฉินเย่อย่างเชื่อฟังโดยไม่พูดอะไร
ไม่จำเป็นจะต้องใช้คำพูดใด ๆ เพื่อแสดงถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริง
ปีศาจธีโมในร่างมนุษย์และเห็ดสี่ดอก [1] ของมันยืนอยู่บริเวณจุดกึ่งกลางของชั้นที่ 1 การทำลายม่านพลังส่งผลให้ทั้งอาคารสั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นเสียงแตกสลายของบางอย่างก็พลันดังขึ้น
กระแสพลังหยินทั้งหมดกระจัดกระจายไป ราวกับกระแสน้ำที่ลดลง ส่งผลให้ผ้าพันคอสีแดงของฉินเย่ปลิวไสวอย่างรุนแรงเพราะพายุพลังหยินนี้
ชั้นที่ 5… ชั้นที่ 4… ชั้นที่ 3… ชั้นที่ 2…
ความมืดมิดที่ปกคลุมสถานที่แห่งนี้ค่อย ๆ สลายไปท่ามกลางแสงสลัวของดวงจันทร์ และวิญญาณหยินตนอื่นทั้งหมดก็สลายหายไป เพื่อหาที่หลบภัยในเงามืดที่เหลืออยู่ภายในอาคาร พายุพลังหยินพัดไปตามทางเดิน และทันทีที่คลื่นพลังหยินบริเวณชั้น 1 จางลง อาคารทั้งหลังก็สั่นไหวและจมลงเล็กน้อย
“จบ!!” ซู่เฟิงได้สติจากอาการมึนงงและเอ่ยออกมาอย่างตื่นเต้น
“ช่างเป็นความรู้สึกที่น่ากลัวจริง ๆ…” ฉินเย่สูดหายใจเข้าปอดขณะที่มองพื้นเบื้องล่างอย่างเพ่งพินิจ
มันอยู่ภายใต้เท้าของเขา…เพียงแค่ก้าวเข้ามาในสถานที่แห่งนี้มันก็ทำให้เขา…รู้สึกเหมือนกำลังยืนอยู่บนร่างของไทแรนโนซอรัสเร็กซ์ไม่มีผิด!
พลังหยิน
กระแสพลังหยินอันไร้ขอบเขตกำลังหลั่งไหลอยู่ภายใต้เท้าของพวกเขา ราวกับมหาสมุทรคำราม!
วิญญาณที่มีค่าพลังหยิน 30 ล้านอยู่แค่ใต้เท้าของพวกเขานี่เอง!
[1] ที่ผู้เขียนใช้คำว่าเห็นเป็นเพราะว่าทักษะขั้นสูงสุดของปีศาจธีโมคือการเพาะเห็ดพิษ